หินแกรนิต
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
หินแกรนิต (อังกฤษ: granite) เป็นหินอัคนีแทรกซอน สีจางพบได้ทั่วไปเป็นปกติ แกรนิตมีเนื้อขนาดปานกลางถึงเนื้อหยาบ บางครั้งจะพบผลึกเดี่ยวๆบางชนิดที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ (groundmass) เกิดเป็นหินที่รู้จักกันในนามของพอร์พายรี (porphyry) แกรนิตอาจมีสีชมพูจนถึงสีเทาเข้มหรือแม้แต่สีดำขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีและองค์ประกอบทางแร่ หินโผล่ของหินแกรนิตมีแนวโน้มจะเกิดเป็นมวลหินโผล่ขึ้นมาเป็นผิวโค้งมน บางทีหินแกรนิตก็เกิดเป็นหลุมยุบรูปวงกลมที่รายล้อมไปด้วยแนวเทือกเขาเกิดเป็นแนวการแปรสภาพแบบสัมผัสหรือฮอร์นเฟลส์
หินอัคนี | |
หินแกรนิตประกอบด้วยโพแทสเซียม เฟลด์สปาร์, พลาจิโอเคลส เฟลด์สปาร์, ควอตซ์, ไบโอไทต์ และ/หรือ แอมฟิโบล | |
องค์ประกอบ | |
---|---|
โพแทสเซียม เฟลด์สปาร์, พลาจิโอเคลส เฟลด์สปาร์ และควอตซ์ (รวมถึงมัสโคไวต์และแอมฟิโบลชนิดฮอร์นเบลนด์) |
แกรนิตมีเนื้อแน่นเสมอ (ปราศจากโครงสร้างภายใน) แข็ง แรงทนทาน ดังนั้นจึงถูกนำไปใช้เป็นหินก่อสร้างกันอย่างกว้างขวาง ค่าความหนาแน่นเฉลี่ยของหินแกรนิตคือ 2.75 กรัม/ซม3 และค่าความหนืดที่อุณหภูมิและความกดดันมาตรฐานประมาณ4.5 • 1019 Pa•s.[1]
คำว่า “granite” มาจากภาษาลาตินคำว่า “granum” หมายถึง “grain” หรือ “เม็ด” ซึ่งมาจากลักษณะโครงสร้างผลึกในเนื้อหินที่เป็นเม็ดหยาบ
วิทยาแร่
แก้หินแกรนิตถูกจำแนกแยกย่อยไปตามไดอะแกรม QAPF สำหรับหินอัคนีแทรกซอนเนื้อหยาบ (granitoids) และตั้งชื่อตามเปอร์เซนต์ของควอตซ์ แอลคาไลน์เฟลด์สปาร์ (ออร์โธเคลส, ซานิดีน, หรือ ไมโครไคลน์) และแพลจิโอเคลสเฟลสปาร์ บนส่วนของ A-Q-P ในไดอะแกรมดังกล่าว
หินอัคนีที่แท้จริงตามข้อกำหนดทางศิลาวิทยาสมัยใหม่ประกอบด้วยทั้งแพลจิโอเคลสและแอลคาไลน์เฟลด์สปาร์ เมื่อแกรนิตอยด์ไม่มีแพลจิโอเคลสหรือมีน้อยก็จะเรียกหินนั้นว่า “แอลคาไลน์แกรนิต” เมื่อแกรนิตอยด์มีออร์โธเคลส 10% ก็จะเรียกว่า “โทนาไลต์” (ไพร็อกซีนและแอมฟิโบลพบได้ทั่วไปในโทนาไลต์) แกรนิตที่ประกอบด้วยทั้งมัสโคไวต์และไบโอไทต์ไมก้าก็จะเรียกว่าไบนารีแกรนิตหรือทูไมก้าแกรนิต (two-mica granite) ทูไมก้าแกรนิตโดยทั่วไปจะมีโปแตสเซียมสูงและมีแพลจิโอเคลสต่ำและปรกติจะเป็นแกรนิต S-type หรือ แกรนิต A-type หินภูเขาไฟที่มีองค์ประกอบเทียบเท่ากันกับหินแกรนิตคือไรโอไรต์ หินแกรนิตมีคุณสมบัติให้ซึมผ่านปฐมภูมิได้ต่ำแต่มีการซึมผ่านทุติยภูมิได้สูง
องค์ประกอบทางเคมี
แก้ค่าเฉลี่ยทั่วโลกของสัดส่วนเฉลี่ยขององค์ประกอบทางเคมีที่ต่างกันในหินแกรนิตจากมากไปน้อยโดยเปอร์เซนต์น้ำหนักคือ[2]
- SiO2 — 72.04%
