แมวคาลิโก หรือ แมวสามสี (อังกฤษ: calico cat) เป็นแมวบ้านที่มีขนสามสี จะเป็นพันธุ์ใดก็ได้ มักเชื่อกันว่าแมวสามสีต้องมีสีขาวอยู่ประมาณ 25–75% กับมีหย่อมขนสีดำและสีส้ม กระนั้น ลวดลายแมวคาลิโกอาจเป็นสีอื่นก็ได้ แมวคาลิโกเป็นตัวเมียแทบทั้งสิ้น เว้นแต่มีสภาวะทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก

แมวที่มีลวดลายแบบคาลิโก
แมวคาลิโกเมื่อมองจากด้านบน

มักมีความสับสนระหว่างแมวคาลิโกแมวสีเปรอะ (แมวสีกระดองเต่า, tortoiseshell) ที่มีลายกะดำกะด่างสีดำ/ส้ม หรือสีเทา/ครีม โดยมีแต้มสีขาวอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม นอกแถบอเมริกาเหนือมักเรียกลวดลายแบบคาลิโกว่าลายกระดองเต่าและสีขาว (tortoiseshell and white)[ต้องการอ้างอิง] เรียกแมวคาลิโกที่มีสีจางว่า calimanco หรือ clouded tiger บางครั้งอาจพบว่าแมวมีลวดลายคาลิโกพร้อมกับมีลายแบบแท็บบีด้วย เรียกแมวที่มีลวดลายเช่นนี้ว่าคาลิบี (caliby)[1]

"คาลิโก" หมายถึงลวดลายของสีที่ปรากฏบนขน โดยเปรียบกับผ้าคาลิโกพิมพ์สี มิได้หมายถึงพันธุ์ของแมวหรืออิงกับลักษณะอื่นใด เช่น สีตา[2] ในบรรดาพันธุ์ที่มาตรฐานทางการยอมรับให้ลงทะเบียนลวดลายคาลิโกได้ ได้แก่ แมงซ์, อเมริกันขนสั้น เมนคูน, บริติชขนสั้น แมวเปอร์เซีย แมวหางกุดญี่ปุ่น เอกซ์โซติกขนสั้น ไซบีเรียน เทอร์กิชแวน เทอร์กิชแองโกรา และแมวป่านอร์เวย์

เนื่องจากการกำหนดทางพันธุกรรมของสีขนแมวคาลิโกเชื่อมโยงกับโครโมโซม X แมวคาลิโกเกือบจะเป็นเพศเมียแทบจะทั้งหมด โดยสีหนึ่งขึ้นกับโครโมโซม X ที่ได้รับจากฝ่ายแม่ และอีกขึ้นกับโครโมโซม X จากฝ่ายพ่อ[2][3] กรณีส่วนใหญ่ ตัวผู้จะมีขนเพียงสีเดียวเท่านั้น (เช่นสีดำ) เนื่องจากมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว แมวคาลิโกตัวผู้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อแมวตัวนั้นมีโครโมโซม X สองแท่ง (กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ กล่าวคือมีชุดโครโซม XXY ซึ่งมักจะเป็นหมัน) หรือเกิดขึ้นเมื่อแมวตัวนั้นเป็นคิเมียราซึ่งมีเซลล์ร่างกายสองแบบที่แตกต่างกัน[4] หรือกรณีที่พบได้ไม่บ่อยคือ เซลล์ผิวหนังของลูกแมวที่กำลังเจริญเติบโตเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นเอง

แมวคาลิโกบางตัวอาจมีสีโดยรวมอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับแมวตัวอื่น เรียกว่าคาลิโกสีจาง (diluted calico) ซึ่งพบได้บ่อยในหมู่แมวคาลิโก[ต้องการอ้างอิง] โดยแตกต่างจากคาลิโกปกติด้วยการมีสีเทา (อาจเรียกได้อีกอย่างว่าสีน้ำเงิน), สีครีม และสีทอง แทนที่จะเป็นสีดำ, แดง และน้ำตาลบนพื้นขาวตามปกติ

