แอ่งพายุหมุนเขตร้อน
ตามธรรมเนียม พายุหมุนเขตร้อนจะก่อตัวขึ้นแยกกันภายในทั้งหมดเจ็ดแอ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ, ด้านตะวันออกและตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ, ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก, ด้านตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย และด้านเหนือของมหาสมุทรอินเดีย (ทะเลอาหรับ และ อ่าวเบงกอล) ซึ่งในเจ็ดแอ่งนี้ มหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกมีการกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนบ่อยที่สุด และด้านเหนือของมหาสมุทรอินเดียมีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนน้อยที่สุด

ค่าเฉลี่ยของพายุหมุนเขตร้อน ที่มีความรุนแรงในระดับมากกว่าพายุโซนร้อน ทั่วโลกอยู่ที่ 86 ลูก ในจำนวนนี้ 47 ลูก มีความรุนแรงเป็นถึงพายุเฮอร์ริเคน/พายุไต้ฝุ่น และอีก 20 ลูก มีความรุนแรงเป็นถึงพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรง (อย่างน้อยมีความรุนแรงอยู่ในระดับ 3)[1]
ภาพรวม
แก้แอ่งพายุหมุนเขตร้อนและศูนย์เตือนภัยอย่างเป็นทางการ | |||
---|---|---|---|
แอ่ง | ศูนย์เตือนภัย | พื้นที่รับผิดชอบ | |
มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก |
สหรัฐอเมริกา ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ศูนย์เฮอริเคนแปซิฟิกกลาง |
ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร, ชายฝั่งอเมริกาถึง 140°ตะวันตก ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร, 140°ตะวันตก-180 |
[2] |
มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก | สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น | เส้นศูนย์สูตร-60°เหนือ, 180-100°ตะวันออก 5°เหนือ-20°เหนือ, 115°ตะวันออก-135°ตะวันออก |
[3] |
มหาสมุทรอินเดียเหนือ | กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งอินเดีย | ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร, 100°ตะวันออก-45°ตะวันออก | [4] |
ใต้-ตะวันตกของ มหาสมุทรอินเดีย |
ศูนย์บริการอุตุนิยมวิทยาเมาทริอัส อุตุนิยมวิทยามาดากัสการ์ |
เส้นศูนย์สูตร-40°ใต้, 55°ตะวันออก-90°ตะวันออก เส้นศูนย์สูตร-40°ใต้, ชายฝั่งแอฟริกา-55°ตะวันออก |
[5] |
ภูมิภาคออสเตรเลีย | สำนักอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศและธรณีฟิสิกส์แห่งอินโดนีเซีย สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติปาปัวนิวกีนี สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งออสเตรเลีย |
เส้นศูนย์สูตร-10°ใต้, 90°ตะวันออก-141°ตะวันออก เส้นศูนย์สูตร-10°ใต้, 141°ตะวันออก-160°ตะวันออก 10°ใต้-36°ใต้, 90°ตะวันออก-160°ตะวันออก |
[6] |
มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ | ศูนย์บริการอุตุนิยมวิทยาฟีจี สำนักบริการอุตุนิยมวิทยานิวซีแลนด์ |
เส้นศูนย์สูตร-25°ใต้, 160°ตะวันออก-120°ตะวันตก 25°ใต้-40°ใต้, 160°ตะวันออก-120°ตะวันตก |
[6] |
ซีกโลกเหนือ
แก้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
แก้ในภูมิภาคนี้ประกอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ, ทะเลแคริบเบียน และ อ่าวเม็กซิโก โดยพายุหมุนเขตร้อนจะก่อตัวที่นี่ แตกต่างกันไปอย่างกว้างขวางจาก ตั้งแต่ 1 ถึงมากกว่า 25 ลูกต่อปี[7] พายุหมุนเขตร้อนส่วนใหญ่ จะก่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 30 พฤศจิกายน
ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จะตรวจสอบและออกรายงาน การเฝ้าระวัง และการเตือนภัย เกี่ยวกับระบบอากาศของเขตร้อนในแอ่งแอตแลนติก ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตุนิยมวิทยากำหนดขอบเขตส่วนภูมิภาคสำหรับพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งกำหนดโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก[8] โดยเฉลี่ย จะมีพายุได้รับชื่อ 11 ลูก (สำหรับพายุโซนร้อนหรือรุนแรงกว่า) ที่เกิดขึ้นในแต่ละฤดู ซึ่งโดยเฉลี่ย 6 ลูกจะกลายเป็นพายุเฮอร์ริเคน และ 2 ลูกกลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนขนาดใหญ่ ตามภูมิอากาศ กิจกรรมจะเกิดขึ้นสูงสุดในช่วงวันที่ 10 กันยายน ของแต่ละฤดู[9]