- Al2O3 — 14.42%
- K2O — 4.12%
- Na2O — 3.69%
- CaO — 1.82%
- FeO — 1.68%
- Fe2O3 — 1.22%
- MgO — 0.71%
- TiO2 — 0.30%
- P2O5 — 0.12%
- MnO — 0.05%
อ้างอิงจากผลวิเคราะห์ 2485 รายการ
สถานที่พบ
แก้จนถึงทุกวันนี้แกรนิตพบได้เฉพาะบนโลกโดยพบเป็นองค์ประกอบหลักของเปลือกโลกในส่วนของทวีป มักพบแกรนิตเป็นสต็อคขนาดเล็กครอบคลุมเนื้อที่น้อยกว่า 100 ตารางกิโลเมตรและอาจพบเป็นแบโทลิตที่มักพบเกิดร่วมกับแนวเทือกเขา (orogenic mountain ranges) ไดค์ (dike) ขนาดเล็กที่มีองค์ประกอบเป็นแกรนิตเรียกว่า “แอพไพลต์” ซึ่งจะพบเกิดขึ้นบริเวณขอบของการแทรกดัน บางบริเวณก็พบเป็นเพคมาไทต์ (pegmatite) ซึ่งมีผลึกขนาดหยาบเกิดร่วมกับหินแกรนิต
หินแกรนิตได้แทรกดันเข้าไปในชั้นเปลือกโลกตลอดช่วงยุคทางธรณีวิทยาและพบได้มากในช่วงพรีแคมเบรียน หินแกรนิตพบกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นเปลือกทวีปของโลกและพบมากเป็นหินพื้นฐานใต้ชั้นหินตะกอนที่มีขนาดบางกว่า
การกำเนิด
แก้แกรนิตเป็นหินอัคนีที่เกิดขึ้นจากแมกมาที่แทรกดันผ่านหินอื่นขึ้นมา โดยแมกมาเนื้อแกรนิตมีต้นกำเนิดที่หลากหลาย การแทรกดันของแกรนิตเกิดขึ้นที่ความลึกใต้ผิวโลก โดยปกติลึกมากกว่า 1.5 กิโลเมตรและอาจลึกมากถึง 50 กิโลเมตรในชั้นเปลือกโลกภาคพื้นทวีป มีการโต้แย้งเกี่ยวกับการกำเนิดของหินแกรนิต ซึ่งนำไปสู่รูปแบบการจำแนกที่หลากหลาย การจำแนกนั้นถูกแบ่งออกตามภูมิภาคของโลก ทั้งแบบฝรั่งเศส แบบอังกฤษ และแบบอเมริกา ความสับสนนี้เกิดขึ้นเพราะว่ารูปแบบการจำแนกแต่ละแบบกำหนดให้แกรนิตมีความหมายที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วการจำแนกแบบ “อัลฟาเบ็ตซุป” (alphabet soup) มักถูกนำมาใช้เนื่องจากเป็นการจำแนกบนพื้นฐานของการกำเนิดของแมกมา
การกำเนิดทางธรณีเคมี
แก้แกรนิตอยด์เป็นองค์ประกอบของชั้นเปลือกโลกที่มีอยู่ทั่วไป เกิดจากการตกผลึกของแมกมาที่มีองค์ประกอบอยู่บริเวณจุดยูเทคติก (eutectic point) หรือที่จุดต่ำสุดของอุณหภูมิบนเส้นกราฟโคเทคติก แมกมาจะวิวัฒน์ไปสู่จุดยูเทคติกเนื่องจากการแยกส่วนทางอัคนี (igneous differentiation) หรือเพราะว่าแมกมาอยู่ที่ระดับล่างของการหลอมละลายบางส่วน การตกผลึกแบบแยกส่วนนี้ลดการหลอมเหลวของเหล็ก แมกนีเซียม ไททาเนียม แคลเซียม และโซเดียม และเพิ่มการหลอมเหลวของโปแตสเซียม ซิลิก้อน–แอลคาไลน์เฟลด์สปาร์ (มีส่วนประกอบหลักคือโปแตสเซียม) และควอตซ์ (SiO2) ซึ่งถือเป็นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของแกรนิต
กระบวนการนี้ดำเนินไปโดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบทางเคมีและแหล่งที่มาของแมกมาต้นกำเนิดที่จะพัฒนาไปเป็นแกรนิต อย่างไรก็ตามแหล่งที่มาและองค์ประกอบของแมกมาที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นแกรนิตนั้น สามารถใช้หาแร่และธรณีเคมีของหินต้นกำเนิดของแกรนิตนั้นได้ เนื่องจากวิทยาแร่ เนื้อหิน และองค์ประกอบทางเคมีสุดท้ายของหินแกรนิตหนึ่งๆ มักจะมีลักษณะเฉพาะตามหินต้นกำเนิด เช่น หินแกรนิตที่เกิดจากการหลอมละลายของตะกอนอาจมีแอลคาไลน์เฟลด์สปาร์สูง ในขณะที่แกรนิตที่เกิดจากการหลอมมาจากหินบะซอลต์มักมีส่วนประกอบเป็นแพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ ทั้งหมดนี้ใช้เกณฑ์การจำแนกแบบอัลฟาเบ็ตซุปสมัยใหม่เป็นพื้นฐาน
การจำแนกแบบอัลฟาเบ็ตซุป
แก้การจำแนกแบบอัลฟาเบ็ตซุปของ Chappell & White นั้น ในช่วงแรกๆถูกเสนอขึ้นมาเพื่อแบ่งแกรนิตออกเป็น 2 ประเภทคือ แกรนิต I-type หรือแกรนิตที่มีหินต้นกำเนิดเป็นหินอัคนี (Igneous protolith) กับแกรนิต S-type หรือหินแกรนิตที่มีหินต้นกำเนิดเป็นหินตะกอน (Sedimentary protolith)[3] หินแกรนิตทั้งสองประเภทนี้เกิดขึ้นจากการหลอมละลายของหินแปรเกรดสูง หินแกรนิต หินอัคนีแทรกซอนสีเข้ม หรือตะกอนที่ปิดทับ ตามลำดับ
หินแกรนิต M-type หรือแกรนิตที่มีวัตถุต้นกำเนิดมาจากแมนเทิลนั้นถูกเสนอขึ้นมาภายหลังเพื่อให้ครอบคลุมหินแกรนิตที่มีแหล่งกำเนิดจากแมกมาสีเข้มที่ตกผลึกซึ่งโดยทั่วไปจะมีแหล่งมาจากแมนเทิล หินแกรนิตชนิดนี้พบได้น้อยเนื่องจากเป็นการยากที่จะเปลี่ยนบะซอลต์ไปเป็นแกรนิตผ่านการตกผลึกแบบแยกส่วน
หินแกรนิต A-type (Anoroganic granite) เกิดขึ้นบริเวณเหนือการประทุของภูเขาไฟฮอตสปอตและจะมีองค์ประกอบทางแร่และธรณีเคมีที่แปลก หินแกรนิตเหล่านี้เกิดขึ้นจากการหลอมละลายที่ส่วนล่างของเปลือกโลกภายใต้สภาพที่ปรกติแล้วแห้งอย่างรวดเร็ว หินไรโอไรต์จากโพลงยุบที่เยลโลสโตนเป็นตัวอย่างของหินภูเขาไฟที่มีองค์ประกอบเปรียบเทียบได้กับหินแกรนิต A-type นี้[4][5]
การเกิดหินแกรนิต
แก้ทฤษฎีการเกิดหินแกรนิตที่เก่าแก่ทฤษฎีหนึ่งที่ได้ลดการยอมรับไปมากแล้ว กล่าวเอาไว้ว่า แกรนิตนั้นเกิดขึ้นในที่ที่มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงโดยมีของไหลที่นำธาตุบางชนิดเข้าไป เช่น โปแตสเซียม แล้วดึงเอาธาตุอื่นๆออกมา เช่น แคลเซี่ยม แล้วเปลี่ยนหินแปรไปเป็นหินแกรนิต กระบวนการนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ตามแนวด้านหน้าของการเคลื่อนย้าย การเกิดหินแกรนิตโดยความร้อนจากการแปรสภาพบริเวณภาคพื้นแอมฟิโบไลต์และแกรนูไลต์เกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้ การเกิดหินแกรนิตแบบอยู่กับที่ (in-situ granitisation) หรือการหลอมละลาย โดยกระบวนการแปรสภาพนั้นยากที่จะรับรู้ได้ยกเว้นเนื้อหินแบบลิวโคโซม (leucosome) และเมลาโนโซม (melanosome) ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ในหินไนส์ ทันทีที่หินแปรหนึ่งๆเกิดการหลอมละลายมันก็จะไม่เป็นหินแปรอีกต่อไปแต่จะเปลี่ยนไปเป็นแมกมา ดังนั้นหินเหล่านี้จึงมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างทั้งสอง แต่ในทางเทคนิคแล้วไม่ถือว่าเป็นหินแกรนิต เพราะไม่ได้แทรกซอนเข้าไปในหินอื่นๆ การหลอมละลายของหินแข็งนั้นต้องการอุณหภูมิที่สูงและมีน้ำหรือสารระเหยอื่นๆ เป็นสารกระตุ้นช่วยในการลดจุดหลอมเหลวของหินลงมา
การแทรกดันตัวขึ้นมาและการจัดวางตำแหน่ง
แก้มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับการแทรกดันตัวขึ้นมาและการจัดวางตัวของหินแกรนิตทางด้านบนของเปลือกทวีป เพราะยังไม่มีหลักฐานในภาคสนามที่จะเสนอกลไกใดๆ ได้ดีพอ สมมุติฐานที่เสนอกันขึ้นมาจึงขึ้นอยู่กับข้อมูลจากการทดลอง โดยมีสมมุติฐานสองประการหลักๆ เกี่ยวกับการแทรกดันตัวขึ้นมาของแมกมาผ่านชั้นเปลือกโลก คือ
- Stoke Diaper
- Fracture Propagation
ในบรรดากลไกทั้งสองนี้ Stokes Diaper เป็นที่นิยมใช้กันมาหลายปีในสภาพที่ปราศจากทางเลือกใดที่สมเหตุสมผลกว่า แนวคิดพื้นฐานคือว่าแมกมาจะถูกแทรกดันตัวขึ้นมาผ่านชั้นเปลือกโลกในลักษณะของมวลเดี่ยวๆ ด้วยการลอยตัว ขณะที่มันแทรกดันตัวขึ้นมานั้นมีการแผ่ความร้อนให้กับมวลหินข้างเคียง ทำให้หินข้างเคียงมีลักษณะเป็นของไหลแล้วไหลไปรอบๆ พลูโทน มวลหินข้างเคียงผ่านเข้าไปในแมกมาอย่างรวดเร็วโดยปราศจากการสูญเสียความร้อนหลัก (Weinberg, 1994) ในชั้นเปลือกโลกด้านล่างที่อุ่นและอ่อนนุ่ม หินสามารถเสียรูปได้โดยง่าย แต่ด้านบนของชั้นเปลือกโลกนั้นเย็นกว่าและเปราะกว่า หินจึงไม่สามารถเสียรูปได้โดยง่าย สำหรับแมกมาที่แทรกตัวขึ้นมาเป็นพลูโทนต้องใช้พลังงานอย่างมากในการให้ความร้อนกับหินข้างเคียง จึงเกิดการเย็นตัวและแข็งตัวก่อนที่จะถึงระดับตื้นของชั้นเปลือกโลก
ในปัจจุบันกลไกการแผ่ขยายของรอยแตกเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะกลไกนี้แก้ปัญหาของการเคลื่อนที่ของมวลมหาศาลของแมกมาที่ผ่านเข้าไปในชั้นเปลือกโลกที่เย็นและเปราะ แมกมาดันตัวขึ้นมาแทนที่ในช่องว่างเล็กๆไปตามไดค์ซึ่งเกิดตามระบบรอยเลื่อนที่เกิดขึ้นใหม่หรือรอยเลื่อนที่มีอยู่ก่อนแล้วและรวมถึงเครือข่ายของแนวเฉือนที่มีพลัง (Clemens, 1998)[6] เมื่อท่อแคบๆเหล่านี้ถูกเปิดออกแมกมาด้านบนก็จะแข็งตัวและจะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนป้องกันแมกมาที่แทรกดันตามขึ้นมาจากด้านล่าง
แมกมาแกรนิตต้องหาที่อยู่เพื่อตัวมันเองหรือแทรกดันเข้าไปในหินอื่นเพื่อที่จะเกิดการแทรกซอน และมีกลไลหลากหลายถูกเสนอขึ้นมาเพื่ออธิบายว่าแบโทลิธขนาดใหญ่แทรกเข้าไปอยู่ได้อย่างไร เช่น
