แซนแอนโทนีโอสเปอส์

แซนแอนโทนีโอสเปอส์
San Antonio Spurs
ก่อตั้ง พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967)
สนามประจำทีม เอทีแอนด์ที เซ็นเตอร์
ประวัติ แดลลัส ชาพาร์ราลส์
(1967-1970, 1971-1973)
เท็กซัส ชาพาร์ราลส์
(1970-1971)
แซนแอนโทนีโอสเปอส์
(1973-ปัจจุบัน)
สีประจำทีม ดำ ขาว และ เงิน
ชนะเลิศเอ็นบีเอ 5 (1999, 2003, 2005, 2007 2014)
ชนะเลิศคอนเฟอเรนซ์
ชนะเลิศดิวิชัน 15 (1978, 1979, 1981, 1982, 1983, 1990, 1991, 1995, 1996, 1999, 2001, 2002, 2003, 2005, 2006, 2007)
เจ้าของทีม ปีเตอร์ โฮลต์
หัวหน้าโค้ช เกรก พอโพวิช
ตัวนำโชคประจำทีม ไม่มี

แซนแอนโทนีโอสเปอส์ (อังกฤษ: San Antonio Spurs) เป็นทีมบาสเกตบอลอาชีพในลีกเอ็นบีเอของสหรัฐอเมริกา อยู่เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) เดิมอยู่ลีกเอ็นบีเอ สเปอส์เป็นทีมเดียวที่มาจากเอ็นบีเอที่เคยได้แชมป์เอ็นบีเอ โดยได้แชมป์ทั้งหมด 5 สมัย และเมื่อนับสถิติการเล่นจากอดีตจนถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติทีม แก้

สมัยเริ่มแรกในลีกเอบีเอ แก้

แซนแอนโทนีโอสเปอส์ เดิมคือทีม แดลลัส ชาพาร์ราลส์ (ชาพาร์ราล เป็นนกชนิดหนึ่ง มีอีกชื่อว่า โรดรันเนอร์, Roadrunner) หนึ่งใน 11 ทีมก่อตั้งลีกเอบีเอ (American Basketball Association, ABA) เมื่อปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ในยุคแรกนำทีมโดย คลิฟฟ์ ฮาแกน (Cliff Hagan) ซึ่งเป็นทั้งผู้เล่นและโค้ช ฤดูกาลที่สอง ทีมมีผลงานที่น่าผิดหวัง ทำสถิติได้อันดับ 4 ของลีกด้วยสถิติ 41-37 และตกรอบเพลย์ออฟโดยแพ้ทีม นิว ออร์ลีนส์ บัคคาเนียร์ส มีผู้ชมในสนามน้อยและไม่ได้รับความสนใจเท่าไรในแดลลัส ในฤดูกาล 1970-71 ทีมเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เท็กซัส ชาพาร์ราลส์ เพื่อพยายามผลักดันให้เป็นทีมประจำภูมิภาคแทน โดยเล่นทั้งในเมือง ฟอร์ตเวิร์ต เท็กซัส ที่สนาม ทาร์แรนต์ เคาน์ตี โคลีเซียม (Tarrant County Coliseum) และเมือง ลับบ็อค เท็กซัส ที่สนาม ลับบ็อค มิวนิซิพาล โคลีเซียม (Lubbock Municipal Coliseum) แต่ก็ล้มเหลวและกลับไปเล่นในแดลลัสอย่างเต็มตัวเหมือนเดิมในฤดูกาลถัดมา โดยแยกเล่นที่สนาม มูดี โคลีเซียม (Moody Coliseum) และ แดลลัส คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ อารีนา (Dallas Convention Center Arena) [1]

เดินทางมาแซนแอนโทนีโอ แก้

หลังจากที่ทีมพลาดรอบเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1972-73 (พ.ศ. 2515-16) เจ้าของสเปอส์ก็ขายทีม นักธุรกิจจากแซนแอนโทนีโอ 36 คน นำโดย แองเจโล ดรอสสอส (Angelo Drossos) และ เรด แม็คคอมบ์ส (Red McCombs) มารับช่วงต่อโดยเช่าทีมจากเจ้าของกลุ่มเดิม แล้วย้ายทีมไปยังเมือง แซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กันสลิงเกอส์ (Gunslingers) แต่เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น สเปอส์ (เป็นเหล็กที่ติดกับรองเท้าบู๊ทสำหรับควบคุมม้าของคาวบอย) ก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมแรกด้วยซ้ำ สีประจำทีมก็เปลี่ยนจาก แดง ขาว และน้ำเงิน มาเป็นสีเงินและดำที่คุ้นเคยในปัจจุบัน