ชายฝั่งสหรัฐอเมริกาด้านแอตแลนติก และด้านอ่าว, เม็กซิโก, อเมริกากลาง, หมู่เกาะแคริบเบียน และ เบอร์มิวดา จะได้รับผลกระทบบ่อยครั้งจากพายุในแอ่งนี้ ในเวเนซุเอลา, 4 จังหวัดของแคนาดาแอตแลนติก และหมู่เกาะมาคาโรนีเซียแอตแลนติก จะได้รับผลกระทบเป็นครั้งคราว พายุในแอตแลนติกหลายลูกมีกำลังแรงจากพายุเฮอร์ริเคนประเภทกาบูเวร์ดี ซึ่งเกิดขึ้นทางชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา ใกล้กับหมู่เกาะกาบูเวร์ดี
เป็นครั้งคราวที่พายุเฮอร์ริเคน จะวิวัฒนาการเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และเดินทางไปถึงประเทศในยุโรปตะวันตก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพายุเฮอร์ริเคนกอร์ดอน ซึ่งทำให้เกิดลมแรงกระจายไปทั่วประเทศสเปน และ บริติชไอลส์ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549[10] พายุเฮอร์ริเคนวินซ์ ซึ่งพัดขึ้นแผ่นดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน ด้วยความรุนแรงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นพายุที่พัดเข้าถล่มยุโรปในสถานะพายุหมุนเขตร้อน[11]
มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก
แก้แอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกนี้มีพายุก่อตัวมากเป็นอันดับสอง และมีอัตราการก่อตัวต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุด โดยฤดูพายุเฮอร์ริเคนแปซิฟิกนี้ จะมีกิจกรรมในระหว่างวันที่ 15 พฤศภาคม ถึง 30 พฤศจิกายน ของทุกปี และครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกิจกรรมในภูมิภาค[12] ในช่วงปี พ.ศ. 2514 ถึง 2548 จะมีพายุก่อตัวโดยเฉลี่ยดังนี้ คือ 15-16 ลูก เป็นพายุโซนร้อน, 9 ลูก เป็นพายุเฮอร์ริเคน และ 4-5 ลูก เป็นพายุเฮอร์ริเคนขนาดใหญ่[12]
พายุแบบนี้มักส่งผลกระทบกับเม็กซิโกตะวันตก และส่วนน้อยในรัฐใกล้ชิดสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐแคลิฟอร์เนีย), หรือทางเหนือของอเมริกากลาง ไม่มีข้อมูลสมัยใหม่ของพายุที่เข้าโจมตีแคลิฟอร์เนีย อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์จาก เสียงของพายุ ค.ศ. 1858 ที่ซานดีเอโก มีความเร็วลมมากกว่า 75 ไมล์ต่อชั่วโมง - 65 นอต (เป็นความรุนแรงในระดับร่อแร่ของพายุเฮอร์ริเคน) ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าพายุได้ขึ้นฝั่งบนแผ่นดินจริง[13] แต่พายุโซนร้อนใน 2482, 2519 และ 2540 ทำให้เกิดแรงคลื่นลมในแคลิฟอร์เนีย[13]
พื้นที่รับผิดชอบของศูนย์เฮอร์ริเคนแปซิฟิกกลาง เริ่มขอบเขตต่อจากพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ (ที่ 140 °ตะวันตก) และไปจบลงที่เส้นแบ่งเขตวันสากล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก[14] ฤดูพายุเฮอร์ริเคนของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือจะมีช่วงเวลาตั้งแต่ 1 มิถุนายน ถึง 30 พฤศจิกายน[15] ซึ่งศูนย์เฮอร์ริเคนแปซิฟิกกลางจะเป็นผู้ตรวจสอบการก่อตัวหรือพัฒนาและการเคลื่อนตัวของพายุในพื้นที่รับผิดชอบของตน[14] ก่อนหน้าที่จะมีศูนย์เฮอร์ริเคนแปซิฟิกกลาง ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกิจกรรมต่างๆ ในแอ่ง มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้คือศูนย์เตือนภัยเฮอร์ริเคนร่วม ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม
พายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ลูก เกิดหรือเคลื่อนตัวมาในแอ่งนี้ในทุกปี[15] เนื่องจากไม่มีแผ่นดินขนาดใหญ่อยู่ในแอ่งนี้หรือติดกับแอ่งนี้ การที่พายุจะเข้าโจมตีหรือพัดขึ้นฝั่งจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตาม บางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น พายุเฮอร์ริเคนอินิกิ ในปี พ.ศ. 2535 ได้พัดเข้าบนแผ่นดินของฮาวาย[16] และ พายุเฮอร์ริเคนโอก ในปี พ.ศ. 2549 ได้พัดเข้าโจมตีจอห์นสตันอะทอลล์โดยตรง[17]
มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ
แก้มหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก คือพื้นที่ที่มีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดบนดาวเคราะห์โลก ในทุกปีจะมีพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวประมาณ 25.7 ลูกโดยเฉลี่ย ซึ่งบางครั้งกลายเป็นพายุโซนร้อนหรือรุนแรงกว่านั้น ซึ่งมีพายุไต้ฝุ่นเฉลี่ย 16 ลูกในแต่ละปี ระหว่างปี พ.ศ. 2511 ถึง 2532[7] แอ่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร และทางตะวันตกของเส้นแบ่งเขตวันสากล รวมถึงทะเลจีนใต้ด้วย[14] ซึ่งเราอาจเห็นกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนในแอ่งนี้ได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนน้อยที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม[18]
พายุในภูมิภาคนี้มักจะส่งผลกระทบกับ จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน และ เวียดนาม รวมทั้งหมู่เกาะโอเชียเนียมากมาย เช่น กวม, หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา และ ปาเลา และบางครั้งจะส่งผลกับทบกับ กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, ไทย และแม้กระทั่งสิงค์โปร์ ที่เป็นจุดที่อยู่ไกลจากพื้นที่ที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อน คิดเป็นหนึ่งในสามของกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนทั้งหมด ชายฝั่งของจีน เป็นจุดที่เห็นการพัดขึ้นฝั่งของพายุหมุนเขตร้อนได้มากที่สุดในโลก[19] ส่วนกลุ่มเกาะฟิลิปปินส์ และมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้าฝั่ง 6-7 ลูกต่อปี[20]
มหาสมุทรอินเดียเหนือ
แก้แอ่งนี้แบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือ พื้นที่อ่าวเบงกอล และพื้นที่ทะเลอาหรับ ซึ่งกิจกรรมมักจะอยู่ในพื้นที่อ่าวเบงกอล (5-6 ครั้ง) และยังคงเป็นพื้นที่ที่มีพายุมีกิจกรรมน้อยที่สุดในโลก คือมีพายุแค่ 4-6 ลูกต่อปี ซึ่งจะมีช่วงที่มีพายุก่อตัวมากที่สุด หนึ่งครั้งในเดือนเมษายน และ พฤษภาคม ก่อนมรสุมจะเข้ามามีบทบาทกับพื้นที่ และหลังจากนั้นในช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน[21] แม้ว่าจะเป็นแอ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ก็มีพายุหมุนเขตร้อนที่อันตรายที่สุดในโลกเกิดขึ้นที่นี่ได้ หนึ่งในนั้นคือ พายุไซโคลนโบลา พ.ศ. 2513 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 500,000 คน และมีชาติที่ได้รับผลกระทบทั้ง อินเดีย, บังกลาเทศ, ศรีลังกา, ไทย, พม่า และ ปากีสถาน ส่วนในพื้นที่ทะเลอาหรับ คาบสมุทรอาหรับ หรือ โซมาเลีย เป็นพื้นที่ที่มีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนได้ยาก อย่างไรก็ตาม พายุไซโคลนโกนูได้เคยส่งผลกระทบกับประเทศโอมานมาแล้วในปี พ.ศ. 2550
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
แก้เป็นพื้นที่ที่มีโอกาสก่อตัวของระบบ ที่คล้ายกับพายุหมุนเขตร้อนได้ยาก ที่สามารถมีความรุนแรงได้เทียบเท่ากับพายุเฮอร์ริเคน ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า เมดิเคน (เมดิเตอร์เรเนียน-เฮอร์ริเคน) แม้ว่าขนาดของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ของมหาสมุทรในเขตร้อนและเมดิเตอเรเนียน จะแตกต่างกันชัดเจน ซึ่งกลไกของปรากฏการณ์นี้เกิดจาก ตวามไม่สมดุลทางอุณหพลศาสตร์ของอากาศเหนือทะเล หรือที่คล้ายกัน[22] ต้นกำเนิดของพวกมันมักจะไม่ใช่เขตร้อน และพัฒนาในพื้นที่เปิดของน้ำอย่างแข็งแกร่ง ในตอนแรกแกนเย็นของพายุหมุนจะมีความคล้ายคลึงกับพายุหมุนกึ่งเขตร้อน หรือพายุหมุนเขตร้อนผิดปกติในแอ่งแอตแลนติก เหมือน คาร์ล, วินซ์, เกรซ หรือ คริส[23] อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และต้นเดือนกันยายน จะค่อนข้างสูงกว่าแอ่ง (+24/+28 °ซ) แม้ว่าการวิจัยจะระบุว่าอุณหภูมิ 20 °ซ เป็นอุณหภูมิปกติที่จะมีการก่อตัว[24]