- Stoping คือเมื่อแกรนิตทำให้หินข้างเคียงแตกร้าวและแทรกดันขึ้นไปขณะที่ก็ดึงเอาก้อนเปลือกโลกด้านบนออกไปด้วย
- Assimilation คือเมื่อแกรนิตหลอมละลายหินเปิดช่องทางให้มันแทรกดันตัวขึ้นไปในชั้นเปลือกโลกและดึงเอาวัตถุที่อยู่ด้านบนไปตามช่องทางนี้
- Inflation คือเมื่อมวลแกรนิตขยายตัวออกภายใต้ความกดดันและถูกฉีดเข้าไปในตำแหน่งของมัน
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าการแทรกซอนของแกรนิตสามารถใช้กลไกเหล่านี้มาอธิบายร่วมกันได้
การแผ่รังสีโดยธรรมชาติ
แก้แกรนิตเป็นแหล่งของการแผ่รังสีทางธรรมชาติเหมือนกับหินทั่วไป โดยหินแกรนิตบางชนิดมีความเป็นกัมมันตรังสีสูง
หินแกรนิตบางชนิดมีแร่ยูเรเนียมสูงถึง 10 - 20 ส่วนในล้านส่วน ในทางกลับกัน หินอัคนีสีเข้มจำนวนมากอย่างเช่น โทนาไลต์ แกบโบร หรือไดโอไรต์มีแร่ยูเรเนียมเพียง 1 ถึง 5 ส่วนในล้านส่วน และหินปูนรวมถึงหินตะกอนทั้งหลายมีปริมาณยูเรเนียมน้อย พลูโทนหินแกรนิตขนาดใหญ่จำนวนมากเป็นแหล่งให้กับทางน้ำโบราณหรือแหล่งสะสมตัวของยูเรเนียมแบบโรลล์ฟรอนต์ (roll front uranium ore deposits) ที่แร่ยูเรเนียมได้ชะล้างเข้าไปในตะกอนจากหินแกรนิตบนพื้นดินและที่เกี่ยวข้อง โดยส่วนมากจะเป็นพวกเพกมาไทต์ที่มีกัมมันตะรังสีสูง แกรนิตสามารถเป็นแหล่งเสี่ยงภัยจากกัมมันตรังสีทางธรรมชาติ เช่น หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนพืดหินแกรนิตอาจได้รับผลกระทบจากการแผ่รังสีมากกว่าชุมชนอื่นๆ[7] โพรงและฐานยุบของดินบนหินแกรนิตสามารถเป็นที่กักเก็บของแก๊สเรดอนซึ่งเกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียม[8] โดยเรดอนสามารถเข้าไปถึงครัวเรือนผ่านทางบ่อน้ำที่ขุดลงไปในหินแกรนิต[9] ซึ่งแก๊สเรดอนมีผลกระทบเกี่ยวข้องกับสุขภาพ และถือเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับสองรองมาจากการสูบบุหรี่[9]
วัสดุที่ผลิตขายเป็นแผ่นหินปูเคาน์เตอร์หรือเป็นวัสดุก่อสร้างไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงนัก Dr. Dan Steck แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น กล่าวว่า ประมาณ 5% ของแกรนิตทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับกัมมันตรังสี แต่ได้ข้อมูลจากการตรวจหินแกรนิตเพียงไม่กี่ประเภทจากจำนวนหลายหมื่นประเภทเท่านั้น มีแหล่งข้อมูลออนไลน์ขององค์กรสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งชาติซึ่งเกี่ยวกับความเสี่ยงของหินแกรนิตและกฎการก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ป้องกันการสะสมของแก็สเรดอนในชั้นใต้ดินและบ้านพักอาศัยซึ่งเป็นสถานที่ปิด
มีการศึกษาหินแกรนิตเคาน์เตอร์ชิ้นหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2008 โดย National Health and Engineering Inc แห่งสหรัฐอเมริกา[10] พบว่ามีหินแกรนิตจำนวน 18 แผ่นจากจำนวน 39 แผ่นไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของสหภาพยุโรป (section 4.1.1.1 of the National Health and Engineering study) มากไปกว่านี้ แผ่นหนึ่งจากแผ่นหินจำนวน 39 แผ่นถูกตรวจสอบในการศึกษา E,H.&E มีดัชนีความเข้มข้นเกินข้อกำหนดของสหภาพยุโรป (Section 4.3.1 of the E,H,&E study) สถาบันหินอ่อนมีความเกี่ยวข้องกับการออกข้อกำหนดนี้ด้วยการกล่าวว่าข้อกำหนดของหินแกรนิตเคาน์เตอร์ของสหภาพยุโรปนั้นมีข้อบกพร่อง หินที่ตรวจสอบนั้นได้รวมถึงชนิดของแกรนิตที่เป็นแผ่นหินแกรนิตเคาน์เตอร์ที่มีตลาดร่วมกับอเมริกาเสียประมาณ 80% ตามข้อมูลตลาดล่าสุดที่หาได้
นักวิจัยและองค์กรอื่นๆไม่ได้เห็นด้วยกับสถานะความปลอดภัยในหินแกรนิตของสถาบันหินอ่อนซึ่งรวมถึง AARST (American Association of Radon Scientists and Technicians) และ CRCPD (Conference of Radiation Control Program Directors, an organization of state radiation protection officials) ทั้งสององค์กรนี้มีคณะกรรมการซึ่งที่ผ่านมาได้ออกข้อกำหนดอนุญาตให้มีระดับของการแผ่รังสีเรดอนสูงสุดรวมถึงข้อตกลงในการตรวจวัดรังสีเรดอนจากหินแกรนิตเคาน์เตอร์ ข้อกำหนดของสหภาพยุโรปดูเหมือนว่าจะรวมถึงข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับข้อกำหนดฐานของ EPA ฉบับใหม่สำหรับวัสดุก่อสร้างที่เป็นหินแกรนิตในสหรัฐอเมริกาด้วย
การปีนเขา
แก้แกรนิตเป็นหนึ่งในบรรดาหินหลายชนิดที่เป็นที่ชื่นชอบกันในบรรดานักปีนเขาด้วยความชัน ความมั่นคง ระบบรอยแยก และการเสียดทานของมัน สถานที่ที่เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับการปีนป่ายหินแกรนิต ได้แก่ หุบเขา Yosemite, Bugaboos, Mont Blanc, เทือกเขา Mourne, Aiguille du Midi และ Grandes Jorasses, เทือกเขา Bregaglia, Corsica, หลายส่วนของ Karakoram, Fitzroy Massif, Patagonia, เกาะ Baffin, Cornwall, และ Cairngorms
การปีนหินแกรนิตเป็นที่นิยมกันมาก ทำให้กำแพงปีนหินเทียมจำนวนมากที่พบในโรงยิมและในสวนสาธารณะนั้นถูกทำขึ้นให้มีลักษณะภายนอกและผิวสัมผัสเหมือนหินแกรนิตจริงๆ ถึงจะทำมาจากวัตถุทดแทนก็ตาม เพราะหินแกรนิตหนักเกินไปสำหรับกำแพงปีนป่ายที่ขนย้ายได้ และหนักเกินไปสำหรับอาคารที่จะเป็นสถานที่ตั้งกำแพงเหล่านั้นด้วย
ดูเพิ่ม
แก้- Aberdeen, Scotland's third largest city nicknamed "The Granite City"
- Barre (town), Vermont "Granite Capital of the World", home of the Rock of Ages Corporation