สเปอส์ในยุคแรกขึ้นชื่อในเรื่องเกมตั้งรับ ทีมนำโดยผู้เล่นหน้าเก่า เจมส์ ไซลาส (James Silas) และเทรดเอา สเวน เนเทอร์ (Swen Nater) ซึ่งได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่แห่งปี และ จอร์จ เกอร์วิน (George Gervin) ผู้เล่นทั้งสองได้จากการเทรดจากทีม เวอร์จิเนีย สควาร์ยส์ สเปอรส์เล่นในสนาม เฮมิสแฟร์ อารีนา (HemisFair Arena) และจบฤดูกาลด้วยสถิติ 45-39 อยู่อันดับสามของดิวิชันตะวันตก และแพ้ทีมอินเดียนา เพเซอร์สใน 7 เกมในรอบรอบเพลย์ออฟ

ฤดูกาลถัดมากลุ่มนักธุรกิจก็ตัดสินใจซื้อทีมมาเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ ทำให้เป็นที่แน่นอนว่าทีมจะอยู่ที่แซนแอนโทนีโออย่างถาวร กลุ่มเจ้าของทีมเบื่อสไตล์การเล่นที่เน้นเกมรับ จึงเปลี่ยนโค้ชจาก ทอม นิสซาลกี (Tom Nissalke) เป็น บ็อบ แบส (Bob Bass) ซึ่งใช้สไตล์การเล่นแบบฟาสต์เบรก เน้นทำคะแนนอย่างรวดเร็ว ฤดูกาลนี้สเปอรส์ได้สถิติ 51-33 อยู่อันดับสองของตะวันตก ส่วนเพลย์ออฟยังคงแพ้ทีมเพเซอร์สใน 6 เกม[2]

สเปอส์กลายเป็นทีมอันดับต้น ๆ ในเอบีเอ ต่อมาในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ลีกเอบีเอก็เลิกไป เอ็นบีเอตัดสินใจรับทีมเอบีเอ 4 ทีมเข้ามาอยู่ในลีก ได้แก่ สเปอส์ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ อินเดียนา เพเซอร์ส และ นิวยอร์ก เนตส์ ทั้งสี่ทีมตกลงที่จะจ่ายเงินให้กับทีมที่ห้าที่ถูกยุบไป คือ สปิริตส์ออฟเซนต์หลุยส์ 1/7 ของกำไรจากการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ทุกปี และข้อตกลงนี้สร้างแรงกดดันด้านการเงินให้ทีมทั้งสี่เทียบกับทีมอื่นในเอ็นบีเอ[3]

ฤดูกาลแรก ๆ ในเอ็นบีเอ ปีของจอร์จ เกอร์วิน (1976-85) แก้

ถึงแม้ว่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระดับความเก่งและโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของทีมจากเอบีเอ สเปอส์ ก็พิสูจน์ให้เห็นจากผลงานฤดูกาล 1976-77 ที่ทำสถิตินะ 44 แพ้ 38 เสมอกับทีมอื่นที่อันดับสี่ของคอนเฟรนซ์ตะวันออก แม้ว่าจะมีการกำหนดข้อจำกัดจากเอ็นบีเอในการเข้าลีกปีแรก ๆ โดยการจำกัดจำนวนการดราฟต์และรายได้ทางโทรทัศน์

