แมรี ทิวดอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส
แมรี ทิวดอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Marie d'Angleterre (ออกเสียง), อังกฤษ: Mary Tudor, Queen of France) (18 มีนาคม ค.ศ. 1496 - 25 มิถุนายน ค.ศ. 1533) แมรี ทิวดอร์ เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1514 ถึงวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1515
แมรี ทิวดอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส | |
---|---|
แมรี ทิวดอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส | |
ประสูติ | 18 มีนาคม ค.ศ. 1496 พระราชวังริชมอนด์ ราชอาณาจักรอังกฤษ |
สิ้นพระชนม์ | 25 มิถุนายน ค.ศ. 1533
(37 ปี) ซัฟโฟล์ค ราชอาณาจักรอังกฤษ |
จักรพรรดินี | พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส ชาร์ลส์ แบรนดอน ดยุคแห่งซัฟโฟล์คที่ 1 |
แมรี ทิวดอร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส | |
พระบุตร | เฮนรี แบรนดอน เอิร์ลแห่งลิงคอล์นที่ 1 ฟรานซ์ เกรย์ ดัชเชสแห่งซัฟโฟล์ค เอเลนอร์ คลิฟฟอร์ด เคานเทสแห่งคัมเบอร์แลนด์ |
ราชวงศ์ | ทิวดอร์ วาลัวส์ |
พระบิดา | สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ |
พระมารดา | เอลิซาเบธแห่งยอร์ค สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ |
แมรีประสูติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1496 ที่พระราชวังริชมอนด์ในราชอาณาจักรอังกฤษ เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ และเอลิซาเบธแห่งยอร์ค แมรีเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 พระองค์ทรงเสกสมรสครั้งแรกกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์เสด็จสวรรคตพระองค์ก็ทรงเสกสมรสเป็นครั้งที่สองกับชาร์ลส์ แบรนดอน ดยุคแห่งซัฟโฟล์คที่ 1 (Charles Brandon, 1st Duke of Suffolk)
การเสกสมรสครั้งแรก: พระราชินีแห่งฝรั่งเศส
แก้เจ้าหญิงแมรีเป็นพระราชบุตรีองค์ที่ห้าในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 และเอลิซาเบธแห่งยอร์ค เมื่อยังทรงพระเยาว์พระองค์ทรงมีความสนิทสนมอย่างใกล้ชิดกับพระเชษฐาเจ้าชายเฮนรี จนพระเจ้าเฮนรีประทานพระนามพระธิดาองค์โตตามพระนามของพระองค์ – แมรี นอกจากนั้นก็ยังทรงตั้งชื่อเรือรบหลวงว่า “กุหลาบแมรี” (Mary Rose) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระองค์
เจ้าหญิงแมรีทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระสิริโฉมงดงามที่สุดพระองค์หนึ่งในบรรดาเจ้าหญิงในยุโรป[1] พระองค์ทรงถูกหมั้นหมายกับสมเด็จพระจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1507 แต่สถานะการณ์อันผันผวนทางการเมืองของยุโรปทำให้การเสกสมรสมิได้เกิดขึ้น[2] คาร์ดินัลทอมัส โวลซีย์ (Thomas Wolsey) จึงหันมาเจรจาสันติภาพกับฝรั่งเศส และเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1514 เมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษาเจ้าหญิงแมรีก็ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศสผู้มีพระชนมายุ 52 พรรษาโดยมีแอนน์ โบลีนเป็นหนึ่งในนางสนองพระโอษฐ์ ราชทูตเวนิสบรรยายเจ้าหญิงแมรีว่า “มีพระวรการสูงเพรียว พระเนตรสีเทาที่ดูซีดปราศจากสี” ทรงฉลองพระองค์ไหมที่งดงามโดยมีพระเกศาสยายลงมาถึงบั้นพระองค์[3] แม้ว่าจะทรงเสกสมรสมาก่อนหน้านั้นแล้วสองครั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ก็ยังคงพยายามที่จะมีรัชทายาท แต่พระองค์ก็มาเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1515 เพียงไม่ถึงสามเดือนหลังจากการเสกสมรส ที่ว่ากันว่าเกิดจากการที่ทรงหักโหมในกิจกรรมในห้องพระบรรทม แต่การเสกสมรสครั้งสุดท้ายก็มิได้ทำให้มีพระราชโอรสเช่นเดียวกับสองครั้งแรก หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าหลุยส์แล้วพระเจ้าฟรองซัวส์พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ก็พยายามเสกสมรสกับพระราชินีหม้ายแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น[4]