ประวัติศาสตร์

แก้

ขนแบบคาลิโกไม่ได้นิยามว่าเป็นแมวพันธุ์ใด ๆ แต่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในแมวซึ่งมีการแสดงออกของสีขนที่หลากหลาย ดังนั้นรูปแบบสีขนที่เกิดขึ้นจึงไม่มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของแต้มแบบคาคาลิโกได้รับการศึกษาในระดับหนึ่งโดย Neil Todd ในการศึกษาเส้นทางการอพยพของแมวบ้านไปตามเส้นทางการค้าในยุโรปและแอฟริกาเหนือ[5] สัดส่วนของยีนกลายพันธุ์ที่ให้ขนสีส้มที่พบในแมวคาลิโกสามารถตามสืบไปได้ถึงเมืองท่าริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในกรีซ, ฝรั่งเศส, สเปนและอิตาลี จนพบว่ามีต้นกำเนิดจากอียิปต์[6] แมวคาลิโกได้กลายมาเป็นแมวประจำรัฐแมรีแลนด์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2001 ซึ่งได้รับเลือกในตำแหน่งดังกล่าวเนื่องจากรูปแบบขนสีขาว ดำ และส้มของมัน มีความคล้ายคลึงกับที่ปรากฏในนกขมิ้นบัลติมอร์ (นกประจำรัฐ) และผีเสื้อลายตารางหมากรุกบัลติมอร์ (แมลงประจำรัฐ)

พันธุศาสตร์

แก้
 
แมวคาลิโกมีลายที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมาจากครอกเดียวกันก็ตาม

ในทางพันธุศาสตร์ แมวคาลิโกคล้ายคลึงกับแมวสีเปรอะในเกือบทุกด้าน เว้นแต่ว่าแมวสีเปรอะมีขนชั้นใน (undercoat) สีดำ ส่วนแมวคาลิโกมีขนชั้นในสีขาว ความแตกต่างประการหนึ่งก็คือ ยิ่งบริเวณสีขาวมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด หย่อมขนสีส้มและสีดำ หรือลายสลิด (tabby) ก็จะยิ่งมีจำนวนน้อยและเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น ตามหลักคิดพื้นฐาน[7] ในทางตรงกันข้าม แมวสีเปรอะที่ไม่มีแต้มสีขาวมักมีหย่อมสีขนาดเล็กกว่า หรือกระทั่งดูคล้ายกับหย่อมเกลือผสมพริกไทย ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงผลของพันธุกรรมที่มีต่อความเร็วสัมพัทธ์การเคลื่อนตัวของเมลาโนไซต์และการปิดการทำงานของโครโมโซม X ในเอมบริโอ[8]

มีการศึกษาแมวคาลิโกอย่างจริงจังเมื่อราว ค.ศ. 1948 โดยเมอร์เรย์ บาร์ (Murray Barr) และอี.จี. เบอร์แทรม (E.G. Bertram) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของเขา สังเกตเห็นก้อนสีเข้มลักษณะคล้ายน่องไก่ภายในนิวเคลียสของเซลล์ประสาทแมวเพศเมีย แต่ไม่พบในแมวเพศผู้ ก้อนสีทึบดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อบาร์บอดี (Barr body)[9] เมื่อ ค.ศ. 1959 นักชีววิทยาเซลล์ สุสุมุ โอโนะ ระบุว่าบาร์บอดีคือโครโมโซม X[10] เมื่อ ค.ศ. 1961 แมรี ลียงเสนอหลักการของการปิดการทำงานโครโมโซม X (X-inactivation) ที่หนึ่งในโครโมโซม X ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศเมียถูกปิดการทำงาน[11] โดยแมรีสังเกตเห็นจากรูปแบบสีขนในหนู[12] แมวคาลิโกมีอัลลีลต่างกันสองอัลลีล โดยได้รับมาจากพ่อและแม่ฝั่งละหนึ่งอัลลีล ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดสีขน ตามปกติ แต่ละอัลลีลที่ได้รับมาจะสร้างสีขนสีดำหรือส้มล้วน แต่กับแมวคาลิโก การปิดการทำงานของโครโมโซม X (เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Lyonization ตามชื่อผู้ค้นพบ) เกิดขึ้นอย่างสุ่มทั่วตัว ทำให้เกิดลักษณะสีขนที่ต่างกันอย่างชัดเจน[13]

แมวคาลิโกเป็นเพศเมียแทบจะทั้งสิ้น เนื่องจากโลคัสของยีนที่กำหนดขนสีส้ม/ไม่เป็นสีส้มอยู่บนโครโมโซม X[14] หากไม่คำนึงถึงอิทธิพลอื่น ๆ เช่น การยับยั้งการสร้างสีซึ่งเป็นสาเหตุของการมีขนสีขาว (ไม่มีสี) รูปแบบอัลลีลของโลคัสดังกล่าวจะเป็นสิ่งกำหนดว่าขนจะเป็นสีส้มหรือไม่เป็นสีส้ม แมวตัวเมียต่างก็มีโครโมโซม X สองแท่งเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีรกชนิดอื่น ในทางกลับกัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีรกตัวผู้มีโครโมโซม X และ Y อย่างละแท่ง[2][11][15] แมวเพศผู้ซึ่งมีโครโมโซม XY ไม่สามารถมีทั้งยีนขนสีส้มและยีนขนไม่เป็นสีส้มพร้อมกันได้ เนื่องจากโครโมโซม Y ไม่มีโลคัสสำหรับยีนขนสีส้ม ซึ่งเป็นสาเหตุตามปกติที่ทำให้เกิดลักษณะขนสีเปรอะหรือคาลิโกขึ้น[16][17]

มีข้อยกเว้นประการหนึ่งคือ อาจพบกรณีการแบ่งเซลล์ผิดพลาดที่ทำให้โครโมโซม X ส่วนเกินเหลืออยู่ในเซลล์สืบพันธุ์เซลล์ใดเซลล์หนึ่งที่สร้างแมวตัวผู้ จากนั้นโครโมโซม X ส่วนเกินจะถูกทำซ้ำในเซลล์ร่างกายแต่ละเซลล์ของมัน เป็นภาวะที่แสดงการมีโครโมโซม XXY หรือกลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ รูปแบบการรวมโครโมโซมเช่นนี้สามารถสร้างลักษณะแต้มสีแบบเปรอะหรือแบบคาลิโกในแมวเพศผู้ ในทำนองเดียวกันกับการที่คู่โครโมโซม XX สร้างลักษณะดังกล่าวในแมวเพศเมีย[18][ต้องการอ้างอิง]

ประมาณหนึ่งในสามพันของแมวคาลิโกตัวหรือสีเปรอะตัวผู้เป็นหมัน เนื่องจากความผิดปกติของโครโมโซม และนักปรับปรุงพันธุ์สัตว์มักปฏิเสธที่จะนำแมวตัวผู้ที่มีลักษณะขนเช่นนี้มาเป็นพ่อพันธุ์ เพราะพวกมันมักมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงและความสามารถในการสืบพันธุ์ต่ำ แม้ว่าจะมีกรณีหายากซึ่งแมวคาลิโกตัวผู้มีสุขภาพดีและสามารถสืบพันธุ์ได้ ผู้ลงทะเบียนพันธุ์แมว (cat registry) ก็มักที่จะไม่ยอมรับแมวดังกล่าวเป็นสัตว์สำหรับส่งประกวด[19]