ฤดูกาล 1977-78 จอร์จ เกอร์วิน และ เดวิด ทอมพ์สัน (David Thompson) ของเดนเวอร์ นักเก็ตส์ ต่างต่อสู้กันเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้เล่นทำคะแนนสูงสุดในเอ็นบีเอ ในวันสุดท้ายของฤดูกาล ทอมพ์สัน ขึ้นนำโดยทำคะแนนได้ 73 แต้มในการแข่งกับดีทรอยต์ พิสตันส์ในเกมตอนบ่าย คืนนั้น เกอร์วิน รู้ว่าเขาต้องทำให้ถึง 58 แต้มในการเล่นกับแจ๊สที่นิว ออร์ลีนส์ เกอร์วินเริ่มต้นได้ดี ทำได้ 20 แต้มในควอเตอร์แรก ควอเตอร์ที่สอง ทำสถิติควอเตอร์ที่ 33 แต้ม และทำได้ถึง 58 แต้มกลางควอเตอร์ที่สาม จบเกมได้ 63 แต้มและเป็นแชมป์ผู้เล่นทำคะแนนสูงสุดในฤดูกาลนั้น เกอร์วินและสเปอส์ชนะดิวิชันเซ็นทรัลด้วยสถิติชนะ 52 แพ้ 30 แต่ตกรอบเพลย์ออฟใน 6 เกมเมื่อพบกับ วอชิงตัน บูลเล็ตส์ แม้ว่าเกอร์วินจะเล่นได้เด่นมาก เฉลี่ยตลอดซีรีส์ 33.2 คะแนน

สเปอส์ได้สถิติดีสุดในดิวิชันมากถึง 5 ครั้งใน 7 ปีแรกที่เข้าเอ็นบีเอ และได้เข้าเล่นเพลย์ออฟเป็นประจำ แต่ในเพลย์ออฟ สเปอส์ยังไม่พบความสำเร็จ โดยแพ้ให้ทีมเช่น วอชิงตัน บูลเล็ตส์, บอสตัน เซลติกส์, ฮิวส์ตัน รอกเก็ตส์ และ ลอสแอนเจลิสเลเกอส์

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 1980 สเปอส์ก็พบกับผลงานที่มีทั้งขึ้นและลง สามฤดูกาลแรกของทศวรรษ สเปอส์ยังคงความสำเร็จจากทศวรรษก่อน ด้วยสถิติ 52-30 ในฤดูกาล 1980-81, 48-34 ในฤดูกาล 1981-82 และ 53-29 ในฤดูกาล 1982-83 แม้ว่าฤดูกาลปกติจะมีผลงานที่ดี สเปอส์ยังไม่สามารถคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้ ตกรอบเพลย์ออฟแพ้ ฮิวส์ตัน รอกเก็ตส์ ในปี 1981 และ ลอสแอนเจลิสเลเกอส์ ในปี 1982 และ 1983

หลังฤดูกาล 1984-85 เกอร์วิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สำคัญที่สุดของทีม ก็ถูกเทรดไป ชิคาโก บูลส์ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคแรกของสเปอส์ที่เริ่มต้นเมื่อย้ายทีมไปเมืองแซนแอนโทนีโอ

ช่วงที่ความตกต่ำ (1985-1989) แก้

ฤดูกาลถัดไปสี่ฤดูกาล ถือเป็นช่วงตกต่ำของทีม ทำสถิติรวมชนะ 115 เกม แพ้ 215 เกมระหว่างฤดูกาล 1985-86 จนถึง 1988-89 ช่วงนี้จำนวนผู้ชมลดน้อยลง ทำให้ถูกมองว่าเป็นทีมหนึ่งที่จะย้ายไปอยู่เมืองอื่น จุดดีเพียงจุดเดียวในช่วงนี้ คือ สเปอส์ได้รับสิทธิ์การดราฟต์อันดับที่หนึ่งในปี 1987 และเลือก เดวิด รอบินสัน (David Robinson) จากโรงเรียนนายเรือสหรัฐ (United States Naval Academy) หลังจากการดราฟต์ สเปอส์ ต้องรอจนกระทั่งฤดูกาล 1989-90 ถึงจะได้รอบินสันมาเล่นให้ เนื่องจากข้อผูกพันกับกองทัพเรือสองปี รอบินสันถูกคาดเดาว่าจะไม่เซ็นสัญญากับสเปอส์และเลือกที่จะเป็นฟรีเอเจนต์เมื่อหมดข้อผูกพันกับกองทัพ[4] [5] รอบินสัน ตัดสินใจเล่นให้แซนแอนโทนีโอในที่สุด

ถึงแม้ว่าผลงานของฤดูกาล 1988-89 จะแย่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสเปอส์ (ชนะ 21 แพ้ 61) แต่ก็สำคัญในหลายแง่ หนึ่งคือเป็นฤดูกาลแรกที่ เรด แม็คคอมส์ (Red McCombs) เป็นเจ้าของแบบเต็มตัว อีกอย่างหนึ่งคือ เป็นฤดูกาลแรกของโค้ช แลร์รี บราวน์ ซึ่งเพิ่มก้าวมาจากการเป็นแชมป์ระดับเอ็นซีเอเอกับมหาวิทยาลัยแคนซัสมาเป็นโค้ชให้สเปอส์

ยุคของรอบินสัน (1989-1997) แก้

ฤดูกาล 1989-90 ถือเป็นการกำเนิดอีกครั้งของสเปอส์ เดวิน รอบินสัน เข้ามาเล่นให้สเปอส์ พร้อมทั้ง เทอร์รี คัมมิงส์ (Terry Cummings) และผู้เล่นจากการดราฟต์ปี 1989 ชอน เอลเลียต (Sean Elliott) จากการเพิ่มผู้เล่นนี้ สเปอส์ ผลงานปรับปรุงดีที่สุดในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ มาอยู่ที่ ชนะ 56 แพ้ 26 สเปอส์แพ้เกม 7 ในรอบเซมิไฟนอลคอนเฟรนซ์ตะวันตกให้แก่ พอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส รอบินสัน สร้างผลงานผู้เล่นปีแรกของเซ็นเตอร์ได้ดีด้วยคะแนนเฉลี่ย 24.3 แต้ม 12.0 รีบาวด์ และได้รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Rookie of the Year)

ทีมกลับเข้ารอบเพลย์ออฟเป็นประจำอีกครั้ง ปลายฤดูกาล 1991-92 แม็คคอมส์ไล่โค้ช บราวน์ ออกและให้ บอบ แบส (Bob Bass) เป็นหัวหน้าโค้ชชั่วคราว รอบินสันบาดเจ็บและสเปอส์ตกรอบแรกในเพลย์ออฟ แม็คคอมส์จ้างอดีตโค้ชมหาวิทยาลัยลาส เวกัส เจอร์รี ทาร์เคเนียน (Jerry Tarkanian) การทดลองกับทาร์เคเนียนล้มเหลวและถูกให้ออกหลังผ่านฤดูกาล 1992-93 ไป 20 เกม และสเปอส์มีสถิติ ชนะ 9 แพ้ 11 เร็กซ์ ฮิวส์ (Rex Hughes) มารับหน้าที่โค้ชหนึ่งเกม จากนั้น จอห์น ลูคัส (John Lucas) ก็ถูกตั้งให้เป็นโค้ชคนใหม่ ถือเป็นหน้าที่โค้ชครั้งแรกของลูคัส ถึงแม้ว่าเขาจะเคยประสบความสำเร็จในเอ็นบีเอในการบำบัดผู้เล่นเอ็นบีเอจากการใช้ยา

ยุคของลูคัสเริ่มต้นได้ดี พาทีมชนะ 39 แพ้ 22 จบฤดูกาลปกติ เข้ารอบก่อนรองสุดท้ายของคอนเฟรนซ์ตะวันตกและแพ้ฟีนิกส์ ซันส์ ฤดูกาล 1992-93 สเปอรส์ย้ายไปเล่นที่สนาม เฮมิแฟร์ อารีนา ปี ค.ศ. 1993 นักธุรกิจ ปีเตอร์ เอ็ม. โฮลท์ (Peter M. Holt) พร้อมทั้งนักลงทุน 22 คนซื้อทีมสเปอส์จาก เรด แม็คคอมส์ ด้วยราคา 75 ล้านเหรียญ

