เวียงจันทน์
เวียงจันทน์ (ลาว: ວຽງຈັນ, ออกเสียง: [wíaŋ tɕàn]) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศลาว อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง แบ่งการปกครองออกเป็น 9 เมือง ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำมะโน พ.ศ. 2563 ระบุว่าเมืองนี้มีประชากร 948,477 คน
เวียงจันทน์ ວຽງຈັນ (ลาว) | |
---|---|
ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນ นครหลวงเวียงจันทน์ | |
พิกัด: 17°58′N 102°36′E / 17.967°N 102.600°E | |
ประเทศ | ลาว |
แขวง | เวียงจันทน์ |
ก่อตั้ง | คริสต์ศตวรรษที่ 9[2] |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 3,920 ตร.กม. (1,510 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 174 เมตร (570 ฟุต) |
ประชากร (สำมะโน พ.ศ. 2563) | |
• ทั้งหมด | 948,477[1] คน |
เขตเวลา | UTC+7 (เวลาอินโดจีน) |
เวียงจันทน์เป็นที่รู้จักจากการเป็นที่ตั้งของพระธาตุหลวง อนุสรณ์สถานแห่งชาติลาวที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ประจำชาติและศาสนาพุทธในประเทศลาว บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวัดสำคัญหลาย ๆ แห่ง เช่นหอพระแก้ว ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต
เมืองนี้เป็นสถานที่จัดงานซีเกมส์ครั้งที่ 25 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009
ศัพทมูลวิทยา
แก้ในอดีต ชื่อเมืองเคยเขียนเป็น 'ວຽງຈັນທນ໌' แต่ปัจจุบันมักเขียนเป็น 'ວຽງຈັນ' คำว่า เวียง (ວຽງ) ในภาษาลาว สื่อถึง 'เมืองกำแพง' ส่วน จัน (ຈັນ อดีตสะกดเป็น ຈັນທນ໌) มาจากศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตว่า candana (จนฺทน) (चन्दन, /t͡ɕand̪ana/) 'ไม้จันทน์' และสามารถแปลเป็น 'เมืองกำแพงไม้จันทน์' ชาวลาวบางส่วนเชื่อแบบผิด ๆ ว่ามันสื่อถึง 'เมืองกำแพงดวงจันทร์' เพราะคำว่า จัน ก็สามารถแปลว่า 'ดวงจันทร์' ได้ ถึงแม้ว่าคำนี้ในอดีตเคยเขียนเป็น 'ຈັນທຣ໌' ก็ตาม[3][4]
ประวัติศาสตร์
แก้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสถาปนาเวียงจันทน์ขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง เมื่อ พ.ศ. 2103 ครั้นเมื่อล้านช้างเสื่อมอำนาจลง ใน พ.ศ. 2250 เวียงจันทน์กลายเป็นอาณาจักรอิสระ เรียกว่าอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์จนกระทั่ง พ.ศ. 2321 เวียงจันทน์มีชื่อที่ตั้งในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ว่า กรุงศรีสตนาคนหุต วิสุทธิ์รัตนราชธานีบุรีรมย์
เมืองเวียงจันทน์ หรือนครหลวงเวียงจันทน์ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ซึ่งนักค้นคว้าภายในและต่างประเทศได้ทำการศึกษาและค้นพบหลักฐานทางวัตถุโบราณอันเก่าแก่เป็นต้นคือ เครื่องมือทำมาหากินทั้งเป็นแบบโลหะและแบบหิน นี้เป็นสิ่งยืนยันว่า ในดินแดนแถบนี้เป็นที่ราบเวียงจันทน์ มีคนได้มาอยู่อาศัยมาแล้วประมาณกว่า 500,000 ปี โดยนักวิจัยสำรวจในปี 2010 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 450 ปี ทางโทรทัศน์แห่งชาติลาวก็ได้มีการเล่าหวนคืนประวัติศาสตร์นครเวียงจันทน์ และนักวิจัยได้ให้ข้อมูลว่า มนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่คงเขตนี้แต่แรก ๆ โดยต่อมาก็มีเผ่าลาว-มอญ ที่ได้นำเอาศาสนาพุทธเข้ามาเข้ามาเผยแพร่ในแผ่นดินลาว ซึ่งเมื่อก่อนล้วนแล้วศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด
ตามหนังสืออุรังคธาตุได้เล่าสืบขานกันมาว่า เมืองเวียงจันทน์ก่อร้างสร้างมาจากบ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า "บ้านหนองคันแท้ผีเสื้อน้ำ" (บ้านศรีสังวรในปัจจุบัน) โดย นาย (ลาว: ท้าว) บุรีจันทน์ หรืออ้วยล้วย เป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ และได้ตั้งชื่อเมืองว่า เวียงจันทน์ ตามชื่อนามมยดของ บุรีจันทน์ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการวิจัยหรือค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เล่มไหนยืนยันได้ว่า ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้คือข้อเท็จจริง จนมาถึงสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรได้ถูกค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญหลายอย่างเป็นต้นเช่น การถูกค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างด้วยหินและศิลาฤกษ์อยู่สถานที่เดียวกันที่บ้านท่าลาด เมืองแก้วอุดม แขวงเวียงจันทน์ปัจจุบัน ซึ่งเมื่อก่อนก็เป็นอาณาจักรเขตนครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ที่ยังนับถือศาสนาพุทธของชาวนครเวียงจันทน์[5]
ภูมิศาสตร์
แก้เวียงจันทน์อยู่ในช่วงโค้งของแม่น้ำโขง ทิศเหนือติดกับแขวงเวียงจันทน์ ทิศใต้ติดกับแขวงบอลิคำไซ ทางทิศตะวันตกติดกับจังหวัดหนองคาย ประเทศไทย เชื่อมต่อสะพานมิตรภาพไทย–ลาว 1 (หนองคาย–เวียงจันทน์)
ภูมิอากาศ
แก้ข้อมูลภูมิอากาศของเวียงจันทน์ (ค.ศ. 1981–2010, สูงสุด ค.ศ. 1907–1990) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 35.6 (96.1) |
37.8 (100) |
40.0 (104) |
41.1 (106) |
38.9 (102) |
37.8 (100) |
36.1 (97) |
37.2 (99) |
38.9 (102) |
38.9 (102) |
34.4 (93.9) |
33.4 (92.1) |
41.1 (106) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 28.7 (83.7) |
30.8 (87.4) |
33.1 (91.6) |
34.6 (94.3) |
33.1 (91.6) |
32.2 (90) |
31.6 (88.9) |
31.2 (88.2) |
31.3 (88.3) |
31.2 (88.2) |
30.1 (86.2) |
28.3 (82.9) |
31.1 (88) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 22.4 (72.3) |
24.7 (76.5) |
27.1 (80.8) |
29.0 (84.2) |
28.4 (83.1) |
28.1 (82.6) |
27.7 (81.9) |
27.5 (81.5) |
27.3 (81.1) |
26.8 (80.2) |
24.8 (76.6) |
22.2 (72) |
26.3 (79.3) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 17.4 (63.3) |
19.6 (67.3) |
22.1 (71.8) |
24.5 (76.1) |
24.9 (76.8) |
25.2 (77.4) |
25.0 (77) |
24.8 (76.6) |
24.3 (75.7) |
23.4 (74.1) |
20.5 (68.9) |
17.3 (63.1) |
22.4 (72.3) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 0.0 (32) |
7.6 (45.7) |
12.1 (53.8) |
17.1 (62.8) |
20.0 (68) |
21.1 (70) |
21.2 (70.2) |
21.1 (70) |
21.2 (70.2) |
12.9 (55.2) |
8.9 (48) |
5.0 (41) |
0.0 (32) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 7.8 (0.307) |
15.3 (0.602) |
39.2 (1.543) |
92.8 (3.654) |
233.5 (9.193) |
264.6 (10.417) |
307.2 (12.094) |
332.9 (13.106) |
270.2 (10.638) |
96.6 (3.803) |
13.5 (0.531) |
3.7 (0.146) |
1,677.2 (66.031) |
ความชื้นร้อยละ | 70 | 68 | 66 | 69 | 78 | 82 | 82 | 84 | 83 | 78 | 72 | 70 | 75 |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย (≥ 1.0 mm) | 1 | 2 | 5 | 8 | 16 | 19 | 20 | 22 | 17 | 9 | 2 | 1 | 122 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 239.8 | 216.9 | 218.5 | 227.6 | 195.3 | 140.8 | 129.9 | 133.0 | 165.9 | 210.5 | 228.5 | 246.6 | 2,353.5 |
แหล่งที่มา 1: World Meteorological Organization,[6] Deutscher Wetterdienst (สูงสุด ค.ศ. 1907–1990)[7] | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: NOAA (ความชื้น ค.ศ. 1961–1990)[8] |
การคมนาคม
แก้ภายในประเทศลาว
แก้การเดินทางภายในประเทศลาว มีรถโดยสารประจำทางกระจายทั่วเมือง โดยเชื่อมระหว่างสถานีรถโดยสารเวียงจันทน์ไปทั่วประเทศ[9]
จากประเทศไทย
แก้
สะพานมิตรภาพไทย–ลาวที่สร้างขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1990 ข้ามแม่น้ำ 18 กิโลเมตรไปที่เมืองหนองคายในประเทศไทย ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อสะพานใน ค.ศ. 2007 โดยการเพิ่มคำว่า "แห่งที่ 1" หลังมีการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 ซึ่งเชื่อมระหว่างจังหวัดมุกดาหารในประเทศไทยกับแขวงสุวรรณเขตในประเทศลาว และเปิดใช้งานในช่วงต้น ค.ศ. 2007