ซู ฮับเบิลเคยกล่าวไว้ในหนังสือ Shrinking the Cat: Genetic Engineering Before We Knew About Genes ว่า

การกลายพันธุ์ซึ่งทำให้แมวตัวผู้มีขนสีส้ม (ginger) และตัวเมียมีขนสีส้ม ลายกระดองเต่า หรือลายคาลิโก ช่วยสร้างแบบแผนที่ให้ข้อมูลอย่างยิ่ง ยีนกลายพันธุ์ที่ให้ขนสีส้มพบเฉพาะบนโครโมโซม X หรือก็คือโครโมโซมเพศเมีย แมวตัวเมียมีโครโซมเพศที่เข้าคู่กัน คือ XX ส่วนแมวตัวผู้มีโครโมโซมเพศ XY เช่นเดียวกับในมนุษย์ ดังนั้น แมวตัวเมียอาจมียีนกลายพันธ์ุให้ขนสีส้มอยู่บนโครโมโซม X แท่งหนึ่ง และยีนสำหรับขนสีดำอยู่บนอีกแท่งก็ได้ ยีนลายด่างอยู่บนอีกโครโมโซม ซึ่งถ้าแสดงออกมา ยีนนี้จะเข้ารหัสสำหรับขนสีขาว หรือก็คือไม่มีสี และข่มอัลลีลที่เข้ารหัสสำหรับบางสี เช่น สีส้มหรือสีดำ ทำให้เกิดเป็นแต้มสีขาวบนตัวแมวคาลิโก ถ้าหากว่าเป็นตามที่กล่าวมาแล้ว ยีนสีขนเหล่านี้ก็จะแสดงออกมาเป็นลักษณะขนด่างดวงในแมวจำพวกลายกระดองเต่าหรือลายคาลิโก ส่วนตัวผู้ ซึ่งมีโครโมโซม X หนึ่งแท่ง มียีนสีขนที่ว่าเพียงยีนเดียว มันอาจมีขนสีส้มหรือไม่ใช่สีส้มก็ได้ ถึงแม้ยีนปรับแต่งบางยีนอาจช่วยเติมแต่งสีขาวตรงนั้นตรงนี้บ้างเล็กน้อย แต่ถ้ามันไม่มีความผิดปกติของโครโมโซม มันก็ไม่อาจเป็นแมวลายคาลิโกได้[6]

การทำซ้ำรูปแบบลายขนของแมวคาลิโกด้วยการโคลนนิงถือเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากมากในปัจจุบัน ดังปรากฏในก็อปปีแคต (Copy Cat) ซึ่งมีตัวต้นแบบคือแมวที่ชื่อเรนโบว์ ซึ่งเป็นแมวบ้านขนยาวลายคาลิโก แต่ทั้งก็อปปีแคตและเรนโบว์กลับมีรูปแบบลายขนที่ต่างกัน[20]

การศึกษาแมวคาลิโกอาจช่วยให้ข้อค้นพบสำคัญในประเด็นความแตกต่างทางสรีรวิทยาระหว่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวผู้และตัวเมีย[11][15][21]

คติชน

แก้

ในคติชนของหลายวัฒนธรรม เชื่อกันว่าแมวที่มีสีนี้จะนำความโชคดีมาให้[22] ในเยอรมนี คำสำหรับเรียกแมวคาลิโกคือ "Glückskatze" ซึ่งแปลว่า "แมวนำโชค" ในสหรัฐอเมริกาบางครั้งเรียกว่า แมวเงิน (money cat)[23] แมวคาลิโกยังเป็นแมวประจำรัฐแมรีแลนด์ของสหรัฐอเมริกา[24] ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า ยูจีน ฟิลด์ได้ตีพิมพ์ "เดอะดูเอล" ซึ่งเป็นบทกวีสำหรับเด็กที่รู้จักกันในชื่อ "The Gingham Dog and the Calico Cat" ในญี่ปุ่น รูปปั้นมาเนกิเนโกะเป็นตัวแทนของแมวคาลิโกที่นำความโชคดีมาให้ และกะลาสีเรือญี่ปุ่นมักมีแมวประจำเรือเป็นแมวคาลิโกเพื่อกันความเคราะห์ร้ายในทะเล[25]

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Cat Colors FAQ: Common Colors - Torties, Patched Tabbies and Calicos :เก็บถาวร 5 ตุลาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  2. 2.0 2.1 2.2 Robinson, Richard. "Mosaicism". Genetics. New York: Macmillan Reference USA, 2003. 76-80.
  3. "Calico cat". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 5 December 2014.
  4. "XX/XY Chimerism in a Tricolored Male Cat". Cytogenetics. สืบค้นเมื่อ 2020-06-22.
  5. Todd, Neil B. (November 1977) Cats and Commerce. Scientific American.
  6. 6.0 6.1 Hubbell, Sue. Shrinking the Cat: Genetic Engineering Before We Knew About Genes. Boston: Houghton Mifflin, 2001.
  7. "The Science Behind the Calico Cat's Colors". Lets talk science. 17 March 2020. สืบค้นเมื่อ 16 March 2022.
  8. Robinson, Roy. Genetics for Cat Breeders and Veterinarians, Butterworth-Heinemann Medical, 1991. ISBN 978-0750635400
  9. Travis, John. "Silence of the Xs". Science News. 158 (6): 92–94. 5 August 2000.
  10. Travis, John. "Silence of the Xs". Science News. 158 (6): 92–94. 5 August 2000.
  11. 11.0 11.1 11.2 Travis, John. "Silence of the Xs". Science News. 158 (6): 92–94. 5 August 2000.
  12. Gilbert, Scott F. "Transcriptional Regulation of an Entire Chromosome: Dosage Compensation." Developmental Biology, Sunderland, Mass.: Sinauer Associates, 2000.
  13. "The Genetics of Calico Cats - QPS Clinical Research". QPS (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 16 December 2020. สืบค้นเมื่อ 18 March 2022.
  14. https://www.tuxedo-cat.co.uk/calico-cats/
  15. 15.0 15.1 Gunter, Chris. "She Moves in Mysterious Ways". Nature 17 March 2005.
  16. "The Genetics of Calico Cats - QPS Clinical Research". QPS (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 16 December 2020. สืบค้นเมื่อ 18 March 2022.
  17. "Are All Orange Cats are Male, and Calico Cats are Female?". PussMeow (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 June 2020. สืบค้นเมื่อ 4 May 2020.
  18. "Are All Orange Cats are Male, and Calico Cats are Female?". PussMeow (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-30. สืบค้นเมื่อ 2020-05-04.
  19. "What's A Chimera? Thanks To A Genetic Anomaly, An Extremely Rare Fertile Male Calico Is Born". Cat Gazette. สืบค้นเมื่อ 2020-06-24.
  20. Hubbell, Sue. Shrinking the Cat: Genetic Engineering Before We Knew About Genes. Boston: Houghton Mifflin, 2001.
  21. Pearson-White, Sonia. "Mammalian Genetics: X/imprinting เก็บถาวร 17 มิถุนายน 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". The University of Virginia. 2004. Accessed 23 May 2010.
  22. Hartwell, Sarah (1995). "Feline Folktails - Cats in Folklore and Superstition". สืบค้นเมื่อ 22 January 2009.
  23. Finegan, Edward; Rickford, John (2004). "Language in the USA: Themes for the Twenty-first Century". Cambridge University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2013. สืบค้นเมื่อ 22 January 2009.
  24. "Maryland State Cat: Calico Cat".
  25. Finlay, Katie (November 25, 2017). "4 Things You Didn't Know About Calico Cats". iHeartCats.com. HomeLife Media. สืบค้นเมื่อ January 17, 2018.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
  •   วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Calico cats