วรรณกรรมทางอุตุนิยมวิทยาระบุว่าระบบดังกล่าวเกิดขึ้นใน เดือนกันยายน พ.ศ. 2490, เดือนกันยายน พ.ศ. 2512, เดือนมกราคม พ.ศ. 2525, เดือนกันยายน พ.ศ. 2526, เดือนมกราคม พ.ศ. 2538, เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539, เดือนกันยายน พ.ศ. 2549, เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 และ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557[25][26] ระบบในปี พ.ศ. 2538 ก่อตัวได้ดีและมีการพบตาของพายุด้วย และมีลมที่บันทึกได้ 140 กม./ชม. และมีความกดอากาศที่ 975 มิลลิบาร์ แม้ว่ามันจะมีโครงสร้างของพายุหมุนเขตร้อน และอุณหภูมิน้ำทะเลที่ 16 °ซ ชี้ให้เห็นว่ามันมีขั้วที่ต่ำ[27]
ซีกโลกใต้
แก้ภายในซีกโลกใต้ พายุหมุนเขตร้อนก่อตัว เป็นประจำระหว่างชายฝั่งอเมริกาและแอฟริกัน พายุหมุนเขตร้อนและพายุหมุนกึ่งเขตร้อนที่ก่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ยังได้รับการสังเกตในบางเวลา ซึ่งมีวิธีการที่แตกต่างกันในการแยกพื้นที่ระหว่างชายฝั่งอเมริกาและแอฟริกา ตัวอย่างเช่น องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกได้กำหนดหน่วยงานต่างกัน 3 แอ่งในการติดตามการก่อตัวและเตือนภัยของพายุหมุนเขตร้อน เช่น ระหว่างมหาสมุทรอินเดียตะวันตก-ใต้ จากชายฝั่งแอฟริกาถึง 90°ตะวันออก, ภูมิภาคออสเตรเลีย ระหว่าง 90°ตะวันออก ถึง 160°ตะวันออก และมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ระหว่าง 160°ตะวันออก ถึง 120°ตะวันตก ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมของสหรัฐอเมริกา จะตรวจสอบในทุกภูมิภาค แต่แยกได้ ณ 135°ตะวันออก เข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้และมหาสมุทรอินเดียใต้
มหาสมุทรอินเดียตะวันตก-ใต้
แก้มหาสมุทรอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ในซีกโลกใต้ ระหว่างชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา ถึง 90°ตะวันออก และมีการตรวจสอบโดย RSMC เรอูว์นียง ขณะที่มอริเชียส, ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และหน่วยงานสภาพอากาศในมาดากัสกาก็เข้าตรวจสอบด้วยบางส่วน[28] จนกระทั่งการเริ่มต้นของฤดู 2528–29 แอ่งนี้ขยายไปถึง 80°ตะวันออก โดยระหว่าง 80°ตะวันออก ถึง 90°ตะวันออก ถือเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคออสเตรเลีย[29] เฉลี่ยแล้วมีพายุประมาณ 9 ลูกก่อตัวในแอ่งนี้ ขณะที่ 5 ลูก ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่มีกำลังแรงเทียบเท่ากับพายุเฮอร์ริเคนหรือพายุไต้ฝุ่น[30] พายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวบริเวณนี้จะมีผลกระทบต่อบางส่วนของประเทศหรือหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดีย หรือตามแนวชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา
ภูมิภาคออสเตรเลีย
แก้จากกลางปี พ.ศ. 2528 แอ่งนี้ขยายไปทางทิศตะวันตกที่ 80°ตะวันออก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพรมแดนด้านตะวันตกจึงอยู่ที่ 90°ตะวันออก[29] กิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนมักจะมีผลกระทบกับออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ตามที่สำนักอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียรายงาน ส่วนที่ถูกพายุโจมตีบ่อยที่สุดของออสเตรเลียคือช่วงระหว่างเอ็กซ์เมาท์, เวสเทิร์นออสเตรเลีย ถึงบรูม, เวสเทิร์นออสเตรเลีย[31] โดยเฉลี่ยอ่างนี้จะมีพายุประมาณ 7 ลูกต่อปี แม้ว่ามันสามารถมีมากขึ้นได้จากแอ่งอื่นๆ ได้ เช่น แปซิฟิกใต้[7][32][33] โดยมีพายุไซโคลนแวนซ์ เมื่อปี พ.ศ. 2542 มีความเร็วลมสูงที่สุดที่เคยบันทึกไว้ที่เมืองในออสเตรเลีย ประมาณ 267 กม./ชม.[34]
มหาสมุทรแปซิฟิกใต้
แก้แอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ เริ่มต้นที่ 160°ตะวันออก และไปสิ้นสุดที่ 120°ตะวันตก ซึ่งมีหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบพายุอย่างเป็นทางการคือหน่วยงานทางอุตุนิยมวิทยาของฟีจี และนิวซีแลนด์ พายุที่ก่อตัวในเขตนี้โดยทั่วไปจะส่งผลกระทบต่อประเทศทางตะวันตกของเส้นวัน แม้ว่าช่วงเอลนีโญจะมีพายุก่อตัวช่วงตะวันออกของเส้นแบ่งวันใกล้กับเฟรนช์พอลินีเชีย โดยเฉลี่ยในแอ่งนี้จะมีพายุก่อตัวประมาณ 1/2 ลูกและกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนรุนแรง
มหาสมุทรแอตแลนติกใต้
แก้พายุหมุนเขตร้อนก่อตัวในแอ่งนี้ได้ยาก และแอ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นแอ่งพายุหมุนเขตร้อนอย่างเป็นทางการ โดยพายุดีเปรสชันเขตร้อนและพายุโซนร้อนสามารถก่อตัวได้เป็นครั้งคราวได้ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ และพายุที่กลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนอย่างเต็มตัวคือ พายุไซโคลนคาตารินา เมื่อปี พ.ศ. 2547 และพัดเข้าถล่มบราซิล ต่อมาคือพายุโซนร้อนแอนิตา พ.ศ. 2553 ที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งของริโอแกรนด์โดซูล
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Chris Landsea. "Climate Variability table — Tropical Cyclones". Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory, National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ October 19, 2006.
- ↑ RA IV Hurricane Committee (March 13, 2015). Regional Association IV (North America, Central America and the Caribbean) Hurricane Operational Plan 2014 (PDF) (Report No. TCP-30). World Meteorological Organization. pp. 30–31, 101–105. สืบค้นเมื่อ March 28, 2015.
- ↑ WMO/ESCP Typhoon Committee (March 13, 2015). Typhoon Committee Operational Manual Meteorological Component 2015 (PDF) (Report No. TCP-23). World Meteorological Organization. pp. 40–41. สืบค้นเมื่อ March 28, 2015.
- ↑ RSMC — Tropical Cyclones New Delhi (2010). Report on Cyclonic Disturbances over North Indian Ocean during 2009 (PDF) (Report). India Meteorological Department. pp. 2–3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-04-06. สืบค้นเมื่อ May 24, 2011.
- ↑ RA I Tropical Cyclone Committee (November 9, 2012). Tropical Cyclone Operational Plan for the South-West Indian Ocean: 2012 (PDF) (Report No. TCP-12). World Meteorological Organization. pp. 13–14. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-29. สืบค้นเมื่อ March 29, 2015.
- ↑ 6.0 6.1 RA V Tropical Cyclone Committee (5 May 2015). List of Tropical Cyclone Names withdrawn from use due to a Cyclone's Negative Impact on one or more countries (PDF) (Tropical Cyclone Operational Plan for the South-East Indian Ocean and the Southern Pacific Ocean 2014). World Meteorological Organization. pp. 2B-1 - 2B-4 (23 - 26). สืบค้นเมื่อ 6 May 2015.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory, Hurricane Research Division. "Frequently Asked Questions: What are the average, most, and least tropical cyclones occurring in each basin?". NOAA. สืบค้นเมื่อ November 30, 2006.
- ↑ Climate Prediction Center (August 8, 2006). "Background Information: The North Atlantic Hurricane Season". National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ March 14, 2007.
- ↑ National Hurricane Center (March 8, 2007). "Tropical Cyclone Climatology". National Oceanic and Atmospheric Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-13. สืบค้นเมื่อ March 14, 2007.
