เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค)

เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี นามเดิม ขำ ตระกูลบุนนาค (1 ตุลาคม พ.ศ. 2356 — 12 มิถุนายน พ.ศ. 2413) เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่สมัยรัตนโกสินทร์ ผู้ช่วยปลัดกรมท่า ปลัดกรมพระตำรวจ ผู้สำเร็จราชการในกิจการต่างประเทศ นักเขียนพระราชพงศาวดาร ผู้แต่งและผู้ตีพิมพ์หนังสือรวมทั้งหนังสือแสดงกิจจานุกิจ หนังสือไทยเล่มแรกที่อธิบายความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และศาสนาที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น

เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี
(ขำ บุนนาค)
ปลัดกรมพระตำรวจ
ผู้ช่วยปลัดกรมท่า
ผู้สำเร็จราชการในกิจการต่างประเทศ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด1 ตุลาคม พ.ศ. 2356
เสียชีวิต12 มิถุนายน พ.ศ. 2413 (56 ปี)
ศาสนาพุทธ
คู่สมรสท่านผู้หญิงหนู ทิพากรวงศ์

ประวัติ แก้ไข

กำเนิด การศึกษาและชีวิตในวัยเยาว์ แก้ไข

เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีเป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) และหม่อมรอด เกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำเดือน 11 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นน้องต่างมารดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมรสกับท่านผู้หญิงกลิ่น บุนนาค ธิดาของหลวงแก้วอายัติ (จาด บุนนาค)และ ลิ้ม บุนนาค มีพี่น้องร่วมมารดาหนึ่งคน ชื่อ พุก

ชีวิตราชการ แก้ไข

เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีเข้ารับราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในตำแหน่งนายพลพันมหาดเล็กหุ้มแพร ต่อมาได้เลื่อนเป็นจมื่นราชามาตย์พลขันธ์ ปลัดพระกรมตำรวจ

ถึงสมัยรัชกาลที่4 ได้เลื่อนยศเป็นเจ้าพระยา ช่วยราชการกรมเจ้าท่า (ช่วยท่านบิดา) เมื่อ พ.ศ. 2394 เมื่อท่านบิดาคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ซึ่งว่าราชการกรมท่าถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการกรมท่าแทนเมื่อ พ.ศ. 2408 และเลื่อนให้เป็น เจ้าพระยารวิวงศ์มหาโกศาธิบดี แต่ทรงเปลี่ยนให้ใหม่เป็นเจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดีในภายหลัง เนื่องจากทรงพบว่านามที่ทรงตั้งให้เป็น "กาลกรรณี"

เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดีลาออกจากราชการสมัยปลายรัชกาลที่ 4 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2410 เนื่องจากมีปัญหาป่วยด้วยโรคตา ครั้นเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดีกลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งด้วยเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่มีประสบการณ์สูง เป็นผู้มีอัธยาศัยดี เที่ยงธรรม จึงโปรดสถาปนาให้มีอำนาจได้สำเร็จราชการในกิจการต่างประเทศ เป็นที่ปรึกษาคิดอ่านราชการแผ่นดินด้วย เจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดีรับราชการต่อมาได้อีกเพียง 2 ปี ก็ถึงแก่อสัญกรรม

ผลงาน แก้ไข

เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีรับราชการมาถึง 3 แผ่นดิน เมื่อครั้งเป็นจหมื่นราชามาตย์ดำรงตำแหน่งปลัดกรมพระตำรวจ ได้ทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายสำคัญ ๆ มากมาย รวมทั้งการจับผู้ร้ายแถบด่านปัจจมิตร เมื่อ พ.ศ. 2380 ซึ่งจับผู้ร้ายได้มากถึง 30 คน ครั้งเมื่อโปรดให้ไปจับฝิ่นทางหัวเมืองปักษ์ใต้ก็สามารถปราบและจับฝิ่นได้ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ไปถึงเมืองถลาง นำฝิ่นที่จับได้มาเผาที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ซึ่งได้โปรดเกล้าให้นำกลักฝิ่นมาหล่อเป็นพระพุทธรูปพระประธานในศาลาการเปรียญ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อระหว่าง พ.ศ. 2387 ถึง พ.ศ. 2391 ก็ได้ทำการปราบปรามอั้งยี่ขายฝิ่นตั้งแต่ปากน้ำบางปะกง หัวเมืองชายทะเลตะวันตก รวมทั้งการปราบจีนตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทรา

ในด้านการต่างประเทศเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะผู้แทน 5 ท่านเจรจากับเซอร์จอห์น เบาริง ในพระนาม ซึ่งผู้แทนคณะนี้ประกอบด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าพระยาบรมบรมมหาประยูรวงศ์ผู้บิดา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยารวิวงศ์โกษาธิบดี (ยศของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดีขณะนั้น)

ครอบครัว แก้ไข

ภรรยาของเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดีคือท่านผู้หญิงหนู บุตรีของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์ ณ นคร) บิดานำถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดให้เป็นละครหลวง ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้เป็นเจ้าจอมอยู่งาน และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้เป็นภรรยาเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี

จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านป่วยเป็นวัณโรค และถึงแก่กรรมในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2413 เวลาเช้า 4 โมงเศษ สิริอายุ 56 ปี[1]

อ้างอิง แก้ไข

  • วิมล พงศ์พิพัฒน์ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 14 พ.ศ. 2527 -2528 หน้า 8681
  1. ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวตาย, เล่ม 7, ตอน 35, 30 พฤศจิกายน 2433, หน้า 311-312

แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข