แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน

(เปลี่ยนทางจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน)

แอนดรูว์ เฮนรี รอเบิร์ตสัน (อังกฤษ: Andrew Henry Robertson; เกิด 11 มีนาคม ค.ศ. 1994) เป็นนักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหลังในพรีเมียร์ลีก ให้กับลิเวอร์พูลและฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์

แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน
MBE
รอเบิร์ตสันในงานพาเหรดชัยชนะหลังลิเวอร์พูลชนะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม แอนดรูว์ เฮนรี รอเบิร์ตสัน[1]
วันเกิด (1994-03-11) 11 มีนาคม ค.ศ. 1994 (30 ปี)[2]
สถานที่เกิด กลาสโกว์ สกอตแลนด์
ส่วนสูง 5 ft 10 in (1.78 m)[3]
ตำแหน่ง แบ็กซ้าย
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
ลิเวอร์พูล
หมายเลข 26
สโมสรเยาวชน
0000–2009 เซลติก
2009–2012 ควีนส์พาร์ก
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2012–2013 ควีนส์พาร์ก 34 (2)
2013–2014 ดันดียูไนเต็ด 36 (3)
2014–2017 ฮัลล์ซิตี 99 (3)
2017– ลิเวอร์พูล 210 (8)
ทีมชาติ
2013–2015 สกอตแลนด์ อายุไม่เกิน 21 ปี 4 (0)
2014– สกอตแลนด์ 67 (3)
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 21:06, 10 มีนาคม 2024 (UTC)
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 18:09, 12 ตุลาคม 2023 (UTC)

สโมสรอาชีพ แก้

ฮัลล์ซิตี แก้

ลิเวอร์พูล แก้

ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 รอเบิร์ตสันย้ายไปร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ โดยรอเบิร์ตสันได้สวมเสื้อหมายเลข 26[4] [5] ต่อมา ในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2017 รอเบิร์ตสันลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดแรกโดยลงสนามเป็นตัวจริง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 1-0 ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล 2017–18 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อการันตีโควต้าพื้นที่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอเบิร์ตสันทำประตูแรกในสีเสื้อของ ลิเวอร์พูล ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 4-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล2018-2019ได้สำเร็จ[6]

ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2019 รอเบิร์ตสันตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2024[7] ต่อมา รอเบิร์ตสันยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ซาดีโย มาเน และ เฟอร์จิล ฟัน ไดก์ 3 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[8]

ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 เจอกับ เชลซี แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่สนามโวดาโฟนพาร์ก, อิสตันบูล ประเทศตุรกี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ[9] ต่อมา ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E รอเบิร์ตสันทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค จากออสเตรีย 4-3[10] ต่อมา ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 รอเบิร์ตสันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 2-1[11] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล ในฐานะแชมป์เก่าของ โกปาลิเบร์ตาโดเรส ที่สนามกีฬาแห่งชาติคาลิฟา ในโดฮา, ประเทศกาตาร์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ[12]

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 รอเบิร์ตสันทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เบิร์นลีย์ 1-1 จบฤดูกาล รอเบิร์ตสันช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ[13] รอเบิร์ตสันยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์จิล ฟัน ไดก์, ซาดีโย มาเน และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 4 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย[14]

ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2020 รอเบิร์ตสันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1[15]

ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2021 รอเบิร์ตสันตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูลถึงปี 2026[16] ต่อมา ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2021 รอเบิร์ตสันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 แต่ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-2 ทำให้ รอเบิร์ตสันโดนแบน 3 นัด

ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 อีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 11-10 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพ สมัยที่ 9 ได้สำเร็จ[17] ต่อมา ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2022 รอเบิร์ตสันทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0[18]

ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 6-5 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่ 8 ได้สำเร็จ[19] ต่อมา ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ และต้องลุ้นให้ แมนเชสเตอร์ซิตี ไม่ชนะ แอสตันวิลลา ด้วย ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย รอเบิร์ตสันยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[20]

ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คอมมิวนิตีชีลด์ สมัยที่ 16 ได้สำเร็จ[21] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2022 รอเบิร์ตสันสร้างสถิติใหม่เป็นกองหลังที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 54 ครั้ง จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 231 นัด โดยจ่ายบอลให้ เศาะลาห์ทำประตูในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 3-1[22]

ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2023 คักโปทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023–24 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วูลฟ์แฮมตันวันเดอเรอส์ ที่สนามกีฬาโมลีนิวส์ 3-1[23]