- ↑ Blake, Eric S. (November 14, 2006). "Tropical Cyclone Report: Hurricane Gordon: 10–20 September 2006" (PDF). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ November 29, 2006.
- ↑ Franklin, James L. (February 22, 2006). "Tropical Cyclone Report: Hurricane Vince: 8–11 October 2005" (PDF). National Hurricane Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-07-10. สืบค้นเมื่อ November 29, 2006.
- ↑ 12.0 12.1 Climate Prediction Center, NOAA (May 22, 2006). "Background Information: East Pacific Hurricane Season". National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ May 24, 2006.
- ↑ 13.0 13.1 Chenoweth, Michael and Christopher Landsea (November 2004). "The San Diego Hurricane of 2 October 1858" (PDF). American Meteorological Society. สืบค้นเมื่อ December 1, 2006.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory, Hurricane Research Division. "Frequently Asked Questions: What regions around the globe have tropical cyclones and who is responsible for forecasting there?". NOAA. สืบค้นเมื่อ July 25, 2006.
- ↑ 15.0 15.1 Central Pacific Hurricane Center. "CPHC Climatology". National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ March 2, 2007.
- ↑ Central Pacific Hurricane Center (1992). "The 1992 Central Pacific Tropical Cyclone Season". สืบค้นเมื่อ March 2, 2007.
- ↑ Leone, Diana (August 23, 2006). "Hawaiian-named storm hits Johnston Isle". Star Bulletin. สืบค้นเมื่อ March 2, 2007.
- ↑ Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory, Hurricane Research Division. "Frequently Asked Questions: When is hurricane season?". NOAA. สืบค้นเมื่อ July 25, 2006.
- ↑ Weyman, James C. and Linda J. Anderson-Berry (December 2002). "Societal Impact of Tropical Cyclones". Fifth International Workshop on Tropical Cyclones. Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory. สืบค้นเมื่อ April 26, 2006.
- ↑ Shoemaker, Daniel N. (1991). "Characteristics of Tropical Cyclones Affecting the Philippine Islands" (PDF). Joint Typhoon Warning Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-02-05. สืบค้นเมื่อ November 29, 2006.
- ↑ Joint Typhoon Warning Center (2004). "1.2: North Indian Tropical Cyclones". 2003 Annual Tropical Cyclone Report. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-07. สืบค้นเมื่อ November 29, 2006.
- ↑ "Medicanes: cataloguing criteria and exploration of meteorological environments". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-29. สืบค้นเมื่อ 2015-08-22.
- ↑ ADGEO – redirect
- ↑ "Microsoft Word – EGS2000-Plinius-II-Meneguzzo.doc" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2003-05-25. สืบค้นเมื่อ 2015-08-22.
- ↑ Erik A. Rasmussen and John Turner (2003). Polar lows: mesoscale weather systems in the polar regions. Cambridge University Press. pp. 214–219. ISBN 978-0-521-62430-5. สืบค้นเมื่อ January 27, 2011.
- ↑ Schwartz (November 7, 2011). "TXMM21 KNES 071819". Satellite Services Division. National Oceanic and Atmospheric Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-02. สืบค้นเมื่อ November 7, 2011.
- ↑ "DR. JACK BEVEN'S IMAGES OF THE MEDITERRANEAN 'HURRICANE' (1995)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-05. สืบค้นเมื่อ 2015-08-22.
- ↑ World Meteorological Organization. "Tropical Cyclone RSMC / South-West Indian Ocean" (แม่แบบ:DOClink). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-08. สืบค้นเมื่อ November 29, 2006.
- ↑ 29.0 29.1 G. Kingston (August 1986). "The Australian Tropical Cyclone Season" (PDF). Australian Meteorology Magazine. 34: 103. สืบค้นเมื่อ April 29, 2013.
- ↑ http://www.aoml.noaa.gov/hrd/tcfaq/E10.html
- ↑ "Tropical Cyclones in Western Australia – Climatology". Bureau of Meteorology. สืบค้นเมื่อ August 8, 2006.
- ↑ "BoM — Severe Weather Event". Bureau of Meteorology. สืบค้นเมื่อ October 19, 2008.
- ↑ "Tropical Cyclone Trends". Bureau of Meteorology. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-22. สืบค้นเมื่อ October 19, 2008.
- ↑ "BoM — Cyclone Vance produces highest recorded wind speed in Australia". Bureau of Meteorology. สืบค้นเมื่อ October 19, 2008.