ต่อมามีการเปิดใช้งานรางมีเตอร์เกจที่เชื่อมเหนือสะพานในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2009 โดยสิ้นสุดที่สถานีรถไฟท่านาแล้งในหมู่บ้านดงโพสี (แขวงเวียงจันทน์) ซึ่งอยู่ห่างจากเวียงจันทน์ไปทางตะวันออก 20 กิโลเมตร[11][12] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เจ้าหน้าที่ลาวมีแผนที่จะแปลงสถานที่ไปเป็นสถานีขนส่งสินค้าทางรถไฟไว้สำหรับการขนส่งสินค้าระบบราง ซึ่งจะทำให้สินค้าจากกรุงเทพฯ ไปที่ลาวมีราคาถูกมากกว่าการขนส่งทางถนน[13]
ไปประเทศไทย
แก้มีบริการรถบัสระหว่างเวียงจันทน์ถึงหนองคาย อุดรธานี และขอนแก่น
จากประเทศจีน
แก้ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 มีการประกาศแผนสร้างรถไฟความเร็วสูงความยาว 530 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างเวียงจันทน์กับสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน[14] ซึ่งภายหลังมีการปรับเส้นทางไปเป็นบ่อเต็นถึงเวียงจันทน์ รวมเส้นทางมีความยาว 421.243 กิโลเมตร ให้บริการ 21 สถานี รวม 5 สถานีหลัก ข้ามสะพาน 165 แห่ง และอุโมงค์ 69 แห่ง[15][16] การก่อสร้างเส้นทางนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟคุนหมิง–สิงคโปร์ ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2011 และคาดว่าจะเปิดใช้งานในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2021[17]
ทางอากาศ
แก้เวียงจันทน์มีบริการท่าอากาศยานนานาชาติวัตไตที่เชื่อมต่อกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดยการบินลาวมีเที่ยวบินในประเทศ[18] ในประเทศไทย ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี หนึ่งในจุดหมายหลักของวัตไต อยู่ห่างกันน้อยกว่า 90 กิโลเมตร
การท่องเที่ยว
แก้เวียงจันทน์มีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมามากมายในแต่ละปี เนื่องจากเวียงจันทน์เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ผสมความทันสมัยอย่างลงตัว
สถานที่สำคัญ
แก้- ปะตูไซ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะของปวงชนลาว พ้นจากการเป็นเมืองขึ้น โดยเลียนแบบประตูชัยในฝรั่งเศส แต่ใช้ศิลปะลาว[ต้องการอ้างอิง]
- หอพระแก้ว เดิมเป็นวัด เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และมีร้านขายของที่ระลึก
- พระธาตุหลวง พระธาตุ (สถูป) ขนาดใหญ่สีทองอร่าม บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นเครื่องหมายในดวงตราสำคัญของประเทศ
- วัดสีสะเกด อีกวัดหนึ่งที่ไม่ได้ถูกทำลายในช่วงสงคราม มีพระพุทธรูปใหญ่ และเล็กเรียงรายอยู่มากที่สุด
การศึกษา
แก้มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว หนึ่งในสามมหาวิทยาลัยในประเทศ ตั้งอยู่ในเวียงจันทน์[19]
เศรษฐกิจ
แก้เวียงจันทน์เป็นแรงขับเคลื่อนในการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศลาว เมืองนี้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจากการลงทุนของต่างชาติ[20] ใน ค.ศ. 2011 ตลาดหลักทรัพย์เปิดหุ้นบริษัทจดทะเบียน 2 แห่งที่มีความร่วมมือของเกาหลีใต้[21]
สาธารณสุข
แก้โรงพยาบาลมโหสถ เป็นโรงพยาบาลศูนย์ประจำประเทศลาว
โรงพยาบาลเชษฐาธิราช เป็นโรงพยาบาลศูนย์ประจำประเทศลาวอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลจีน จะเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาวและทันสมัยที่สุดจำนวน500เตียง[ต้องการอ้างอิง]
เมืองพี่น้อง
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ United Nations Statistics Division. "Population by sex, rate of population increase, surface area and density" (PDF). สืบค้นเมื่อ 9 November 2007.
- ↑ Lao Statistics Bureau (21 October 2016). "Results of Population and Housing Census 2015" (PDF). สืบค้นเมื่อ 8 January 2018.
- ↑ Askew, Marc; Long, Colin; Logan, William (2006). Vientiane: Transformations of a Lao Landscape (ภาษาอังกฤษ). Routledge. pp. 15, 46. ISBN 978-1-134-32365-4.
- ↑ Goscha, Christopher E.; Ivarsson, Søren (2003). Contesting Visions of the Lao Past: Laos Historiography at the Crossroads. NIAS Press. pp. 34 n.62, 204 n.18. ISBN 978-87-91114-02-1.
- ↑ "ກ່ອນຈະມາເປັນນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນ ແລະ ພະທາດຫຼວງທີ່ປວງຊົນລາວສັກກາລະບູຊາ". muan.sanook.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "World Meteorological Organization Climate Normals for 1981–2010". World Meteorological Organization. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2021. สืบค้นเมื่อ 16 July 2021.
- ↑ "Klimatafel von Vientiane (Viangchan) / Laos" (PDF). Baseline climate means (1961–1990) from stations all over the world (ภาษาเยอรมัน). Deutscher Wetterdienst. สืบค้นเมื่อ 23 January 2016.
- ↑ "Vientiane Climate Normals 1961–1990". National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ 29 November 2013.
- ↑ "Timetables". Vientiane Capital State Bus Enterprise. VCSBE. สืบค้นเมื่อ 8 December 2014.
- ↑ Matthias Gasnier (13 August 2012). "Laos 2012 Update: Chinese models keep spreading". bestsellingcarsblog.com. สืบค้นเมื่อ 10 November 2013.
- ↑ "Inaugural train begins Laos royal visit". Railway Gazette International. 5 March 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-22. สืบค้นเมื่อ 2021-11-07.
- ↑ Andrew Spooner (27 February 2009). "First train to Laos". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 13 March 2011.
- ↑ Rapeepat Mantanarat (9 November 2010). "Laos rethinks rail project". TTR Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2011. สืบค้นเมื่อ 13 March 2011.
- ↑ "New China-Laos link". Railways Africa. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2014. สืบค้นเมื่อ 7 December 2010.
- ↑ "Boten Vientiane Railway Link". Laos-Travel-Guide. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2011. สืบค้นเมื่อ 18 January 2011.
- ↑ "中国铁路考察团对中老铁路进行全线考察 | China Railway Erju Group Corporation (中铁二局集团公司)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 July 2011. สืบค้นเมื่อ 25 December 2010.
- ↑ "Kunming-Singapore High-Speed Railway begins construction". People's Daily. 25 April 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2011. สืบค้นเมื่อ 26 April 2011.
- ↑ "Route Map". Lao Airlines. Lao Airlines. สืบค้นเมื่อ 8 December 2014.
- ↑ "National University of Laos (NUOL)". National University of Laos (NUOL). NUOL. สืบค้นเมื่อ 8 December 2014.
- ↑ Work begins on major new Vientiane shopping centre | Lao Voices เก็บถาวร 3 พฤษภาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "Laos stocks soar on debut – yes, both of them". Financial Times.
อ่านเพิ่ม
แก้- Askew, Marc, William Stewart Logan, and Colin Long. Vientiane: Transformations of a Lao Landscape. London: Routledge, 2007. ISBN 978-0-415-33141-8
- Sharifi et al., Can master planning control and regulate urban growth in Vientiane, Laos?. Landscape and Urban Planning, 2014. DOI: 10.1016/j.landurbplan.2014.07.014
- Flores, Penelope V. Good-Bye, Vientiane: Untold Stories of Filipinos in Laos. San Francisco, CA: Philippine American Writers and Artists, Inc, 2005. ISBN 978-0-9763316-1-2
- Renaut, Thomas, and Arnaud Dubus. Eternal Vientiane. City heritage. Hong Kong: Published by Fortune Image Ltd. for Les Editions d'Indochine, 1995.
- Schrama, Ilse, and Birgit Schrama. Buddhist Temple Life in Laos: Wat Sok Pa Luang. Bangkok: Orchid Press, 2006. ISBN 978-974-524-073-5
- Women's International Group Laos. Vientiane Guide. Vientiane: Women's International Group, 1993.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- คู่มือการท่องเที่ยว เวียงจันทน์ จากวิกิท่องเที่ยว (ในภาษาอังกฤษ)