 
อลาโมโดม สนามของทีมสเปอรส์ระหว่างปี ค.ศ. 1993 ถึง 2002

ฤดูกาลถัดมาเป็นปีแรกที่สเปอส์ย้ายไปสนามแห่งใหม่ คือ อลาโมโดม (Alamodome) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ก่อนเริ่มฤดูกาลสเปอรส์ได้เทรดเอา เอลเลียต ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ ไปยังดีทรอยต์ พิสตันส์เพื่อแลกกับ เดนนิส ร็อดแมน นักบาสผู้มีชื่อเรื่องการรีบาวน์ ลูคัส พาทีมชนะ 55 แพ้ 27 แต่ตกรอบแรกให้กับแจ๊ส ลูคัสถูกปลดออกจากการเป็นหัวหน้าโค้ชทันที และแทนที่ด้วยโค้ช บ็อบ ฮิลล์ (Bob Hill) อดีตโค้ชของเพเซอร์สในฤดูกาล 1994-95 ซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จฤดูกาลหนึ่ง เอลเลียต ก็ยังกลับมาร่วมทีมหลังเล่นให้พิสตันส์ฤดูกาลหนึ่งซึ่งไม่โดดเด่นเท่าที่ควร จบฤดูกาลทีมได้สถิติดีที่สุดของเอ็นบีเอโดยชนะถึง 62 เกมและแพ้เพียง 20 เกม รอบินสันยังได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่า รอบเพลย์ออฟ สเปอส์ เข้าถึงรอบสุดท้ายของสายตะวันตกและแพ้ให้กับทีม ฮิวส์ตัน รอกเก็ตส์ ซึ่งได้แชมป์เอ็นบีเอในปีนั้น ตลอดฤดูกาลโดยเฉพาะรอบเพลย์ออฟ ดูว่ามีความไม่ลงรอยกันระหว่าง ร็อดแมน กับเพื่อนร่วมทีมหลายคน โดยเฉพาะรอบินสัน หลังจบฤดูกาล ร็อดแมน ก็ถูกเทรดไปทีมชิคาโก บูลส์

สเปอส์จบฤดูกาลถัดไป (1995-96) ด้วยสถิติ 59-23 และแพ้ในรอบก่อนรองสุดท้ายของคอนเฟรนซ์ตะวันตกให้กับแจ๊ส น้อยคนนักที่จะคาดเดาว่าสเปอส์จะตกต่ำมากในฤดูกาล 1996-97 รอบินสัน บาดเจ็บและเล่นเพียง 6 เกมตลอดฤดูกาล เอลเลียต ก็ไม่ได้ลงเล่นเกินครึ่งเนื่องจากปัญหาบาดเจ็บเช่นกัน สเปอส์ จบฤดูกาลที่สถิติ 20-62 แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม ฮิลล์ ได้อยู่เป็นโค้ชแค่ 18 เกมก่อนที่จะถูกปลดและแทนที่ด้วยผู้จัดการทั่วไป เกรก พอโพวิช (Gregg Popovich) ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยโค้ชสมัยที่บราวน์เป็นหัวหน้า

ฤดูกาล 1996-97 สเปอส์จะประสบความล้มเหลวในสนาม แต่ช่วงจบฤดูกาลกลับตรงกันข้าม สเปอส์มีสถิติแย่เป็นอันดับสามของลีก จากการสุ่มล็อตเตอรี สเปอส์ได้สิทธิ์การดราฟต์เป็นคนแรกของปี 1997 และเลือกนักบาสเกตบอลผู้ซึ่งถูกคัดเลือกให้เป็น ออล-อเมริกัน (All-American) จากมหาวิทยาลัยเวคฟอเรสต์ ทิม ดังแคน

ยุคทวิน ทาวเวอร์ส (1997-2003) แก้

 
การดราฟ ทิม ดังแคน เมื่อปี ค.ศ. 1997 เป็นจุดเปลี่ยนของทีม

ดังแคน เริ่มฤดูกาลแรก (1997-98) ก็สร้างผลงานดีได้ตำแหน่งผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เล่นได้เฉลี่ย 21.1 แต้ม 11.9 รีบาวด์ต่อเกม ทีมจบฤดูกาลปกติที่สถิติ 56-26 ตกรอบเพลย์ออฟรอบรองสุดท้ายของคอนเฟอเรนซ์ตะวันตกโดยแพ้ให้แจ๊ส ดังแคน ซึ่งเล่นในตำแหน่งเพาเวอร์ฟอร์เวิร์ดเล่นประสานงานใต้แป้นกับรอบินสันได้ดี ทำให้ทั้งคู่เป็นที่รู้จักในฉายาร่วมกันว่า ทวิน ทาวเวอร์ส (Twin Towers) สเปอส์ให้ความหวังกับฤดูกาลต่อมาคือฤดูกาล 1998-99 แต่ก่อนที่จะเริ่มฤดูกาล เจ้าของทีมในเอ็นบีเอนำโดยคอมมิชชันเนอร์ เดวิด สเตอร์น (David Stern) พักการเล่นเพื่อทำข้อตกลงกับสมาคมผู้เล่นเอ็นบีเอ (NBA Players Association, NBAPA) ใหม่ กว่าจะได้ข้อตกลงเรียบร้อยก็เดือนมกราคม ค.ศ. 1999