การสมรสครั้งที่สอง: ดัชเชสแห่งซัฟโฟล์ค
แก้พระราชินีแมรีไม่ทรงมีความสุขกับชีวิตสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าขณะนั้นทรงตกหลุมรักชาร์ลส์ แบรนดอน ดยุคแห่งซัฟโฟล์คที่ 1 อยู่แล้ว[5] สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เองก็ทรงทราบความรู้สึกของพระขนิษฐา[6] แต่ก็ยังทรงหวังจะใช้การสมรสของแมรีให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองต่อไป ฉะนั้นเมื่อทรงส่งให้แบรนดอนไปรับตัวพระราชินีแมรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1515 พระองค์ก็ให้แบรนดอนให้คำสัญญาว่าจะไม่ขอแมรีแต่งงาน[7] แต่แมรีและแบรนดอนก็แต่งงานกันอย่างลับๆ ในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ซึ่งตามกฎแล้วก็เป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการกบฏต่อแผ่นดินเพราะแบรนดอนแต่งงานกับเจ้าหญิงในราชตระกูลโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเฮนรี พระเจ้าเฮนรีทรงมีความพิโรธเป็นอันมาก ฝ่ายองคมนตรีก็ยุให้พระองค์จับแบรนดอนและประหารชีวิต แต่คาร์ดินัลทอมัส โวลซีย์เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และพระเจ้าเฮนรีเองก็โปรดปรานทั้งแบรนดอนและพระขนิษฐา ทั้งสองคนจึงถูกลงโทษเพียงเสียค่าปรับเป็นจำนวนมหาศาล (ประมาณ £7,200,000 เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน) แต่ก็ได้รับการผ่อนผันบ้างต่อมา[8] แบรนดอนและแมรีสมรสกันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1515 พระราชวังกรีนนิช
แม้ว่าจะทรงเสกสมรสเป็นครั้งที่สองในอังกฤษแต่แมรีก็ยังรู้จักกันในนามว่า “พระราชินีฝรั่งเศส” และไม่เป็นที่รู้จักกันตามบรรดาศักดิ์ว่าเป็น “ดัชเชสแห่งซัฟโฟล์ค” เมื่อทรงมีชีวิตอยู่[9] แมรีทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ที่ตั้งของดัชชีในซัฟโฟล์ค[10]
ความสัมพันธ์ระหว่างแมรีและสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 มาห่างเหินกันในปลายคริสต์ทศวรรษ 1520 เมื่อแมรีไม่ทรงเห็นด้วยกับการขอให้ประกาศการแต่งงานกับแคเธอรีนแห่งอารากอนเป็นโมฆะของพระเชษฐา แมรีคุ้นเคยกับพระราชินีแคเธอรีนอยู่เป็นเวลาหลายปีและไม่โปรดแอนน์ โบลีน[11] ผู้ที่ทรงรู้จักครั้งแรกในฝรั่งเศส[12]
แมรีสิ้นพระชนม์ที่คฤหาสน์เวสต์ธอร์พฮอลล์ในซัฟโฟล์คเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1533 พระร่างถูกบรรจุที่เบอรีเซนต์เอ็ดมันด์ในซัฟโฟล์ค แต่ต่อมาถูกย้ายไปอยู่ที่วัดเซนต์แมรีในเบอรีเซนต์เอ็ดมันด์เช่นกัน แต่สำนักสงฆ์ถูกทำลายระหว่างสมัยที่มีการการยุบอารามทั่วไปในอังกฤษ ต่อมาแบรนดอนก็สมรสกับคู่หมั้นของลูกชายที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีและมีลูกด้วยกันสองคน
บุตรธิดา
แก้แบรนดอนและเจ้าหญิงแมรีมีบุตรธิดาด้วยกันสามคน:
อ้างอิง
แก้- ↑ Weir, Henry VIII, p. 169. Desiderius Erasmus said of her that "Nature never formed anything more beautiful."
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 169.
- ↑ Hester W. Chapman"The Thistle and The Rose"pgs172-173
- ↑ Antonia Fraser, The Wives of Henry VIII, pp. 68-69.
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 173.
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 173. Letters from 1515 indicate that Mary agreed to wed Louis only on condition that "if she survived him, she should marry whom she liked."
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 178.
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 178, 184. The fine of £24,000 – approximately equivalent to £7,200,000 today – was later reduced by Henry.
- ↑ Fraser
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 185.
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 310.
- ↑ Weir, Henry VIII, p. 175. Anne and her sister Mary Boleyn were Maids of Honour in the entourage that accompanied Mary to France for her wedding.