สถิติอาชีพ แก้

สโมสร แก้

ณ วันที่ 14 มีนาคม 2024
การลงเล่นและประตูต่อสโมสร ฤดูกาล และการแข่งขัน
สโมสร ฤดูกาล ลีก คัพ[a] ลีกคัพ[b] ยุโรป อื่น ๆ รวม
ดิวิชัน ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
ควีนส์พาร์ก 2012–13[24] สกอตติชดิวิชันที่สาม 34 2 2 0 3 0 4[c] 0 43 2
ดันดียูไนเต็ด 2013–14[24] สกอตติชพรีเมียร์ชิป 36 3 5 2 3 0 44 5
ฮัลล์ซิตี 2014–15[24] พรีเมียร์ลีก 24 0 0 0 0 0 0 0 24 0
2015–16[24] แชมเปียนชิป 42 2 2 0 5 1 3[d] 1 52 4
2016–17[24] พรีเมียร์ลีก 33 1 2 0 4 0 39 1
รวม 99 3 4 0 9 1 0 0 3 1 115 5
ลิเวอร์พูล 2017–18[25] พรีเมียร์ลีก 22 1 1 0 1 0 6[e] 0 30 1
2018–19[26] พรีเมียร์ลีก 36 0 0 0 0 0 12[e] 0 48 0
2019–20[27] พรีเมียร์ลีก 36 2 1 0 0 0 8[e] 1 4[f] 0 49 3
2020–21[28] พรีเมียร์ลีก 38 1 1 0 0 0 10[e] 0 1[g] 0 50 1
2021–22[29] พรีเมียร์ลีก 29 3 4 0 4 0 10[e] 0 47 3
2022–23[30] พรีเมียร์ลีก 34 0 2 0 1 0 5[e] 0 1[g] 0 43 0
2023–24 พรีเมียร์ลีก 15 1 1 0 1 0 2 0 19 1
รวม 210 8 10 0 7 0 53 1 6 0 286 9
รวมทั้งหมด 379 16 21 2 22 1 53 1 13 1 488 21
  1. รวมสกอตติชคัพ, เอฟเอคัพ
  2. รวมสกอตติชลีกคัพ, อีเอฟแอลคัพ
  3. ลงเล่นสองครั้งในสกอตติชชาลเลนจ์คัพ สองครั้งในรอบเพลย์ออฟดิวิชันที่สอง
  4. ลงเล่นในรอบเพลย์ออฟชิงชนะเลิศ
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  6. ลงเล่นครั้งเดียวในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์; ลงเล่นครั้งเดียวในยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ลงเล่นสองครั้งในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก
  7. 7.0 7.1 ลงเล่นในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์

ทีมชาติ แก้

ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2023.[31]
ทีมชาติ ปี ลงเล่น ประตู
สกอตแลนด์ 2014 5 1
2015 3 0
2016 4 0
2017 8 1
2018 8 0
2019 6 1
2020 6 0
2021 15 0
2022 5 0
2023 7 0
รวม 67 3

ประตูในนามทีมชาติ แก้

ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2022
ลำดับ วันที่ สนามแข่ง Cap คู่แข่ง คะแนน ผล การแข่งขัน อ้างอิง
1 18 พฤศจิกายน 2014 เซลติกพาร์ก กลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ 5   อังกฤษ 1–2 1–3 กระชับมิตร [32]
2 1 กันยายน 2017 LFF Stadium วิลนีอัส ประเทศลิทัวเนีย 16   ลิทัวเนีย 2–0 3–0 ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก [33]
3 8 มิถุนายน 2019 แฮมป์เดนพาร์ก กลาสโกว์ สกอตแลนด์ 30   ไซปรัส 1–0 2–1 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [34]

เกียรติประวัติ แก้

สโมสร แก้

ฮัลล์ซิตี

  • ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป รอบเพลย์ออฟ: 2016[35]

ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว แก้

อ้างอิง แก้

  1. "FIFA Club World Cup Qatar 2019: List of Players: Liverpool" (PDF). FIFA. 21 December 2019. p. 7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 January 2020.
  2. "Andy Robertson: Overview". ESPN. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  3. "Andrew Robertson: Profile". worldfootball.net. HEIM:SPIEL. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  4. "สโมสรลิเวอร์พูลคว้าตัวแอนดี รอเบิร์ตสัน มาร่วมทีม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-24. สืบค้นเมื่อ 2017-07-22.
  5. "เผยหมายเลขเสื้อของแอนดี รอเบิร์ตสัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-24. สืบค้นเมื่อ 2017-07-22.
  6. "ฉลองชุดใหม่! ลิเวอร์พูลปิดฉากพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2017-18 ด้วยสามแต้ม และคลีนชีต". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-05-16. สืบค้นเมื่อ 2018-05-14.
  7. แอนดี รอเบิร์ตสัน เซ็นสัญญาระยะยาวฉบับใหม่กับลิเวอร์พูล (วิดีโอ)
  8. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกหลังชนะสเปอร์ส 2-0
  9. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ซูเปอร์ คัพ หลังดวลจุดโทษชนะเชลซี
  10. Match Report: ลิเวอร์พูลเฉือนซัลซ์บวร์ก 4-3 ในแชมเปียนส์ลีก
  11. Match Report: ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะวิลลาด้วยประตูชัยช่วงทดเวลา
  12. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์คลับ เวิลด์ ที่กาตาร์
  13. อัลบั้มภาพ: ทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
  14. 5 นักเตะหงส์แดงมีชื่อในทีมแห่งปีของพีเอฟเอประจำฤดูกาล 2019-20
  15. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าสามแต้มเหนืออาร์เซนอล
  16. แอนดี โรเบิร์ตสัน เซ็นสัญญาระยะยาวฉบับใหม่กับสโมสรลิเวอร์พูล
  17. Match Report: ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษชนะเชลซีคว้าแชมป์คาราบาว คัพ
  18. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าชัยในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีที่แอนฟิลด์
  19. Match Report: ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษชนะเชลซีคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ
  20. Match Report: ลิเวอร์พูลชนะวูล์ฟส์ในเกมสุดท้ายที่แอนฟิลด์
  21. Match Report: ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์
  22. Match Report: ลิเวอร์พูลพูลคว้าชัยเหนือวิลล่าในวันบ๊อกซิ่ง เดย์
  23. Match Report: ลิเวอร์พูลบุกพลิกชนะวูล์ฟส์ 3-1
  24. 24.0 24.1 24.2 24.3 24.4 "A. Robertson". Soccerway. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  25. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2017/2018". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  26. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2018/2019". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  27. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2019/2020". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  28. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2020/2021". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 6 September 2020.
  29. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2021/2022". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 28 August 2021.
  30. "Games played by แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน in 2022/2023". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 30 July 2022.
  31. Robertson, Andrew ที่ National-Football-Teams.com
  32. "Scotland vs. England 1–3: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  33. "Lithuania vs. Scotland 0–3: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  34. "Scotland vs. Cyprus 2–1: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  35. Williams, Adam (28 May 2016). "Hull City 1–0 Sheffield Wednesday". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 5 June 2016.
  36. "Andrew Robertson: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 24 August 2020.
  37. McNulty, Phil (14 May 2022). "Chelsea 0–0 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 14 May 2022.
  38. McNulty, Phil (27 February 2022). "Chelsea 0–0 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 27 February 2022.
  39. "Nunez nets as Liverpool win Community Shield". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-07-30.
  40. McNulty, Phil (1 June 2019). "Tottenham Hotspur 0–2 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 1 June 2019.
  41. Rose, Gary (14 August 2019). "Liverpool 2–2 Chelsea". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 15 August 2019.
  42. Poole, Harry (21 December 2019). "Liverpool 1–0 Flamengo". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 21 December 2019.
  43. "Three Celtic players make player of year shortlist". BBC Sport. 17 April 2014. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
  44. "Celtic and Dundee United trios in SPFL Premiership team of year". BBC Sport. 18 April 2014. สืบค้นเมื่อ 24 April 2014.
  45. 45.0 45.1 "Dundee United defender wins player award". Evening Telegraph. 7 December 2013. สืบค้นเมื่อ 24 November 2014.
  46. "PFA Team of the Year: Paul Pogba, Raheem Sterling and Sadio Mane included in side". BBC Sport. 25 April 2019. สืบค้นเมื่อ 27 February 2022.
  47. "PFA Player of the Year: Kevin de Bruyne and Beth England named 2020 winners". BBC Sport. 8 September 2020. สืบค้นเมื่อ 27 February 2022.
  48. "Champions League breakthrough team of 2018". UEFA.com. Union of European Football Associations. 21 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 December 2018.
  49. "UEFA Champions League Squad of the Season". UEFA.com. Union of European Football Associations. 2 June 2019. สืบค้นเมื่อ 2 June 2019.
  50. "2021/22 UEFA Champions League Team of the Season". UEFA.com. Union of European Football Associations. 31 May 2022. สืบค้นเมื่อ 31 May 2022.
  51. "UEFA.com fans' Team of the Year 2019 revealed". UEFA.com. Union of European Football Associations. 15 January 2020. สืบค้นเมื่อ 15 January 2020.
  52. "ESM reveal Team of the Year for 2019/20". Marca. 31 August 2020. สืบค้นเมื่อ 31 August 2020.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้