ในฤดูกาลที่หดเหลือ 50 เกมนี้ สเปอส์เล่นได้สถิติ 37-13 และผ่านรอบต่าง ๆ ในเพลย์ออฟอย่างง่ายดายโดยชนะ 11 และแพ้เพียง 1 เกม ในรอบไฟสุดท้ายก็ชนะทีมนิวยอร์ก นิกส์ใน 5 เกม ที่สนาม เมดิสัน สแควร์ การ์เดนของนิกส์ด้วยคะแนน 78 ต่อ 77 คว้าแชมป์เอ็นบีเอสมัยแรกของทีม ในขณะที่ ทิม ดังแคน ได้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่ารอบสุดท้าย ชัยชนะของทีมถือเป็นครั้งแรกของทีมจากลีกเอบีเอ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมจากเอบีเอยังไม่เคยเข้ารอบสุดท้ายเลยสักครั้ง สเปอส์ยังสร้างสถิติผู้ชมในสนามมากที่สุดในเอ็นบีเอสุดท้าย คือ 39,554 คนในเกมที่ 2 และทำลายสถิติที่เพิ่งสร้างก่อนหน้านั้นสองวันคือ 39,514 คนในเกมที่ 1

สเปอส์ไม่สามารถผ่านรอบแรกของเพลย์ออฟฤดูกาลถัดมาได้ แพ้ทีมซันส์ เนื่องจาก ดังแคน บาดเจ็บ ไม่สามารถลงเล่นได้เลยตลอดการแข่งในรอบแรก แต่อนาคตของทีมในเมืองแซนแอนโทนีโอก็ชัดเจนเมื่อมีการลงคะแนนอนุมัติการเก็บภาษีรถเช่าและโรงแรมเพื่อนำเงินมาสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ ฤดูกาล 2000-01 และ 2001-02 สเปอส์เล่นได้ 58-24 ทั้งสองฤดูกาล แต่ตกรอบเพลย์ออฟให้กับทีมเลเกอร์สซึ่งคว้าแชมป์เอ็นบีเอทั้งสองฤดูกาลนี้

ฤดูกาล 2002-03 เป็นฤดูกาลที่ เดวิด รอบินสัน จะเล่นเอ็นบีเอเป็นฤดูกาลสุดท้าย อีกทั้งเป็นช่วงที่สเปอส์ย้ายไปเล่นในสนามแห่งใหม่ ซึ่งตั้งชื่อว่า เอสบีซี เซ็นเตอร์ (SBC Center ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น AT&T Center หลังจากบริษัท SBC ไปซื้อกิจการของ AT&T) ในโอกาสสำคัญนี้ สเปอส์หันกลับไปใช้โลโก้แบบเก่าซึ่งมีสีเงินและสีดำ อย่างไรก็ตามสีของเสื้อยังคงใช้สีเดิม คือ เงินและดำ

ทีมสเปอส์ในตอนนี้ไม่เหมือนชุดที่ได้แชมป์เมื่อสามปีก่อน ทีมมีการปรับผู้เล่นใหม่เพื่อโค่นทีมเลเกอร์ส แชมป์เอ็นบีเอติดกันสามสมัย ทีมประกอบด้วย ดังแคนและรอบินสัน ในวงใน มีโทนี พาร์คเกอร์ (Tony Parker) ผู้เล่นชาวฝรั่งเศสซึ่งถูกดราฟต์ในปี 2001 มาเป็นเล่นเป็นพอยต์การ์ดตัวจริง และได้ตัวชู้ตสามแต้มใหม่หลายคน เช่น สตีเฟน แจ็คสัน (Stephen Jackson), แดนนี เฟอร์รี (Danny Ferry), บรูซ โบเวน (Bruce Bowen), สตีฟ เคอรร์ (Steve Kerr), สตีฟ สมิธ (Steve Smith) และผู้เล่นหน้าใหม่จากอาร์เจนตินา คือ มานู จิโนบิลี (Manu Ginobili) ซึ่งสเปอรส์ดราฟไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 แต่เพิ่งได้มาเล่นให้ทีมเป็นปีแรก ฤดูกาลปกติสเปอส์ทำสถิติชนะ 60 แพ้ 22 ผ่านทีม ซันส์ เลเกอร์ส และ แดลลัส แมฟเวอริกส์ในเพลย์ออฟเข้าสู่รอบสุดท้าย การแข่งกับ นิวเจอร์ซี เนตส์ ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมจากเอบีเอมาพบในรอบสุดท้าย สเปอส์ชนะซีรีส์นี้ที่ 4 ต่อ 2 เกม คว้าแชมป์สมัยที่สอง ส่วนดังแคนได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าทั้งฤดูกาลปกติและของรอบสุดท้าย

ยุค บิ๊กทรี (2003-ปัจจุบัน) แก้

 
สเปอรส์เข้าพบประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่ทำเนียบขาว ภายหลังการได้แชมป์ปี ค.ศ. 2003

ฤดูกาล 2003-04 สเปอส์มีผู้เล่นใหม่ในทีมมากถึง 9 คน ผลงานช่วงต้นของฤดูกาลทำได้ไม่ดีนัก ชนะ 9 แพ้ 10 ผลจากการที่รอบินสันเลิกเล่น และผู้เล่นใหม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับทีม แต่สเปอส์ก็ปรับตัวได้และชนะติดต่อกัน 13 เกม กลับมาอยู่ทีมอันดับต้น ๆ ในเอ็นบีเออีกครั้ง จบฤดูกาลโดยชนะรวด 11 เกมสุดท้าย ได้สถิติ 57-25 ตามทีมที่สถิติดีที่สุดของฝั่งตะวันตกอยู่หนึ่งเกม รอบเพลย์ออฟ สเปอส์เอาชนะเมมฟิส กริซลีส์ 4 เกมรวดผ่านเข้ารอบสองไปพบกับลอสแอนเจลิสเลเกอส์ สเปอส์ชนะสองเกมแรกที่สนามเหย้าทำให้สเปอส์มีสถิติชนะติดต่อกันนับรวมฤดูกาลปกติถึง 17 เกม แต่สองเกมถัดไปในซีรีส์นี้กลับไปเล่นที่บ้านของเลเกอรส์และมีปัญหาการทำคะแนน ผลคือแพ้ทั้งสองเกม เกม 5 กลับมายังสนาม เอสบีซี เซ็นเตอร์ ทิม ดังแคน ดูเหมือนจะพาทีมไปสู่ชัยชนะด้วยคะแนน 73 ต่อ 72 จากการชู้ตลูกก่อนหมดเวลา 0.4 วินาที แต่ เดเร็ก ฟิชเชอร์ (Derek Fisher) ของเลเกอร์สกลับชู้ตลูกก็ที่เวลาจะหมดทำให้ชนะพลิกความคาดหมายด้วยคะแนน 74 ต่อ 73 และนำซีรีส์อยู่ 3 ต่อ 2 เกม[6][7][8] สเปอรส์ประท้วงว่านาฬิกาเริ่มเดินช้าทำให้ฟิชเชอร์สามารถชู้ตลูกได้ทันเวลา[9][8] กรรมการสามารถตรวจสอบจากเทปที่บันทึกไว้ว่าฟิชเชอร์ชู้ตลูกก่อนเวลาจะหมดแต่ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนาฬิกาไม่เริ่มนับทันทีที่นำลูกเข้าสนาม เกม 6 สเปอส์กลับไปเล่นสนามเลเกอร์สและแพ้ ตกรอบเพลย์ออฟ

ช่วงนอกฤดูกาลสเปอส์กลับไปปรับทีมใหม่ ได้การ์ด เบรนต์ แบร์รี (Brent Barry) จากซีแอตเติล ซูเปอร์โซนิค เซ็นสัญญา เกลน รอบินสัน (Glenn Robinson) และเทรดเอาเซ็นเตอร์ นาซีร์ โมฮัมเม็ด (Nazr Mohammed) จากนิวยอร์ก นิกส์ ตอนกลางฤดูกาล มารวมกับผู้เล่นขณะนั้นคือ บรูซ โบเวน, รอเบิร์ต ฮอร์รี (Robert Horry), โทนี พาร์เกอร์, มานู จิโนบิลี และทิม ดังแคน สเปอส์จบฤดูกาลปกติด้วยสถิติอันดับสองของสายตะวันออก ชนะ 59 แพ้ 23 และสถิติดีที่สุดของดิวิชัน ในฤดูกาลเพลย์ออฟ สเปอส์ชนะเดนเวอร์ นักเก็ตส์ในรอบแรก 4 ต่อ 1 เกม ซีแอตเติล ซูเปอร์โซนิคในรอบสอง 4 ต่อ 2 เกม และ ฟีนิกส์ ซันส์ 4 ต่อ 1 เกมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สามในรอบเจ็ดปี เอาชนะแชมป์เก่าคือ ดีทรอยต์ พิสตันส์ ไป 4 ต่อ 3 เกม ทิม ดังแคน ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่ารอบสุดท้าย และเป็นคนที่สี่ที่ได้รับรางวัลนี้สามครั้ง (ถัดจาก แมจิก จอห์นสัน, ไมเคิล จอร์แดน และ แชคิล โอนีล) ฤดูกาลนี้ มานู จิโนบิลี ก็กลายเป็นดาราในทีม และได้รับคำสรรเสริญจากแฟนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ (โดยเฉพาะอาร์เจนตินาบ้านเกิดของเขา) เขาได้ลงเล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเอในปีนั้น

 
สนามเอทีแอนด์ที เซ็นเตอร์ ตอนกลางคืน

ฤดูกาล 2005-06 นำโดย ทิม ดังแคน, มานู จิโนบิลี และที่เพิ่งได้เล่นในเกมรวมดาราปีนั้นคือ โทนี พาร์เกอร์ ทีมได้ทำลายสถิติชนะมากที่สุดของแฟรนไชส์ โดยชนะ 69 แพ้เพียง 19 เกม และเข้าเพลย์ออฟติดต่อกัน 9 ปี สเปอส์ตกรอบสองในเพลย์ออฟจากระบบการจับคู่ที่ไปพบกับแดลลัส แมฟเวอริกส์ทั้งที่สองทีมเป็นทีมอันดับดีที่สุดในคอนเฟรนซ์

ฤดูกาล 2006-07 สเปอส์จบฤดูกาลปกติที่สถิติ 58-24 เข้าเพลย์ออฟชนะเดนเวอร์ นักเก็ตส์ด้วย 4 ต่อ 1 เกม ชนะฟีนิกส์ ซันส์ 4 ต่อ 2 เกม ชนะยูทาห์ แจ๊ส 4 ต่อ 1 เกม และเข้ารอบสุดท้ายชนะคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส์4 ต่อ 0 เกม คว้าแชมป์สมัยที่สี่ในรอบเก้าปี อย่างสวยงาม

ฤดูกาล 2007-08 สเปอส์จบฤดูกาลปกติที่อันดับ3ของสายตะวันตกสถิติ 56-26 เข้ารอบเพลย์ออฟรอบแรกพบฟีนิกส์ ซันส์ชนะไป 4 ต่อ 1 เกม ชนะ รอบ 2 พบนิวออรีนส์ ฮอร์เนตส์ ชนะไป4 ต่อ 3 เกม และเข้ารอบสุดท้ายของสาย แต่แพ้ให้กับลอสแอนเจลิสเลเกอส์4 ต่อ 1 เกม ตกรอบสุดท้ายไปอย่างหน้าผิดหวัง

ผู้เล่นที่มีชื่อเสียง แก้

ผู้เล่นในหอเกียรติยศ และปีที่เข้า แก้

หมายเลขที่ถูกรีไทร์ แก้

หมายเลข นักกีฬา ตำแหน่ง และปีที่เล่นให้ทีม

อ้างอิง แก้

  1. Dallas Chaparrals History
  2. Spurs ABA History
  3. Spirit of ABA deal lives on for Silna brothers จาก ESPN.com
  4. SPORTS OF THE TIMES; THE ROBINSON PLOT THICKENS, The New York Times, 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1987
  5. The Summer Our Ship Came In, Tom Orsborn, San Antonio Express-News, 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2007
  6. "Parker perplexed once again", San Antonio Express-News, 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2004
  7. "S.A. is heartbreak city", San Antonio Express-News, 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2004
  8. 8.0 8.1 Fisher’s Jumper Gives Lakers Dramatic Game 5 Win, NBA.com, 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 (เข้าถึงข้อมูล 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007)
  9. Triple Crown bid nabs viewers เก็บถาวร 2007-10-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Houston Chronicle, 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2004


NBA Standings (2018-19 season)
E A S T E R N Atlantic Raptors Celtics 76ers Nets Knicks
Central Bucks Pistons Pacers Bulls Cavaliers
Southeast Hornets Heat Hawks Magic Wizards
W E S T E R N Northwest Nuggets Blazers Jazz Wolves Thunder
Pacific Warriors Clippers Kings Lakers Suns
Southwest Pelicans Grizzlies Spurs Mavericks Rockets