- Elberton, Georgia, the "Granite Capital of the World"
- Fall River granite
- Greisen
- Igneous rocks
- New Hampshire, the "Granite State"
- List of minerals
- List of rock types
- Luxullianite
- The Mountains of Mourne
- Orbicular granite
- Pikes Peak granite, Colorado
- Quartz monzonite
- Rapakivi granite
- Skarn
- Stone Mountain, Georgia
- thanu, Thailand
อ้างอิง
แก้- ↑ Kumagai, Naoichi; Sadao Sasajima; Hidebumi Ito (15 February 1978). "Long-term Creep of Rocks: Results with Large Specimens Obtained in about 20 Years and Those with Small Specimens in about 3 Years". Journal of the Society of Materials Science (Japan). Japan Energy Society. 27 (293): 157–161. สืบค้นเมื่อ 2008-06-16.
- ↑ Harvey Blatt and Robert J. Tracy (1997). Petrology (2nd ed.). New York: Freeman. p. 66. ISBN 0716724383.
- ↑ Chappell, B.W. and White, A.J.R., 2001. Two contrasting granite types: 25 years later. Australian Journal of Earth Sciences v.48, p.489-499.
- ↑ Boroughs, S., Wolff, J., Bonnichsen, B., Godchaux, M., and Larson, P., 2005, Large-volume, low-δ18O rhyolites of the central Snake River Plain, Idaho, USA: Geology 33: 821–824.
- ↑ C.D. Frost, M. McCurry, R. Christiansen, K. Putirka and M. Kuntz, Extrusive A-type magmatism of the Yellowstone hot spot track 15th Goldschmidt Conference Field Trip AC-4. Field Trip Guide, University of Wyoming (2005) 76 pp., plus an appended map.
- ↑ Clemens, John (1998). "Observations on the origins and ascent mechanisms of granitic magmas". Journal of the Geological Society of London. 155 (Part 5): 843–51. doi:10.1144/gsjgs.155.5.0843.
{{cite journal}}
: CS1 maint: date and year (ลิงก์) - ↑ "Radiation and Life". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-13. สืบค้นเมื่อ 2009-09-03.
- ↑ "Decay series of Uranium". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-09. สืบค้นเมื่อ 2008-10-19.
- ↑ 9.0 9.1 "Radon and Cancer: Questions and Answers". National Cancer Institute. สืบค้นเมื่อ 2008-10-19.
- ↑ http://www.marble- เก็บถาวร 2017-02-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน institute.com/industryresources/assessingexposureexecutivesummary.pdf
เชื่อมต่อภายนอก
แก้- The Emplacement and Origin of Granite เก็บถาวร 2007-06-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน