เจียง ชิง
เจียง ชิง[a][หมายเหตุ 1] (มีนาคม ค.ศ. 1914 – 14 พฤษภาม ค.ศ. 1991) เป็นนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ นักแสดง และบุคคลสำคัญทางการเมืองชาวจีน เธอเป็นภริยาคนที่สี่ของเหมา เจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์และผู้นำสูงสุดของจีน เจียงเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวัฒนธรรมในฐานะผู้นำของกลุ่มแก๊งสี่คนหัวรุนแรง
เจียง ชิง | |
---|---|
江青 | |
![]() เจียงใน ค.ศ. 1976 | |
คู่สมรสผู้นำสูงสุดจีน | |
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 9 กันยายน ค.ศ. 1976 (26 ปี 344 วัน) | |
ผู้นำ | เหมา เจ๋อตง (ประธานพรรค) |
ถัดไป | หาน จือจฺวิ้น |
คู่สมรสประธานาธิบดีจีน | |
ดำรงตำแหน่ง 27 กันยายน ค.ศ. 1954 – 27 เมษายน ค.ศ. 1959 (4 ปี 212 วัน) | |
ประธานาธิบดี | เหมา เจ๋อตง |
ถัดไป | หวัง กวงเหม่ย์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | หลี่ ชูเหมิง หรือ หลี่ จิ้นไห มีนาคม ค.ศ. 1914 จูเฉิง ชานตง สาธารณรัฐจีน |
เสียชีวิต | 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | (77 ปี)
สาเหตุการเสียชีวิต | ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอ |
ที่ไว้ศพ | สุสานปักกิ่งฝูเถียน |
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน |
คู่สมรส |
|
บุตร | หลี่ น่า |
โทษทางอาญา | โทษประหารชีวิตพร้อมรอลงอาญา ภายหลังมีการลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต |
ลายมือชื่อ | ![]() |
เจียง ชิง | |||||||||||
ภาษาจีน | 江青 | ||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
เกิดในครอบครัวตกต่ำ มีบิดาที่ทารุณกรรม และมารดาที่ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านและบางครั้งเป็นโสเภณี เจียง ชิงกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้ และต่อมาแต่งงานกับเหมา เจ๋อตงในเหยียนอานในทศวรรษ 1930 ในทศวรรษ 1940 เธอทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัวของเหมา เจ๋อตง และในช่วงทศวรรษ 1950 เธอเป็นหัวหน้าแผนกภาพยนตร์ของกรมโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ใน ค.ศ. 1966 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการของคณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลาง เธอมีบทบาทสำคัญในฐานะทูตของเหมาในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยร่วมมือกับหลิน เปียว เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของเหมาและส่งเสริมลัทธิบูชาบุคคลของเขา เจียงมีอิทธิพลอย่างมากต่อกิจการของรัฐ โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อยกย่องบูชาเธอในฐานะ "ผู้ถือธงอันยิ่งใหญ่แห่งการปฏิวัติชนกรรมาชีพ" ใน ค.ศ. 1969 เธอได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกกรมการเมือง เป็นการตอกย้ำอำนาจของเธอให้มั่นคงยิ่งขึ้น
หลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงไม่นาน เธอถูกจับกุมโดยฮฺว่า กั๋วเฟิงและพันธมิตรของเขาใน ค.ศ. 1976 สื่อของรัฐพรรณนาถึงเธอในฐานะ "ปีศาจกระดูกขาว" และเธอถูกกล่าวโทษอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ทำให้ชาวจีนเสียชีวิตนับแสน ในตอนแรก เธอถูกตัดสินประหารชีวิตโดยรอลงอาญาไว้สองปีในการพิจารณาคดีที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ แต่โทษของเจียงถูกลดหย่อนให้เหลือจำคุกตลอดชีวิตใน ค.ศ. 1983 เธอได้รับการปล่อยตัวเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และฆ่าตัวตายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991
ชื่อ
แก้ชื่อภาษาจีน
แก้เจียง ชิงเป็นที่รู้จักในชื่อต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิตของเธอ ก่อนที่เธอจะเกิด บิดาเธอตั้งชื่อทารกว่าหลี่ จิ้นหนาน[b] ซึ่งจิ้นหนานแปลว่า "เด็กชายที่จะมา" เมื่อเธอเกิด บิดาเธอก็เปลี่ยนชื่อเป็นหลี่ จิ้นไห[c] ซึ่งแปลว่า "เด็กที่จะมา"[1] ด้วยเหตุนี้ เจียง ชิงจึงเรียกตัวเองว่าหลี่ จิ้นด้วยเช่นกัน[d][1][2] แหล่งข้อมูลอื่นหลายแห่งยังระบุว่าชื่อเกิดของเธอคือหลี่ ฉูเหมิง[e][3][4] ซึ่งมีความหมายว่า "บริสุทธิ์และเรียบง่าย"[4][5]
เธอใช้ชื่อหลี่ ยฺหวินเฮ่อ[f] ในช่วงประถมศึกษา[6][1] เธอเล่าให้นักเขียนชีวประวัติ ร็อกแซน วิตกี (Roxane Witke) ฟังว่าเธอชอบชื่อนี้เพราะคำว่า "ยฺหวินเหอ" ซึ่งหมายถึง "นกกระเรียนในเมฆ" ฟังดูไพเราะ[6] ในเดือนกรกฎาคม 1933 ระหว่างการเดินทางเยือนเซี่ยงไฮ้ครั้งแรก เธอใช้ชื่อหลี่ เฮ่อ[g] และทำงานเป็นครูสอนคนงานท้องถิ่น ในการเดินทางเยือนเซี่ยงไฮ้ครั้งที่สองในเดือนมิถุนายน 1934 เธอใช้นามแฝงจาง ฉูเจิน[h] ต่อมา เมื่อถูกรัฐบาลชาตินิยมจับกุมในเดือนตุลาคม 1934 เธอระบุชื่อตัวเองว่าหลี่ ยฺหวินกู่[i][1]
ในปี 1935 เมื่อเธอเข้าสู่วงการบันเทิง เธอใช้ชื่อในการแสดงว่าหลาน ผิง[j] ซึ่งแปลว่า "แอปเปิลสีน้ำเงิน"[7][8] แม้ชื่อนี้จะไม่มีความหมายเฉพาะเจาะจงอะไร แต่ความตรงไปตรงมาของมันทำให้ชื่อนี้มีความโดดเด่น อย่างไรก็ตาม เจียง ชิงไม่ชอบชื่อนี้เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวของเธอในเซี่ยงไฮ้[9] เธอเป็นที่รู้จักในชื่อเจียง ชิงเมื่อมาถึงเหยียนอาน โดยที่ เจียง หมายถึงแม่น้ำและ ชิง หมายถึงสีคราม หรือ "ดีกว่าสีน้ำเงิน"[10]
ในปี 1991 ขณะเธอเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ปักกิ่ง เธอใช้นามแฝงว่าหลี่ รุ่นชิง[k] เมื่อเธอเสียชีวิตที่ปักกิ่ง ร่างของเธอถูกระบุด้วยนามแฝงว่าหลี จื่อ[l] และในเดือนมีนาคม 2002 เธอถูกฝังที่ปักกิ่งโดยใช้ชื่อสมัยเรียนของเธอว่าหลี่ ยฺหวินเฮ่อ[11][12]
ชื่อภาษาอังกฤษ
แก้ในการถอดเสียงภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษนั้น หลายบทความร่วมสมัยยังคงใช้ระบบการถอดเสียงแบบเวด–ไจลส์เพื่อสะกดชื่อภาษาจีน ด้วยเหตุผลนี้ แหล่งข้อมูลบางแหล่ง – โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลเก่า – จึงสะกดชื่อของเธอว่า "Chiang Ch'ing" ขณะที่แหล่งข้อมูลใหม่กว่าใช้ระบบพินอินและสะกดชื่อของเธอว่า "Jiang Qing"[13] เธอยังเป็นที่รู้จักกันในนาม "มาดามเหมา" ในฐานะภริยาและม่ายของเหมา เจ๋อตง[14] อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วชาวจีนจะยังคงใช้นามสกุลเดิมของตนเองหลังจากแต่งงาน ดังนั้น นามสกุลของเธอจึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในภาษาจีน[15]
ชีวิตช่วงต้น
แก้เจียง ชิงเกิดในจูเฉิง ชานตง ในเดือนมีนาคม 1914[หมายเหตุ 2] เธอจงใจเก็บวันเกิดที่แน่นอนของเธอเป็นความลับเพื่อเลี่ยงการรับของขวัญ[10] บิดาของเธอคือหลี่ เต๋อเหวิน[m] ช่างไม้ และมารดาของเธอซึ่งไม่ทราบชื่อ[16] เป็นภรรยาน้อยหรืออนุภรรยาของหลี่[17][16] บิดาของเธอมีร้านช่างไม้และทำตู้เป็นของตัวเอง[18] บิดามารดาของเธอแต่งงานกันหลังบิดาของเธอพบว่าภรรยาคนแรกไม่สามารถตั้งครรภ์ได้[19]
ในวัยเด็ก เจียงได้รับบาดเจ็บทางจิตใจอย่างรุนแรงจากความรุนแรงในครอบครัวที่บิดาของเธอทำร้าย โดยที่บิดาเธอทุบตีทั้งทางวาจาและร่างกายมารดาเธอเกือบทุกวัน ในเทศกาลโคมไฟครั้งหนึ่ง หลังบิดาเธอหักนิ้วมารดาเธอระหว่างการทำร้าย มารดาเธอหนีไปพร้อมกับเจียงภายใต้ความมืดมิด[19][20] มารดาเธอหางานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งมักแยกไม่ออกจากการค้าประเวณี และสามีเธอก็แยกทางกับมารดาเธอ[21][22]
เจียงย้ายไปอยู่กับมารดาที่บ้านตายายในจี่หนานในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กลับไปจูเฉิงในไม่ช้า เนื่องจากมารดาเธอยังคงพยายามเรียกร้องสิทธิ์ในมรดก หรือการสนับสนุนทางการเงินจากครอบครัวสามี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง ในช่วงเวลานี้ เจียงเข้าเรียนในโรงเรียนประถมสองแห่งที่ไม่ต่อเนื่องกัน โดยเธอมักถูกล้อเลียนเรื่องการสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ แบบเด็กผู้ชายของพี่ชาย ทำให้เธอกลายเป็นคนเงียบขรึมและไม่เปิดเผยตัวตนง่าย ๆ[23]
มารดาที่ล้มป่วยลง ในที่สุดก็หมดหวังที่จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจากสามี หลังขายข้าวของบางส่วน เธอก็ซื้อตั๋วรถไฟ และขึ้นรถไฟจากเจียวเซี่ยนไปยังจี่หนานพร้อมกับเจียง ที่นั่น เจียงได้รับการต้อนรับจากตายายของเธอและกลับไปเรียนประถมอีกครั้ง[24] ในช่วงปี 1926–1927 มารดาพาเธอไปทางเหนืออีกเพื่อไปยังเทียนจินเพื่อไปอยู่กับพี่สาวต่างมารดา ในช่วงเวลานี้ เจียงทำงานเป็นแม่บ้านในครัวเรือน เธอเสนอจะทำงานมวนบุหรี่ แต่ครอบครัวไม่เห็นด้วย ต่อมาพวกเขากลับไปจี่หนาน ที่ซึ่งมารดาของเธอเสียชีวิตในปี 1928[25]
อาชีพในวงการบันเทิง
แก้จี่หนาน
แก้เมื่ออายุ 14 ปี เจียง ซึ่งในขณะนั้นเป็นเด็กกำพร้า เข้าร่วมคณะละครใต้ดินในท้องถิ่น เพื่อแสวงหาอิสรภาพ รูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของเธอดึงดูดความสนใจ แต่เธอยังคงรู้สึกอ่อนไหวเกี่ยวกับภูมิหลังที่ยากจนของเธอ ตายายของเธอตกใจกับการจากไปโดยไม่บอกกล่าว จึงจ่ายเงินให้หัวหน้าคณะละครพาเธอกลับมา เธอเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะทดลอง ซึ่งลดความเข้มงวดในการคัดเลือกชนชั้นทางสังคมของผู้เข้าใหม่เนื่องจากขบวนการสี่พฤษภาคม แม้สำเนียงชานตงที่ชัดเจนของเธอในตอนแรกจะเป็นอุปสรรคต่อการแสดง แต่เธอก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมหนึ่งปีในบทบาทอุปรากรจีนบางบท เมื่อโรงเรียนปิดตัวลงในปี 1930 เจียง แม้จะได้รับการฝึกฝนเพียงครึ่งเดียว ก็ได้รับเลือกให้เข้าร่วมคณะละครในปักกิ่ง[26] เธอเดินทางกลับจี่หนานในเดือนพฤษภาคม 1931 และแต่งงานกับเผย์ หมิงหลุน[n] บุตรเศรษฐีของนักธุรกิจ และไม่นานก็หย่าร้างกัน[26][29]
ชิงเต่า
แก้หลังหย่าร้าง เจียงติดต่อกับจ้าว ไท่โหมว อดีตผู้อำนวยการสถาบันศิลปะและคณบดีของมหาวิทยาลัยชิงเต่า[หมายเหตุ 3] ด้วยความช่วยเหลือจากยฺหวี ชาน ภรรยาของจ้าว เจียงก็ได้รับตำแหน่งเสมียนในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย[31] ต่อมายฺวี ชานแนะนำเจียงให้รู้จักกับน้องชายของเธอ ยฺหวี ฉีเหว่ย์[32] หนุ่มชนชั้นสูงที่หันมาสนับสนุนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และมีความเชื่อมโยงกับองค์กรใต้ดินของคอมมิวนิสต์ตลอดจนแวดวงวรรณกรรมและศิลปะการแสดง[33]
อุบัติการณ์มุกเดนในเดือนกันยายนปลุกจิตสำนึกรักชาติของเธอ ทำให้เธอไม่ชอบก๊กมินตั๋งและผู้สนับสนุน[34] ภายในสิ้นปี 1932 เจียงและยฺหวี๋ ฉีเหว่ย์ตกหลุมรักและเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำให้เจียงสามารถเข้าสู่แนวร่วมวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์[33] เธอได้เป็นสมาชิกของกลุ่มละคร Seaside Drama Society แสดงละครเช่น Lay Down Your Whip โดยใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของละครเวทีเพื่อต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 เธอเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ[35]
กิจกรรมของคอมมิวนิสต์ที่มหาวิทยาลัยชิงเต่าได้รับความสนใจอย่างมากจากตำรวจลับของก๊กมินตั๋ง ซึ่งจับกุมยฺหวี ฉีเหวย์ในเดือนกรกฎาคม ทำให้เจียงต้องออกจากชิงเต่า[36]
เซี่ยงไฮ้
แก้หลังยฺหวี ฉีเหว่ย์ถูกจับกุม ยฺหวี ชานจัดการให้เจียงย้ายไปเซี่ยงไฮ้ ด้วยคำแนะนำจากน้องชายของเถียน ฮั่น เถียน หลวน เธอลงทะเบียนเป็นนักศึกษาเยี่ยมที่มหาวิทยาลัยต้าเซี่ยในเซี่ยงไฮ้ ในเดือนกรกฎาคม ด้วยการรับรองจากเถียน ฮั่นและผู้ร่วมงานของเขา เจียงได้เป็นครูที่โรงเรียนกรรมกรเฉินเกิง สถาบันที่จัดตั้งโดยเถา สิงจือ ในช่วงเวลานี้ ยฺหวี ฉีเหว่ย์ได้รับการปล่อยตัวและมาเยี่ยมเธอที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม เจียงกลับเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้ง กลายเป็นสมาชิกของสันนิบาตนักการศึกษาฝ่ายซ้าย และกลับมาทำงานเป็นนักแสดงละครเวที[37]
เธอเคยแสดงในคณะละคร Shanghai Work Study Troupe[38] เจียงเป็นหนึ่งในนักแสดงของละครเรื่อง Roar, China! ซึ่งทางการอังกฤษสั่งห้ามไม่ให้จัดแสดงในนิคมนานาชาติเซี่ยงไฮ้[39]
ในเดือนกันยายน 1934 เจียงถูกจับกุมและจำคุกจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเธอในเซี่ยงไฮ้[37] ระหว่างการจับกุมในเซี่ยงไฮ้ เจียง ชิงถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่จงถ่ง จ้าว เหยาชาน เจียงเคยเปิดเผยกับจ้าวว่าถาน เซี่ยวชิง เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน นำไปสู่การจับกุมถาน[40] เธอได้รับการปล่อยตัวสามเดือนต่อมาในเดือนธันวาคม[37] จากนั้นเธอเดินทางไปปักกิ่งที่ซึ่งเธอกลับมาพบกับยฺหวี ฉีเหว่ย์ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวหลังถูกจำคุก และทั้งสองก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง[37]
เธอกลับมาเซี่ยงไฮ้ในเดือนมีนาคม 1935 และเข้าร่วมกับบริษัทภาพยนตร์เตี้ยนทง เธอเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากการรับบทเป็นโนราในละครเวทีเรื่อง A Doll's House ของอิปเซน[41] ต่อมาเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Goddess of Freedom และ Scenes of City Life ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอตกหลุมรักกับถัง น่า เพื่อนร่วมงานที่เตี่ยนทง ทั้งสองเริ่มใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในเดือนกันยายน 1935 อย่างไรก็ตาม เจียงได้โกหกถัง โดยอ้างว่ามารดาของเธอป่วย และเดินทางกลับไปเทียนจินเพื่อไปพบกับยฺหวี ฉีเหว่ย์ เมื่อถังค้นพบความจริง เขาก็พยายามฆ่าตัวตายในจี่หนาน แต่ภายหลังได้คืนดีกับเจียงและเดินทางกลับมาเซี่ยงไฮ้พร้อมกับเธอในเดือนกรกฎาคม 1935 ต่อมาทั้งสองเข้าพิธีแต่งงานหมู่ที่เจดีย์ลิ่วเหอในหางโจวในเดือนเมษายน 1936[37]
ในเซี่ยงไฮ้ เจียงเข้าร่วมกับบริษัทภาพยนตร์เหลียนหฺวา ซึ่งเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Blood on Wolf Mountain และ Lianhua Symphony ในช่วงเวลานี้ เธอเริ่มมีความสัมพันธ์กับผู้กำกับภาพยนตร์ จาง หมิน ปรากฏตัวในผลงานสร้างของเขาเรื่อง The Storm เธอยังเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Wang Laowu อย่างไรก็ตาม ระหว่างการแสดงครั้งที่สองของ The Storm ในเดือนพฤษภาคม 1937 ถังพยายามฆ่าตัวตายอีกครั้ง หลังเหตุการณ์นี้ เจียงหย่ากับถังและเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับจาง หมิน แต่ความสัมพันธ์ครั้งนี้ทำให้เธอต้องแลกมาด้วยอาชีพการงาน เนื่องจากเธอถูกไล่ออกจากบริษัทภาพยนตร์เหลียนหฺวา[37]
การมีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยอย่างกว้างขวางของเจียงกับถัง น่าทำลายชื่อเสียงของเธอ ทำให้เธอยากจะสานต่ออาชีพนักแสดงในเซี่ยงไฮ้[42] เช่นเดียวกับเยาวชนจำนวนมากในยุคสมัยของเธอ เธอถูกดึงดูดด้วยแนวคิดก้าวหน้าที่เกี่ยวข้องกับเหยียนอาน อุบัติการณ์สะพานมาร์โก โปโลในเดือนกรกฎาคม 1937 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกรานจีนเต็มรูปแบบของญี่ปุ่น ยิ่งกระตุ้นให้นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่เรียกร้องแนวร่วมที่เป็นหนึ่งเดียว เหยียนอาน ที่ซึ่งได้รับการส่งเสริมผ่านการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย เสรีภาพ และความหวัง[42] เธอออกจากเซี่ยงไฮ้ในเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นการรุกรานของญี่ปุ่นในเซี่ยงไฮ้ก็เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคม[38]
ปี | ชื่อภาษาอังกฤษ | ชื่อต้นฉบับ | บทบาท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
1935 | Goddess of Freedom | 自由神 | Yu Yueying | |
Scenes of City Life | 都市风光 | แฟนสาวของ Wang Junsheng | ||
1936 | Blood on Wolf Mountain | 狼山喋血记 | Liu Sansao | |
1937 | Lianhua Symphony | 联华交响曲 | ภรรยาของคนลากรถลาก | ส่วนที่ 1: "Twenty Cents" |
1938 | Wang Laowu | 王老五 | สาวน้อย Li | ถ่ายทำในปี 1937 เป็นนักแสดงนำ |
กิจกรรมการเมืองช่วงต้น
แก้เหยียนอาน
แก้ครูสอนนาฏกรรม
แก้เธอเดินทางไปซีอานก่อน จากนั้นจึงไปยังเหยียนอาน ในเดือนพฤศจิกายน เธอเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการทหารและการเมืองต่อต้านญี่ปุ่น สถาบันวิจิตรศิลป์หลู่ซฺวิ่นก่อตั้งขึ้นใหม่ในเหยียนอานในวันที่ 10 เมษายน 1938 และเจียงได้เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการละคร ทั้งสอนและแสดงในละครเวทีและอุปรากรของวิทยาลัย[43][42] สภาพความเป็นอยู่ในเหยียนอานนั้นลำบาก แต่เจียงก็สามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ เจียงมีรูปลักษณ์โดดเด่นและมีความสามารถหลายอย่าง เธอสามารถร้องอุปรากรได้ แต่งบทประพันธ์ได้ดี และลายมือของเธอก็น่าประทับใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบตัวบรรจง ในด้านหนึ่ง เธอค่อนข้างเงียบขรึมและสงวนท่าที — เธอไม่ชอบการยิงปืน แต่ชอบเล่นไพ่ โครเชต์ และมีทักษะการสร้างสรรค์ลวดลายต่าง ๆ เธอยังเชี่ยวชาญการตัดเย็บเสื้อผ้าและสามารถทำเสื้อผ้าของตัวเองได้อย่างสวยงาม ในอีกด้านหนึ่ง เธอมีด้านที่กระตือรือร้นและกล้าหาญ – เจียงชอบขี่ม้า โดยเฉพาะการปราบม้าป่า ยิ่งม้าดุร้ายมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งชอบขี่มันมากขึ้นเท่านั้น การผสมผสานระหว่างคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เธอโดดเด่นได้ทั้งในบทบาทแม่บ้านและปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบทหารที่ยากลำบาก ทำให้ได้รับความชื่นชมจากผู้นำการปฏิวัติ[42]
แต่งงานแบบลับ ๆ
แก้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 1937 เฮ่อ จื่อเจิน ภรรยาของเหมา เจ๋อตง เดินทางออกจากเหยียนอาน เมื่อข่าวความสัมพันธ์ระหว่างเจียง ชิงกับเหมา เจ๋อตงแพร่สะพัดออกไป ก็เกิดกระแสต่อต้านอย่างมาก ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่สุดคือจาง เหวินเทียน ซึ่งเชื่อว่าเฮ่อ ในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนผู้โดดเด่น ผู้ที่อดทนกับการเดินทัพทางไกลและได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง สมควรได้รับการเคารพ อย่างไรก็ตาม บางคนรู้สึกว่าเรื่องส่วนตัวของเหมา เจ๋อตง รวมถึงการเลือกภรรยา เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่ผู้อื่นไม่ควรยุ่งเกี่ยว ในบรรดาผู้สนับสนุนเหมา ผู้ที่แสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดคือคัง เชิง[42]
อย่างไรก็ตาม บุคคลอย่างโจว เอินไหลและหลิว เช่าฉีกลับมีความระมัดระวังในการสนับสนุนเจียง ชิง พวกเขาส่งโทรเลขไปยังผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้ เพื่อขอให้ชี้แจงพฤติกรรมของเจียงในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเธอถูกสงสัยว่าเป็น "สายลับ" ของก๊กมินตั๋ง[42] หยาง ฟาน ผู้นำพรรคในเซี่ยงไฮ้ เขียนจดหมายลับถึงเหยียนอานโดยแย้งว่าเจียงไม่เหมาะสมจะแต่งงานกับเหมา[40]
อย่างไรก็ตาม วันที่ 28 พฤศจิกายน 1938 เจียง ชิงแต่งงานกับเหมา เจ๋อตงโดยในที่สุดก็ได้รับอนุมัติจากกรมการเมือง (โปลิตบูโร) แต่มีข้อจำกัดสามข้อดังต่อไปนี้:[หมายเหตุ 4][42]
- เนื่องจากเหมาและเฮ่อ จื่อเจินยังไม่ได้หย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการ เจียง ชิงจึงถูกห้ามไม่ให้ประกาศตนเป็นภรรยาของเหมา เจ๋อตงต่อสาธารณะ[42]
- เจียง ชิงมีหน้าที่ดูแลชีวิตประจำวันและสุขภาพของเหมา เจ๋อตงเพียงผู้เดียว และไม่มีใครสามารถร้องขอในลักษณะเดียวกันต่อคณะกรรมาธิการกลางพรรคได้อีก[42]
- เจียง ชิงถูกจำกัดให้จัดการเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเหมา เธอถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ในพรรคเป็นเวลา 20 ปีและถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบุคลากรของพรรคหรือเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง[42]
ในช่วงปีแรก ๆ ของการแต่งงาน เหมา เจ๋อตงและเจียง ชิงมีชีวิตที่กลมเกลียวกัน ส่วนใหญ่เจียงรับบทบาทเป็นแม่บ้าน ดูแลความต้องการในชีวิตประจำวันของเหมา ในปี 1940 เธอให้กำเนิดบุตรีชื่อ หลี่ น่า หลังหลี่ น่าเกิด เจียง ชิงก็แทบจะถอนตัวจากสายตาสาธารณะไปโดยสิ้นเชิง[42]
ปักกิ่งและมอสโก
แก้เพศสัมพันธ์นั้นน่าดึงดูดใจในช่วงเริ่มต้น แต่สิ่งที่รักษาความสนใจในระยะยาวคืออำนาจ
— เจียง ชิง[44]
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
แก้หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 เจียง ชิงกลายเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ[45] อย่างไรก็ตาม บทบาทของเธอถูกปกปิดจากสาธารณชนทั่วไปทั้งในจีนและต่างประเทศตลอดช่วงทศวรรษ 1950[46] ในช่วงทศวรรษ 1950 เจียง ชิงสร้างความประทับใจที่ดีโดยทั่วไปให้กับผู้ที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเธอ[42] ในปี 1949 หลังซ่ง ชิ่งหลิงเข้าร่วมพิธีสถาปนาที่ปักกิ่งและเดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ เหมา เจ๋อตงส่งเจียง ชิงไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ มีรายงานว่าซ่งกล่าวในภายหลังว่าเจียงนั้น "สุภาพและน่ารัก" ในปี 1956 ซ่งเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงต้อนรับประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซียที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเจียงและหวัง กวงเหม่ย์ ภริยาของหลิว เช่าฉีก็เข้าร่วมด้วย มีรายงานว่าซ่งชื่นชมเจียงในเรื่องมารยาทที่สง่างามและการแต่งกายที่มีรสนิยม ระหว่างการสนทนา เจียงถึงกับขอให้ซ่งช่วยสนับสนุนให้เหมาสวมเน็กไทและสูท โดยกล่าวว่าซุน ยัตเซ็นมักทำเช่นนั้นและแนะนำว่าชาวต่างชาติมองว่าความเรียบง่ายของเครื่องแต่งกายเจ้าหน้าที่จีนนั้นซ้ำซากจำเจเกินไป[42]
ระบบรัฐการภาพยนตร์
แก้เธอดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการแนะแนวภาพยนตร์ โดยดูแลการประเมินผลโครงการภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1949 ถึง 1951[45] ในปี 1951 เจียง ชิงได้รับตำแหน่งเล็ก ๆ ในฐานะหัวหน้าสำนักภาพยนตร์ หลังการแต่งตั้ง เจียงพยายามสามครั้งในการสร้างมาตรฐานสำหรับศิลปะสังคมนิยม ความพยายามครั้งแรกของเจียงคือคำแนะนำให้แบนภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง Sorrows of the Forbidden City ปี 1950 ซึ่งเจียงเชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่รักชาติ ความเห็นของเธอไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจากผู้นำคอมมิวนิสต์ เนื่องจากอิทธิพลการเมืองในตำแหน่งของเธอยังน้อยและภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถูกเผยแพร่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เหมาเข้ามาแทรกแซงเพื่อสนับสนุนเธอ[47]
ในปีนั้น เจียงวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านการเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่อง The Life of Wu Xun โดยให้เหตุผลว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เชิดชูชนชั้นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งขณะที่มองข้ามชนชั้นชาวนา อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเจียงกลับถูกเพิกเฉยอีกครั้ง เหมาต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อสนับสนุนเธออีกครั้ง[47]
ความพยายามครั้งที่สามของเจียงเกี่ยวข้องกับบทบาทของวรรณกรรมวิจารณ์ในการพัฒนาศิลปะสังคมนิยม เธอขอให้บรรณาธิการของ พีเพิลส์เดลี ตีพิมพ์การตีความวรรณกรรมใหม่ของนวนิยายคลาสสิกเรื่อง ความฝันในหอแดง โดยนักวิชาการหนุ่มสองคนจากมหาวิทยาลัยชานตงอีกครั้ง บรรณาธิการปฏิเสธคำขอของเจียงโดยให้เหตุผลว่าหนังสือพิมพ์ของพรรคไม่ใช่เวทีสำหรับการถกเถียงอย่างเสรี เป็นอีกครั้งที่เหมาพูดเพื่อปกป้องเจียง[47]
เจียงเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการอำนวยการด้านการผลิตภาพยนตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม[48]: 155
การรักษาพยาบาล
แก้เจียงมีสุขภาพไม่ดีตลอดช่วงทศวรรษ 1950 ทำให้เธอต้องถอยจากการปฏิบัติหน้าที่ทางการ[49] ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องเดินทางไปมาระหว่างปักกิ่งและมอสโก[46] ในปี 1949 เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก และเข้ารับการรักษาถึงสี่ครั้งในสหภาพโซเวียต[42] ในเดือนมีนาคม 1949 เธอเดินทางไปมอสโกและยอลตา และกลับมาในฤดูใบไม้ร่วง[38] เธอไปมอสโกอีกครั้งในปี 1952 โดยอยู่ที่นั่นจนถึงฤดูใบไม้ร่วง 1953[38] ด้วยอาการปวดอย่างรุนแรงที่ตับ ขณะที่แพทย์จีนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากการขบวนการต้านสาม แพทย์โซเวียตจึงสำรวจตับของเธอด้วยการผ่าตัด[50] ชีวิตของเธอในสหภาพโซเวียตค่อนข้างสันโดษ มีเพียงแพทย์ พยาบาล องครักษ์ชาวรัสเซียและสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหมดก็มาจากคณะผู้แทนทางทูตของจีน[51] ในปี 1956 เธอเดินทางไปสหภาพโซเวียตอีกครั้งเพื่อรักษาตัวและกลับมาในปี 1957[38]
ในช่วงเวลานั้น ในฐานะอาคันตุกะต่างชาติ เธอสามารถเข้าถึงภาพยนตร์หลากหลายเรื่องที่ถูกแบนในสหภาพโซเวียต รวมถึงผลงานฮอลลีวูดจำนวนมาก การเปิดรับสิ่งเหล่านี้ทำให้เธอได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มศิลปะตะวันตก ซึ่งต่อมามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงงิ้วปักกิ่งของเธอ[52] ในปี 1957 เจียงหายจากมะเร็งปากมดลูก แม้เธอจะยังคงเชื่อว่าตนเองไม่สบายอยู่ ตรงกันข้ามกับการประเมินของแพทย์ที่ระบุว่าเธอมีสุขภาพดี[49] ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงแนะนำให้เธอเข้าร่วมกิจกรรมบำบัด เช่น การชมภาพยนตร์ การฟังเพลง และการเข้าชมละครเวทีและคอนเสิร์ต[49]
การปกปิด
แก้ในช่วงการรณรงค์ปราบปรามกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ จ้าว เหยาชาน สายลับจงถ่งผู้สอบปากคำเจียงระหว่างการจับกุมตัวเธอในทศวรรษ 1930 ถูกประหารชีวิต[40] ในเดือนมกราคม 1953 หยาง ฟาน ผู้ซึ่งเคยเขียนจดหมายลับไปยังเหยียนอานเกี่ยวกับประสบการณ์ของเจียงในเซี่ยงไฮ้ ถูกจำคุก พาน ฮั่นเหนียน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองคอมมิวนิสต์ผู้ปกป้องหยาง ก็ถูกคุมขังเช่นกัน[40]
ในเดือนธันวาคม เหมา เจ๋อตงเดินทางไปหางโจวพร้อมกับเจียง ชิง หลังออกเดินทางในวันที่ 14 ธันวาคม เจียงได้รับจดหมายนิรนามจากเซี่ยงไฮ้ในปลายเดือนนั้น ตอนแรกเธอรู้สึกไม่สบายใจจากนั้นก็โกรธ เธอจึงไปหาเลขาธิการพรรคเจ้อเจียง ถาน ฉี่หลง ยืนยันความมุ่งมั่นในการปฏิวัติของเธอและขอให้มีการสอบสวน แม้จะมีความพยายามของตำรวจอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังไม่ทราบตัวตนของผู้ส่ง[40]
ในปี 1958 ขณะที่เหมาเข้าร่วมการประชุมในหนานหนิง เขาพบกับยฺหวี ฉีเหว่ย์[หมายเหตุ 5] ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กับเจียง หลังถูกเหมาวิพากษ์วิจารณ์ ยฺหวีก็ประสบกับความทุกข์ทรมานทางจิตใจและร่างกายอย่างรุนแรง เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินกว่างโจว เขาคุกเข่าต่อหน้าหลี่ ฟู่ชุน พลางวิงวอนขอ "ไว้ชีวิต" จากนั้นหลี่จึงพาเขาไปยังโรงพยาบาลทหาร ที่นั่น ยฺหวีพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าต่าง ส่งผลให้ขาหัก ยฺหวีเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือนต่อมา และเหมาส่งหรีดในนามของเขาเพียงผู้เดียวเพื่อแสดงความเสียใจ[53]
ในปี 1961 จู หมิง ม่ายของหลิน ปั๋วฉี เขียนจดหมายถึงคณะกรรมาธิการกลางพรรคเกี่ยวกับสามีผู้ล่วงลับของเธอ ลายมือของเธอตรงกับจดหมายนิรนาม เมื่อถูกเผชิญหน้า จูยอมรับว่าเธอเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นและต่อมาก็ได้ฆ่าตัวตาย[40]
การปฏิวัติวัฒนธรรม
แก้โหมโรง
แก้ก่อนปี 1962 สื่อของจีนไม่เคยกล่าวถึงภริยาของเหมา เจ๋อตงในการโฆษณาชวนเชื่อระหว่างประเทศเลย คนใกล้ชิดเหมา เจ๋อตงอ้างว่าหลังทศวรรษ 1950 เจียง ชิงไม่ค่อยปรากฏตัวเคียงข้างเขา และความสัมพันธ์ทางอารมณ์ของทั้งคู่ได้สิ้นสุดลงแล้วโดยพื้นฐาน ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1960 เหมาเริ่มไม่ไว้วางใจผู้นำรอบข้างมากขึ้นเรื่อย ๆ และการตัดสินสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของเขาก็รุนแรงขึ้น เจียง ชิงฉวยโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยกล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งทำให้เหมามองว่าเธอ "มีความอ่อนไหวทางการเมือง" และเริ่มเชื่อใจเธอ ด้วยเหตุนี้ อำนาจของเธอจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง[54]
หลังการกลับมาประเทศจีนของเจียงในปี 1962 เธอมักเข้าร่วมชมการแสดงอุปรากรท้องถิ่นบ่อยครั้ง[55] ในปี 1963 เจียง ชิงขอความช่วยเหลือจากอา เจี๋ยเพื่อปรับปรุงงิ้วปักกิ่งให้ทันสมัยด้วยแนวคิดสังคมนิยมปฏิวัติ ต่อมาเธอสั่งการให้คณะอุปรากรเทศบาลปักกิ่งสร้างเรื่อง Shajiabang ซึ่งพรรณนาถึงการต่อสู้ระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และมอบหมายให้คณะอุปรากรปักกิ่งเซี่ยงไฮ้ผลิตเรื่อง Taking Tiger Mountain by Strategy[55] ในสุนทรพจน์สาธารณะครั้งแรกของเธอในเดือนมิถุนายน 1964 ในการประชุมงิ้วปักกิ่ง เจียงวิพากษ์วิจารณ์คณะอุปรากรท้องถิ่นที่ยกย่องจักรพรรดิ นายพล นักวิชาการ และปีศาจวัวกับผีงูอื่น ๆ[56]
ความพยายามของเจียงในการปฏิรูปงิ้วปักกิ่งได้รับอนุมัติจากคณะผู้นำคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในช่วงการประชุมพิจารณาการแสดงงิ้วปักกิ่งสมัยใหม่ 1964 เธอยังร่วมมือกับยฺหวี ฮุ่ยหย่งอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันโครงการนาฏกรรมต้นแบบ (ย่างป่านซี่) วิสัยทัศน์ร่วมกันของพวกเขามุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์งิ้วที่สะท้อนสังคมจีนสมัยใหม่และชีวิตของชนชั้นแรงงาน โดยเริ่มจากเรื่อง On the Docks ซึ่งเป็นภาพชีวิตในเซี่ยงไฮ้ภายใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ อิทธิพลทางการเมืองของเจียงช่วยให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์ศิลปะแนวปฏิวัติที่นำเสนอความเป็นจริงของชีวิตร่วมสมัย[47]
การปฏิรูปวัฒนธรรม
แก้ตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา เจียง ชิงเริ่มปรากฏตัวต่อสาธารณะในฐานะภริยาของเหมาและต่อมาได้กล่าวสุนทรพจน์บ่อยครั้งในภาคส่วนวัฒนธรรมและการโฆษณาชวนเชื่อ โดยวิพากษ์วิจารณ์และประณามบุคคลต่าง ๆ[54] ภายในปลายปี 1965 ขณะที่อิทธิพลของเจียง ชิงเติบโตขึ้น เธอรวบรวมพันธมิตรใกล้ชิด เช่น จาง ชุนเฉียวและเหยา เหวินยฺเหวียน[54] เธอจัดการรณรงค์เพื่อวิพากษ์วิจารณ์บทละครเรื่อง ไห่รุ่ยถูกปลดจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม[54]
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1966 เจียงเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกับเจ้าหน้าที่กองทัพปลดปล่อยประชาชน[57] กลุ่มนี้ศึกษางานเขียนของเหมา ชมภาพยนตร์และบทละคร และพบปะกับนักแสดงและทีมงานของภาพยนตร์ที่กำลังอยู่ในระหว่างการผลิต[57] ที่ประชุมสรุปว่า "แนวทางดำ" ของความคิดชนชั้นกระฎุมพีครอบงำศิลปะมาตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน[58] บทสรุปของการวิเคราะห์ของเจียงในการประชุมครั้งนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมและกลายเป็นเอกสารสำคัญ[59]
ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 1966 เจียงเป็นประธานการประชุมว่าด้วยการสร้างสรรค์ศิลปะของกองทัพทั้งมวลในปักกิ่ง[59] ผู้เข้าร่วมการประชุมประเมินภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศรวม 80 เรื่อง[59] เจียงอนุมัติภาพยนตร์ 7 เรื่องว่าสอดคล้องกับความคิดของเหมา เจ๋อตงและวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ[59] ด้วยการสนับสนุนจากสามี เธอได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการคณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลาง (CCRG) ในปี 1966 และก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองอย่างจริงจังในฤดูร้อนปีนั้น[60]
งิ้วปฏิวัติ
แก้ในปี 1967 ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม เจียงประกาศให้ผลงานศิลปะการแสดง 8 ชิ้นเป็นแบบอย่างใหม่สำหรับวรรณกรรมและศิลปะของชนกรรมาชีพ[61] "อุปรากรต้นแบบ" หรือ "งิ้วปฏิวัติ" เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเชิดชูเหมา เจ๋อตง กองทัพปลดปล่อยประชาชน และการต่อสู้ปฏิวัติ บัลเลต์เรื่อง The White-Haired Girl[62] Red Detachment of Women และ Shajiabang ("ดนตรีซิมโฟนีปฏิวัติ") ได้รับการบรรจุอยู่ในรายชื่อ 8 เรื่องนี้ และมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเจียง เนื่องจากการผสมผสานองค์ประกอบจากอุปรากร การเต้นรำ และดนตรีทั้งแบบจีนและตะวันตก[63] ยุวชนแดงประณามยฺหวี ฮุ่ยหย่งว่าเป็น "ธาตุชั่ว" ฐานเผยแพร่ระบอบศักดินาผ่านการนำดนตรีจีนโบราณมาใช้ในอุปรากร ยฺหวียังถูกกล่าวหาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ธงพรรคคอมมิวนิสต์" เนื่องจากการขาดการประชุมพรรคบ่อยครั้ง ต่อมาในปี 1966 ยฺหวีถูกส่งไปยังคอกวัว ห้องเล็ก ๆ ที่ใช้กักขัง "ธาตุชั่ว" ในเดือนตุลาคม 1966 ยฺหวีได้รับการปล่อยตัวหลังเจียงขอพบกับยฺหวีเพื่อจัดการแสดงอุปรากรสองเรื่องในปักกิ่ง เจียงจัดให้ยฺหวีนั่งข้าง ๆ เธอ เพื่อแสดงถึงความสำคัญของยฺหวีในการสร้างย่างป่านซี ในระหว่างการแสดงเรื่อง Taking Tiger Mountain by Strategy[47] ระหว่างการเยือนจีนอันโด่งดังของริชาร์ด นิกสันในเดือนกุมภาพันธ์ 1972 เขาชมเรื่อง Red Detachment of Women และประทับใจกับอุปรากรดังกล่าว เขาถามเจียงอย่างมีชื่อเสียงว่าใครคือผู้เขียน ผู้กำกับ และนักประพันธ์เพลง ซึ่งเธอตอบว่ามัน "สร้างสรรค์โดยมวลชน"[64]
การออกแบบสมัยนิยม
แก้ภาพจากแหล่งข้อมูลภายนอก | |
---|---|
ชุดคลุมของเจียง ชิง |
ในปี 1974 เจียง ชิงสั่งการให้กระทรวงวัฒนธรรมออกแบบชุดใหม่สำหรับสตรีจีน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากองค์ประกอบของเสื้อผ้าสตรีในสมัยราชวงศ์ซ่ง ชุดนี้ถูกเรียกว่าชุดเจียง ชิง[65] ชุดดังกล่าวมีลักษณะเด่นคือคอเสื้อรูปตัว V แบบสมมาตร แตกต่างเล็กน้อยจากคอเสื้อรูปตัว Y แบบดั้งเดิมของฮั่นฝู ชุดนี้ถูกเรียกอย่างเย้ยหยันว่า "ชุดแม่ชี" เจียงตั้งใจให้บรรดาสตรีที่เป็นเจ้าหน้าที่พรรคเป็นผู้นำในการสวมใส่ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ[66]
การเคลื่อนไหวทางการเมือง
แก้ในช่วงเวลานี้ เหมาปลุกระดมนักศึกษาและคนหนุ่มสาวให้มาเป็นองค์การกึ่งทหารของเขาที่เรียกว่ายุวชนแดงเพื่อโจมตีสิ่งที่เขาเรียกว่าพวกแก้ในพรรค เหมาบอกพวกเขาว่าการปฏิวัติกำลังตกอยู่ในอันตรายและพวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งการเกิดขึ้นของชนชั้นอภิสิทธิ์ในประเทศจีน เขายืนยันว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตภายใต้ครุชชอฟ[67] เมื่อเวลาผ่านไป เจียงเริ่มมีบทบาททางการเมืองในขบวนการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญส่วนใหญ่ของพรรคและรัฐบาล[68] เจียงใช้ประโยชน์จากการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อล้างแค้นศัตรูส่วนตัวของเธอ รวมถึงผู้คนที่เคยดูถูกเธอในอาชีพนักแสดงช่วงทศวรรษ 1930 เธอได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มหัวรุนแรงที่เหมาเองเรียกว่าแก๊งสี่คน เธอกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของคณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลางและเป็นผู้เล่นหลักในการเมืองจีนตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1976[68]
ค.ศ. 1966–1969
แก้ตั้งแต่ปี 1962 ประธานาธิบดีหลิว เช่าฉีและหวัง กวงเหม่ย์ ภริยา มักปรากฏตัวในงานทางทูตบ่อยครั้ง ทำให้หวังได้รับตำแหน่ง "สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง" ซึ่งมีรายงานว่าทำให้เจียง ชิงรู้สึกอิจฉา ก่อนที่หวังจะเดินทางไปต่างประเทศ เจียงแนะนำเธอไม่ให้สวมเครื่องประดับ โดยอ้างว่ามันดูดีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหวังปรากฏตัวทางโทรทัศน์พร้อมกับสร้อยคอ เจียงวิพากษ์วิจารณ์เธอว่าแสดงออกถึง "รูปแบบชนชั้นกระฎุมพี" ในการสนทนากับยุวชนแดง[69]
วันที่ 13 ธันวาคม 1966 หลิว เช่าฉีเสนอลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยความสมัครใจ เขายังเสนอจะย้ายไปอยู่กับภริยาและลูก ๆ ที่เหยียนอานหรือบ้านเกิดของเขาในหูหนานเพื่อไปทำไร่ทำนา โดยหวังว่าจะช่วยให้การปฏิวัติวัฒนธรรมยุติลงได้เร็วขึ้นและลดความเสียหายต่อประเทศให้เหลือน้อยที่สุด ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม จาง ชุนเฉียว รองหัวหน้าคณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลาง เรียกข่วย ต้าฟู่ แกนนำยุวชนแดงที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวาเข้าพบ และสั่งให้เขาเริ่มการรณรงค์เพื่อโค่นล้มหลิว เส้าฉี วันที่ 25 ธันวาคม ข่วย ต้าฟู่นำผู้ประท้วงหลายพันคนไปรวมตัวกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ที่ซึ่งพวกเขาตะโกนคำขวัญต่อต้านอย่างเปิดเผยว่า "โค่นล้มหลิว เช่าฉี!"[70]
คณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลางเดิมทีเป็นหน่วยงานเล็ก ๆ ภายใต้คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง[54] ด้วยการสนับสนุนของเจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว และเหยา เหวินยฺหวียน ได้ทำการรัฐประหารในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนมกราคม 1967 เพื่อรวบรวมอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายปฏิวัติอย่างหวัง หงเหวิน[54] วันที่ 6 มกราคม 1967 ยุวชนแดงที่มหาวิทยาลัยชิงหวา โดยได้รับการสนับสนุนจากเจียง ชิง ล่อหวังให้มาที่วิทยาเขตโดยอ้างว่าบุตรีของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อมาถึง เขาก็ถูกควบคุมตัวและดำเนินคดี[69]
หลังจากการรบกวนโครงสร้างพรรคของยุวชนแดงในเดือนมกราคม 1967 กลุ่มนี้เข้ามาแทนที่สำนักเลขาธิการและกลายเป็นศูนย์บัญชาการหลักของพรรค บทบาทของเจียง ชิงในฐานะ "รองหัวหน้าอันดับหนึ่ง" ของกลุ่มนี้มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เธอมีอำนาจทางการเมืองสูงขึ้น เฉิน ปั๋วต๋า หัวหน้ากลุ่มตามตำแหน่ง ถูกเจียง ชิงทำให้ขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงเวลานี้ ด้วยความกลัวอำนาจของเธอ เขาจึงทนต่อการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมของเธออย่างเงียบ ๆ ในเหตุการณ์ที่น่าจดจำครั้งหนึ่ง หลังนักเรียนมัธยมคนหนึ่งปีนกำแพงบ้านของเขา ภรรยาของเฉินรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิด "อุบัติการณ์รอยเท้า" ที่ทำให้เจียง ชิงโกรธจัด เธอเรียกร้องให้เฉินย้ายออกจากจงหนานไห่ และสิ่งนี้ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอตึงเครียดมากขึ้น[54]
วันที่ 18 กรกฎาคม 1967 มีการจัดการประชุมประณามสาธารณะต่อต้านหลิว เช่าฉีขึ้นในจงหนานไห่ วันที่ 5 สิงหาคม คณะปฏิวัติวัฒนธรรมส่วนกลางอนุมัติการประชุมประณามสามครั้งแยกกัน โดยมุ่งเป้าไปที่หลิว เช่าฉีและภริยา, เติ้ง เสี่ยวผิงและภริยา และเถา จู้และภริยา นับจากนั้น หลิว เช่าฉีก็ถูกปลดเปลื้องจากอิสรภาพส่วนตัวโดยสมบูรณ์ วันที่ 16 กันยายน 1968 ภายใต้การนำของเจียง ชิง ทีมสอบสวนพิเศษรวบรวมสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานสามเล่มเพื่อกล่าวหาหลิว ส่วนใหญ่ได้มาจากการทรมานและการบังคับ หลังถูกคุมขังในจงหนานไห่นานกว่าสองปี หลิว เช่าฉีถูกย้ายไปที่ไคเฟิง มณฑลเหอหนาน ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ที่ซึ่งเขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา[70]
ขณะเดียวกัน สถานะของเจียงก็ยังคงสูงขึ้น แม้เธอยังไม่ได้เป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางในช่วงการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 11 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 8 ก็ตาม ในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 9 ในเดือนเมษายน 1969 เจียงได้รับเข้าเป็นสมาชิกกรมการเมืองหลังเหมา เจ๋อตงเปลี่ยนจุดยืน น่าจะเป็นไปเพื่อถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายหลิน เปียว เหมายังอนุมัติให้เย่ ฉฺวิน ภรรยาของหลิน เปียว เข้าเป็นสมาชิกกรมการเมืองด้วย เพื่อเป็นการรวมอำนาจของพวกเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น[54]
ค.ศ. 1969–1971
แก้ในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 9 เจียงประณามเพลงคติพจน์ ซึ่งได้รับการส่งเสริมมาตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1966 ในฐานะเครื่องช่วยจำสำหรับการศึกษา คติพจน์จากประธานเหมา เจ๋อตง[71]: 43 เจียงเริ่มมองว่าเพลงยอดนิยมเหล่านี้คล้ายคลึงกับดนตรีสีเหลือง[71]: 43
การแข่งขันและความไม่ชอบส่วนตัวของเจียงที่มีต่อโจว เอินไหลทำให้เจียงทำร้ายโจวในจุดที่อ่อนแอที่สุด ในปี 1968 เจียงสั่งให้ยุวชนแดงทรมานและสังหารซุน หยาง (บุตรบุญธรรมของโจว) และซุน เหวย์ชื่อ (บุตรีบุญธรรมของโจว) ซุน หยางถูกสังหารในห้องใต้ดินของมหาวิทยาลัยเหรินหมิน หลังซุน เหวย์ชื่อเสียชีวิตหลังถูกทรมานเจ็ดเดือนในเรือนจำลับ (ตามคำสั่งของเจียง) เจียงก็จัดการให้เผาศพของซุนและกำจัดทิ้งเพื่อไม่ให้มีการชันสูตรพลิกศพและครอบครัวของซุนก็ไม่สามารถเก็บอัฐิของเธอได้ ในปี 1968 เจียงบังคับให้โจวลงนามในหมายจับน้องชายของตนเอง ในปี 1973 และ 1974 เจียงเป็นผู้กำกับการรณรงค์ "วิพากษ์หลิน วิพากษ์ขงจื๊อ" ที่มุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีโจวเนื่องจากโจวถูกมองว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางการเมืองหลักของเจียง ในปี 1975 เจียงริเริ่มการรณรงค์ชื่อ "วิพากษ์ซ่ง เจียง ประเมินซ้องกั๋ง" ซึ่งส่งเสริมการใช้โจวเป็นตัวอย่างของผู้แพ้ทางการเมือง หลังโจว เอินไหลเสียชีวิตในปี 1976 เจียงริเริ่มการรณรงค์ "ห้าไม่" เพื่อกีดกันและห้ามการไว้ทุกข์สาธารณะใด ๆ สำหรับโจว[72] เมื่อภาพวาดทิวทัศน์และภาพวาดนก-ดอกไม้แบบดั้งเดิมกลับมาได้รับความนิยมในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เจียงวิพากษ์วิจารณ์รูปแบบดั้งเดิมเหล่านี้ว่าเป็น "จิตรกรรมสีดำ"[73] ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีเป้าหมายที่โจว เอินไหล[74]
ค.ศ. 1971–1973
แก้เจียงร่วมมือกับหลิน เปียว ผู้มีอำนาจอันดับสองในขณะนั้น แต่หลังการเสียชีวิตของหลิน เปียวในปี 1971 เธอกลับโจมตีเขาต่อสาธารณะในการรณรงค์วิพากษ์หลิน วิพากษ์ขงจื๊อ[75] ภายหลังอุบัติการณ์ 13 กันยายนในปี 1971 เจียง ชิงเห็นการล่มสลายของฝ่ายหลิน เปียว และด้วยสุขภาพของเหมา เจ๋อตงที่ทรุดโทรมลง เธอก็กระตือรือร้นจะยึดอำนาจสูงสุดในประเทศ ในปี 1972 เจียง ชิงว่าจ้างนักข่าวชาวอเมริกัน ร็อกแซน วิตกี ให้เขียนชีวประวัติของเธอ หลังปี 1972 สุขภาพของเหมาก็ทรุดโทรมลง แม้เหมาจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกส่วนใหญ่เนื่องจากความเจ็บป่วย แต่จู เต๋อส่งจดหมายแจ้งให้เหมาทราบเกี่ยวกับชีวประวัติของเจียง ชิง การเปิดเผยครั้งนี้ทำให้เหมาโกรธจัดมาก ถึงขนาดที่ในความโกรธนั้นเขาแสดงความปรารถนาจะขับเจียง ชิงออกจากกรมการเมืองและตัดความสัมพันธ์ทางการเมืองของพวกเขา[54] ในปี 1973 แม้จะไม่ได้รับการรายงานเนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เหมาและเจียงผู้เป็นภริยาก็ได้แยกกันอยู่แล้ว[75]
ค.ศ. 1973–1976
แก้วันที่ 10 มีนาคม 1973 เติ้ง เสี่ยวผิงได้รับแต่งตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยทำหน้าที่เป็นรองของโจว เอินไหล ในระหว่างการสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 10 เติ้งยังคงเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลาง แต่เขาไม่ได้รับตำแหน่งในกรมการเมือง วันที่ 10 เมษายน 1974 เติ้งนำคณะผู้แทนจีนเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ แม้เจียง ชิงจะคัดค้านการแต่งตั้งเติ้งอย่างรุนแรง แต่เหมา เจ๋อตงเตือนเธอในจดหมายให้หยุดต่อต้านการตัดสินใจของเขา[76]
เมื่อโจว เอินไหล เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หวัง หงเหวินบริหารกรมการเมือง เติ้ง เสี่ยวผิงดูแลคณะมนตรีรัฐกิจ และเย่ เจี้ยนอิงเป็นผู้นำคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[76] วันที่ 4 ตุลาคม 1974 เหมา เจ๋อตงเสนอแต่งตั้งเติ้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 เจียง ชิงสัมผัสได้ว่าเติ้งอาจเข้ามาแทนที่โจว เอินไหลในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่สี่ที่กำลังจะมาถึง จึงพยายามขัดขวางไม่ให้เติ้งเข้ารับผิดชอบคณะมนตรีรัฐกิจและการปฏิบัติการส่วนกลางของพรรค[77]
วันที่ 12 ธันวาคม เหมาย้ำจุดยืนสนับสนุนเติ้งอีกครั้ง โดยเสนอให้แต่งตั้งเติ้งเป็นสมาชิกทั้งคณะกรรมการการทหารและกรมการเมือง – ข้อเสนอนี้ได้รับอนุมัติจากสมาชิกกรมการเมืองส่วนใหญ่[76] วันที่ 23 ธันวาคม แม้สุขภาพจะไม่สู้ดี โจว เอินไหลก็บินไปฉางชาเพื่อพบเหมาและขอการรับรองจากเขาให้เติ้ง เสี่ยวผิง โดยมีหวัง หงเหวินอยู่ด้วย เหมาตกลง และขณะชี้ไปที่หวัง ก็กล่าวว่า "การเมืองของเติ้งดีกว่าของเขา" เหมาพูดคำว่า "การเมือง" เป็นภาษาอังกฤษ (politics) ซึ่งทำให้หวังรู้สึกอับอายเพราะเขาไม่เข้าใจ[77]
ความตกต่ำ
แก้การประท้วง
แก้ช่วงกลางทศวรรษ 1970 เจียงเป็นผู้นำฝการรณรงค์ต่อต้านเติ้ง เสี่ยวผิง[78] ทว่า ประชาชนจีนกลับไม่พอใจการเมืองอย่างมากและเลือกจะโทษเจียง ชิง เป้าหมายที่เข้าถึงและโจมตีได้ง่ายกว่าเหมา[78]
ในเดือนมกราคม 1976 ข่าวทางการประกาศการถึงแก่อสัญกรรมของโจว เอินไหล โจวเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในสังคมจีน มีอิทธิพลรองลงมาจากเหมา เจ๋อตงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีการจัดกิจกรรมรำลึกอย่างเป็นทางการหลังการเสียชีวิตของเขา วันที่ 5 และ 25 มีนาคม เหวินฮุ่ยเดลี ตีพิมพ์รายงานสองฉบับวิพากษ์วิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิง โดยกล่าวหาโจว เอินไหลทางอ้อมว่าเป็น "ผู้เดินบนเส้นทางทุนนิยมที่ใหญ่ที่สุด" ที่สนับสนุนและปกป้องเติ้ง ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยหนานจิงเริ่มตั้งคำถามและประณาม เหวินฮุ่ยเดลี และการวิพากษ์วิจารณ์โจวในเซี่ยงไฮ้ วันที่ 29 มีนาคม นักศึกษายกระดับการประท้วงโดยการเขียนคำขวัญขนาดใหญ่บนรถไฟที่ออกจากหนานจิง เพื่อเผยแพร่ข้อความของพวกเขาไปทั่วประเทศ วันที่ 30 มีนาคม สมาชิกของสหพันธ์สหภาพแรงงานแห่งประเทศจีนทั้งมวล รวมถึงเฉา จื้อเจี๋ย ปิดโปสเตอร์ติดผนังพร้อมลายเซ็นในปักกิ่ง โปสเตอร์เหล่านี้เปลี่ยนการไม่เห็นด้วยทางการเมืองที่ปกปิดไว้ให้กลายเป็นการประท้วงอย่างเปิดเผย ถือเป็นการเริ่มต้นของการประท้วงที่เทียนอันเหมินในปักกิ่ง[79]
ชาวจีนจำนวนมากเชื่อโดยสัญชาตญาณว่าเจียง ชิงเป็นผู้สั่งให้มีการนำหรีดที่อุทิศแก่โจว เอินไหลออกไปจากจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อเป็นการตอบโต้ จึงมีคำขวัญปรากฏขึ้น เช่น "โค่นล้มพระพันปีหลวง โค่นล้มอินทิรา คานธี" ยังมีบุคคลอื่นนำหรีดไปวางเพื่อเป็นเกียรติแก่หยาง ไคฮุ่ย ภรรยาคนที่สองของเหมา ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ และถูกเจียง ไคเชกประหารชีวิตในปี 1930 บ่อยครั้งที่เจียง ชิงถูกเรียกโดยอ้อมว่า "ผู้หญิงคนนั้น" หรือ "สามหยดน้ำ" การอ้างอิงถึงส่วนหนึ่งของตัวอักษรจีนในชื่อของเธอ[80] การประท้วงในที่สุดก็บานปลายเป็นการจลาจล โดยมีรถยนต์ถูกผู้ประท้วงที่โกรธแค้นจุดไฟเผาและมีการเข้าแทรกแซงของกำลังอาสาสมัคร[15]
รัฐประหาร
แก้วันที่ 5 กันยายน 1976 เจียง ชิงได้รับแจ้งข่าวอาการป่วยขั้นวิกฤตของเหมา เจ๋อตงและเดินทางกลับปักกิ่งในไม่ช้า[81] เย็นวันที่ 8 กันยายน เธอขับรถไปยังสำนักข่าวซินหัวเพื่อพยายามหาผู้สนับสนุน และกลับมายังจงหนานไห่ในช่วงดึก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสมาชิกในครอบครัวของเหมาอยู่ที่นั่น เจียง ชิงนอนไม่หลับ[82] เธอจำต้องเผชิญหน้ากับอีกสองฝ่ายภายในพรรค ได้แก่ ฮฺว่า กั๋วเฟิง ซึ่งได้รับบันทึกจากเหมาที่กล่าวว่า "มีคุณดูแล ฉันก็วางใจ" และเติ้ง เสี่ยวผิงซึ่งกำลังถูกเจียงโจมตี[81] เธอเข้าหาฮฺว่าอย่างลับ ๆ โดยเสนอให้ขับไล่เติ้งในการประชุมกรมการเมืองก่อนที่เหมาจะเสียชีวิต แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ[83]
เหมาถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 9 กันยายน พิธีศพจัดโดยหวัง หงเหวิน โดยมีประชาชนหนึ่งล้านคนมารวมตัวกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อไว้อาลัยแด่การจากไปของเขา เจียงส่งหรีดดอกเบญจมาศและพืชพรรณขนาดใหญ่ในฐานะศิษย์และสหายของเขา แทนที่จะเป็นในฐานะม่าย[84] ฮฺว่าคือผู้ที่เหมากำหนดให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งและในไม่ช้าเขาก็ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคและต้องเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับแก๊งสี่คน[85] เจียงเดินทางไปเป่าติ้งเพื่อระดมพลกองทัพที่ 38 โดยเตรียมจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทนฮฺว่า[83] ในการตอบโต้ ทั้งเย่ เจี้ยนอิง หนึ่งในพันธมิตรของเติ้งและฮฺวา ระดมกำลังทหารของพวกเขาในปักกิ่งและกว่างโจว สฺวี่ ชื่อโหย่วเตือนถึงการเคลื่อนทัพขึ้นเหนือจากกว่างโจว หากเจียงไม่ถูกจับกุมในปักกิ่ง[86] วันที่ 4–5 ตุลาคม ฮฺว่ายังคงเจรจากับพันธมิตรของเจียงเกี่ยวกับการจัดบุคลากรและตกลงจะดำเนินการเจรจาต่อในวันถัดไป[86]
วันที่ 6 ตุลาคม จาง ชุนเฉียวและหวัง หงเหวินถูกจับกุมเมื่อเดินทางมาถึงจงหนานไห่[86] เจียง ชิงและเหยา เหวินยฺเหวียนถูกจับกุมที่บ้านพักของพวกเขา[87] ฮฺว่า – ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและความมั่นคงแห่งรัฐ – ได้สั่งจับกุมเจียงและสมาชิกแก๊งที่เหลือและปลดออกจากตำแหน่งในพรรค ตามคำบอกเล่าของจาง เหยาฉือ ผู้ดำเนินการจับกุม เจียงไม่ได้พูดอะไรมากเมื่อเธอถูกจับกุม มีรายงานว่าคนรับใช้คนหนึ่งของเธอถ่มน้ำลายใส่เธอขณะที่เธอกำลังถูกพาตัวไปภายใต้การรุมทำร้ายจากผู้มุงดูและตำรวจ[88] ในเดือนพฤษภาคม 1975 เหมา เจ๋อตงเคยวิพากษ์วิจารณ์แก๊งสี่คนว่าพึ่งพาประสบการณ์นิยมมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ลดทอนความรุนแรงของปัญหา โดยระบุว่าไม่ใช่ปัญหาสำคัญแต่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข เหมากล่าวว่า[89]
ถ้าแก้ไม่ได้ในครึ่งปีแรก ก็ให้ไปแก้ในครึ่งปีหลัง ถ้าแก้ไม่ได้ในปีนี้ ก็ให้แก้ในปีหน้า และถ้าไม่ได้ในปีหน้า ก็ให้แก้ในปีถัดไป[o]
คำกล่าวนี้ใช้เป็นเหตุผลให้ฮฺว่า กั๋วเฟิงจับกุมแก๊งสี่คน[89]
การพิจารณาคดีทางโทรทัศน์
แก้ฮฺว่าถูกแทนที่ในเวลาต่อมาโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ซึ่งดำเนินการฟ้องร้องเจียง[90] ขณะที่เธอถูกจับกุม ประเทศขาดสถาบันที่เหมาะสมสำหรับการพิจารณาคดีทางกฎหมาย[90] เป็นผลให้เธอและสมาชิกคนอื่น ๆ ของแก๊งสี่คนถูกควบคุมตัวอยู่ในสภาพไม่แน่นอนเป็นเวลาหกเดือนแรกของการจับกุม[90] ภายหลังการปรับปรุงกฎหมายอย่างรวดเร็ว มีการยื่นฟ้องอย่างเป็นทางการในชื่อ "คำฟ้องของอัยการพิเศษภายใต้อัยการสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน" คำฟ้องดังกล่าวมี 48 ข้อกล่าวหาแยกกัน[90]
ในเดือนพฤศจิกายน 1980 รัฐบาลได้ประกาศว่าเจียงและอีกเก้าคนจะถูกนำตัวขึ้นศาล[91] เธอถูกพิจารณาคดีร่วมกับสมาชิกอีกสามคนของแก๊งสี่คนและผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหกคน[90] เธอถูกกล่าวหาว่าข่มเหงศิลปินในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และอนุมัติให้บุกรุกบ้านของนักเขียนและนักแสดงในเซี่ยงไฮ้เพื่อทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับอาชีพช่วงต้นของเจียงที่อาจเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของเธอ[90] สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าเจียงพยายามหาทนายความของเธอเองในตอนแรกแต่ปฏิเสธทนายความที่ทีมพิเศษแนะนำหลังสัมภาษณ์ ในขณะเดียวกัน จำเลยห้าในสิบคนตกลงให้ทนายความที่รัฐบาลแต่งตั้งเป็นทนายความฝ่ายจำเลยของพวกเขา[91]
วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก | |
---|---|
การพิจารณาคดีเจียง ชิง I (ฟุตเทจตัดต่อโดยทีวีบี, ภาษากวางตุ้งและภาษาจีนกลาง) | |
การพิจารณาคดีเจียง ชิง II (ฟุตเทจตัดต่อโดยทีวีบี, ภาษากวางตุ้งและภาษาจีนกลาง) | |
เจียง ชิงถูกตัดสินประหารชีวิต (ฟุตเทจตัดต่อโดยซีทีเอส, ภาษาจีนกลาง) |
เจียงแสดงท่าทีท้าทายในศาล[90] เธอโต้แย้งต่อคณะทำงานพิเศษที่ทำหน้าที่สอบสวนว่าเหมาควรจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเธอด้วยเช่นกัน[91] เมื่อใดก็ตามที่พยานขึ้นให้การ มีโอกาสที่การพิจารณาคดีจะกลายเป็นการตะโกนโต้เถียงกัน[90] เธอไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา[85] และยืนยันว่าเธอได้ปกป้องเหมาและปฏิบัติตามคำสั่งของเขา เจียงกล่าวว่า:[92]
“ | ฉันเป็นสุนัขของท่านประธานเหมา เขาสั่งให้ฉันกัดใคร ฉันก็กัด![p] | ” |
กลยุทธ์แก้ต่างของเธอโดดเด่นด้วยความพยายามก้าวข้ามห้องพิจารณาคดีและอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์และตรรกะของการปฏิวัติ[90] เจียงพยายามท้าทายอำนาจของฮฺว่า กั๋วเฟิงภายในพรรค ด้วยข้ออ้างที่น่าตกใจแต่ไม่สามารถยืนยันได้[93]
เกี่ยวกับคืนนั้นที่เหมา เจ๋อตงเขียนข้อความว่า "มีคุณดูแล ฉันก็วางใจ" ให้กับฮฺว่า กั๋วเฟิง [...] นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ประธานเหมาเขียนถึงฮฺว่า เขายังเขียนอีกหกตัวอักษรว่า: "หากมีข้อสงสัย ให้ถามเจียง ชิง"[q]
ศาลประกาศคำตัดสินหลังหกสัปดาห์ของการให้การและถกเถียงและสี่สัปดาห์ของการพิจารณา ในต้นปี 1981 เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดและรับโทษประหารชีวิตโดยให้รอลงอาญาไว้สองปี เธอได้รับความรับผิดทางอาญาสูงสุดในหมู่จำเลยในฐานะ "หัวโจก" ของกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ อู่ ซิวเฉฺวียน เล่าในบันทึกความทรงจำของเขาว่าห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยเสียงปรบมือเมื่อมีการอ่านคำตัดสินและเจียง ชิงถูกเจ้าหน้าที่หญิงสองคนลากออกจากห้องพิจารณาคดีขณะที่เธอกำลังตะโกนคำขวัญปฏิวัติ[90]
เสียชีวิต
แก้การคุมขังและการเจ็บป่วย
แก้หลังถูกจับกุม เจียง ชิงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำฉินเฉิง ทีาซึ่งเธอใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังรายการวิทยุ ดูโทรทัศน์ ถักไหมพรม ศึกษาหนังสือ และเขียนหนังสือ บุตรีของเธอ หลี่ น่า มาเยี่ยมเธอทุกสองสัปดาห์[94] เธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต่างจากวิธีที่เธอปฏิบัติต่อศัตรูของเธอในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม[95] โทษของเธอถูกลดเหลือจำคุกตลอดชีวิตในปี 1983[85] ศาลประชาชนสูงสุดพิจารณาแล้วว่าทั้งเจียงและผู้สมรู้ร่วมคิดหลักของเธอ จาง ได้แสดง "สำนึกผิดอย่างเพียงพอ" ในระหว่างการพักโทษสองปี ทำให้โทษประหารชีวิตของพวกเขาลดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาวุโสของจีนระบุว่าเจียงยังไม่ได้แสดงความสำนึกผิดอย่างแท้จริงและยังคงท้าทายเหมือนวันที่เธอถูกนำตัวออกจากห้องพิจารณาคดีที่เต็มไปด้วยผู้คน โดยตะโกนว่า "การปฏิวัติจงเจริญ"[96]
ในปี 1984 เจียงได้รับการพักโทษทางการแพทย์และย้ายไปอยู่ที่บ้านพักลับที่ทางการจัดให้ ในเดือนธันวาคม 1988 เนื่องในโอกาสครบรอบ 95 ปีวันคล้ายวันเกิดของเหมา เจ๋อตง เจียงยื่นคำร้องขออนุญาตจัดงานรวมญาติ แต่คำร้องของเธอถูกปฏิเสธ ด้วยความทุกข์ใจ เธอพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับ 50 เม็ดที่เธอแอบเก็บไว้ แต่ไม่สำเร็จ เธอถูกส่งตัวกลับไปเรือนจำฉินเฉิงในปี 1989 เมื่อการพักโทษทางการแพทย์สิ้นสุดลง[94] เจียง ชิงเชื่อว่าเติ้ง เสี่ยวผิงควรรับผิดชอบต่อการเคลื่อนไหวของนักศึกษา (ที่รู้จักดีในชื่อการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน) เนื่องจากเขายอมรับอุดมการณ์ตะวันตก เธอยังประณามการสังหารหมู่ที่ตามมาหลังการประท้วง โดยเน้นย้ำว่าเหมา เจ๋อตงไม่เคยสั่งให้กองทัพสังหารฝูงชน[97] ขณะถูกควบคุมตัว เจียง ชิงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำคอ และแพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่เธอปฏิเสธ โดยยืนยันว่าการสูญเสียเสียงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้[94]
การฆ่าตัวตาย
แก้วันที่ 15 มีนาคม 1991 เจียง ชิงถูกย้ายจากบ้านพักของเธอที่จิ่วเซียนเฉียวไปยังโรงพยาบาลตำรวจปักกิ่งเนื่องจากมีไข้สูง ภายในวันที่ 18 มีนาคม ไข้ของเธอลดลง จากนั้นเธอถูกย้ายไปยังห้องผู้ป่วยภายในบริเวณโรงพยาบาล ซึ่งประกอบด้วยห้องนอน ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่น[98] วันที่ 10 พฤษภาคม 1991 เธอฉีกต้นฉบับบันทึกความทรงจำของเธอต่อหน้าผู้อื่นและแสดงความปรารถนาจะกลับบ้าน สองวันต่อมา วันที่ 12 พฤษภาคม บุตรีและบุตรเขยของเธอมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหลังทราบอาการของเธอ แต่เจียงปฏิเสธจะพบพวกเขา วันที่ 14 พฤษภาคม 1991 เจียง ชิงฆ่าตัวตาย เวลา 03:30 น. พยาบาลคนหนึ่งเข้าไปในห้องของเธอและพบเธอที่แขวนอยู่เหนืออ่างอาบน้ำ[99] จดหมายลาตายระบุว่า:[99]
วันนี้การปฏิวัติถูกขโมยไปโดยกลุ่มนักแก้ของเติ้ง, เผิง เจิน และหยาง ช่างคุน ท่านประธานเหมากำจัดหลิว เช่าฉี แต่ไม่ได้กำจัดเติ้ง และผลของการละเว้นนี้คือความชั่วร้ายที่ไม่สิ้นสุดได้ถูกปลดปล่อยสู่ประชาชนและชาติจีน ท่านประธานคะ ศิษย์และนักสู้ของท่านกำลังจะไปหาท่านแล้ว!"[r]
บ่ายวันนั้น หลี่ น่าไปที่โรงพยาบาลเพื่อลงนามในใบมรณบัตรและตกลงว่าจะไม่มีการจัดพิธีศพหรืองานรำลึกใด ๆ วันที่ 18 พฤษภาคม ร่างของเจียง ชิงถูกฌาปนกิจ ทั้งหลี่ น่าและญาติคนอื่น ๆ ของเจียง ชิงไม่ได้เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ อัฐิของเจียง ชิงถูกมอบให้หลี่ น่า ซึ่งเก็บไว้ที่บ้านของเธอ[100] รัฐบาลจีนยืนยันว่าเธอได้แขวนคอตายในวันที่ 4 มิถุนายน โดยระงับการประกาศเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อเลี่ยงผลกระทบก่อนวันครบรอบสองปีของการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน 1989[101][102]
อย่างไรก็ตาม เฮ่อ เตี้ยนขุย อดีตเจ้าหน้าที่เรือนจำฉินเฉิง กล่าวอ้างในภายหลังว่า "เจียง ชิงไม่เคยออกจากเรือนจำฉินเฉิงเลยกระทั่งเธอเสียชีวิต" เขาเสนอว่าเธอเสียชีวิตในเรือนจำจากการกินยานอนหลับ ซึ่งหักล้างรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเธอ[103]
การฝังศพ
แก้ขณะถูกคุมขัง เจียง ชิงแสดงเจตจำนงในพินัยกรรมว่าต้องการถูกฝังที่บ้านเกิดของเธอในจูเฉิง ชานตง ในปี 1996 เหยียน ฉางกุ้ย อดีตเลขานุการของเจียง ชิง ได้ไปเยือนจูเฉิง ที่ซึ่งเลขาธิการพรรคประจำเมืองขอให้เขานำสารไปบอกกับหลี่ น่าว่าเจียง ชิงสามารถถูกฝังที่นั่นได้ โดยต้องได้รับการยินยอมจากเธอ อย่างไรก็ตาม หลังการประขุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 16 เจียง เจ๋อหมินแนะนำหลี่ น่าว่าจูเฉิงอาจไม่ใช่สถานที่ฝังศพที่ปลอดภัย ดังนั้น หลี่ น่าจึงสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการฝังศพที่ปักกิ่ง ซึ่งเจียง เจ๋อหมินก็อนุมัติ หลี่ น่าจัดการเรื่องการฝังศพโดยออกค่าใช้จ่ายเอง ในเดือนมีนาคม 2002 อัฐิของเจียง ชิงถูกนำไปฝังที่สุสานฝูเถียนในพื้นที่ทิวทัศน์สวยงามของเนินเขาตะวันตกในปักกิ่ง บนป้ายหลุมศพเขียนว่า: "หลุมศพของมารดา หลี่ ยฺหวินเฮ่อ, 1914–1991, สร้างขึ้นด้วยความเคารพโดยบุตรี บุตรเขย และหลานชาย"[104]
มรดก
แก้ภาพลักษณ์สาธารณะ
แก้เจียง ชิงไม่เคยเป็นบุคคลที่ได้รับความชื่นชมอย่างกว้างขวางตลอดชีวิตของเธอ การแต่งงานของเธอกับเหมาในช่วงทศวรรษ 1930 สร้างความอื้อฉาวให้กับสหายหัวอนุรักษนิยมจำนวนมากในเหยียนอาน ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เธอแทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อเอาใจผู้นำจีนคนอื่น ๆ เลย[80]
เจียง ชิงมักถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ทะเยอทะยานอย่างโจ่งแจ้ง โดยหลายคนมองว่าเธอเป็นภริยาผู้กระหายอำนาจ ที่พยายามรวบรวมอำนาจให้ตัวเองด้วยวิธีการน่าสงสัย ภาพลักษณ์สาธารณะของเธอส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยเรื่องเล่าที่รับใช้ตนเอง ซึ่งพรรณนาว่าเธอเป็นบุคคลสำคัญในสภาพแวดล้อมที่ปั่นป่วนและแข่งขันกันอย่างดุเดือดของผู้นำจีน เธอถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความโหดเหี้ยม คาดเดาไม่ได้ และอันตรายของชีวิตในตำแหน่งสูงสุด การแก้แค้นที่ยาวนานของเธอต่ออดีตคู่แข่งทางการเมือง-วัฒนธรรมจากสมัยที่เธอเป็นนักแสดงในเซี่ยงไฮ้ได้กระตุ้นชื่อเสียงด้านความอาฆาตพยาบาทของเธอ แม้เธอจะวางกรอบความขัดแย้งของเธอกับคนเหล่านี้ว่าเป็นสงครามทางอุดมการณ์ แต่ก็เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าความแค้นส่วนตัวและความเกลียดชังคือแรงผลักดันแท้จริงเบื้องหลังการกระทำของเธอ[44]
ตามที่ร็อกแซน วิตกีระบุไว้ ชีวิตช่วงต้นของเจียงเต็มไปด้วยความยากจน ความหิวโหย และความรุนแรง และต่อมาในฐานะผู้หญิงในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เธอต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ประสบการณ์เหล่านี้หล่อหลอมให้เธอมีบุคลิกชอบตั้งรับและก้าวร้าว ก่อให้เกิดนิสัยฉวยโอกาสที่ยังคงอยู่แม้กระทั่งเมื่อเธอไม่จำเป็นต้องแสดงออกแล้ว[80] การพิจารณาคดีทางโทรทัศน์ของเจียงและท่าทีที่ท้าทายในศาลได้ทำให้ความเกลียดชังต่อเธอในหมู่คนรุ่นใหม่ลดลง ซึ่งกลายเป็นผู้ไม่เชื่อในระบบคอมมิวนิสต์ของจีน[105]
ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ
แก้还有精生白骨,自比则天武后,铁帚扫而光。 |
ปีศาจกระดูกขาวกลับชาติมาเกิด เปรียบตัวเองเป็นพระนางบูเช็กเทียน กวาดล้างไม้กวาดเหล็กจนสิ้นซาก |
—郭沫若《水调歌头·粉碎四人帮》(1976) | —ปราบแก๊งสี่คน, กัว มั่วรั่ว (1976) |
หลังเจียง ชิงถูกจับกุมในปี 1976 รัฐบาลจีนเริ่มดำเนิน การรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่เพื่อใส่ร้ายเธอและสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มที่เรียกว่าแก๊งสี่คน การรณรงค์นี้ดำเนินภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการของฮฺว่า กั๋วเฟิง ผู้สืบทอดอำนาจของเหมา โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเจียงและพรรคพวกของเธออย่างสิ้นเชิง ในช่วงหลายปีก่อนการพิจารณาคดีของเธอในปี 1980 โปสเตอร์และภาพการ์ตูนนับล้านชิ้นพรรณนาถึงแก๊งสี่คนว่าเป็นศัตรูของชนชั้นและสายลับ เจียงเองกลายเป็นเป้าหมายหลักของการเย้ยหยัน เธอถูกวาดภาพเป็นจักรพรรดินีที่วางแผนจะสืบทอดอำนาจจากเหมาและเป็นโสเภณี โดยมีการอ้างอิงถึงอดีตของเธอในฐานะนักแสดงหญิงในเซี่ยงไฮ้เพื่อตั้งคำถามถึงความซื่อสัตย์ทางศีลธรรมของเธอ โฆษณาชวนเชื่อยังวิพากษ์วิจารณ์ความสนใจของเธอในงานอดิเรกแบบตะวันตก เช่น การถ่ายภาพและการเล่นโป๊กเกอร์ โดยนำเสนอสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการขาดค่านิยมคอมมิวนิสต์ของเธอ ในที่สุด เธอถูกตีตราว่าเป็น "ปีศาจกระดูกขาว" ภาพล้อเลียนที่มีนัยถึงเพศสภาพที่สื่อถึงการทำลายล้างและความโกลาหล[106]
การพิจารณาคดีแก๊งสี่คนในปี 1980 ตอกย้ำภาพลักษณ์ของเจียงในฐานะบุคคลเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย คำฟ้องระบุว่าแก๊งสี่คนเป็นผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรงของการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยกล่าวหาว่าเจียงใช้อำนาจกวาดล้างทางการเมืองเพื่อแก้แค้นส่วนตัวและส่งเสริมความวุ่นวายครั้งใหญ่ การพิจารณาคดีนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศจีน ตอกย้ำความแตกต่างที่ชัดเจน: เจียง ชิงเป็นสัญลักษณ์ของความวุ่นวายในอดีต และการบริหารของเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผู้ประกาศการมาถึงของความสงบเรียบร้อยและความก้าวหน้า เรื่องเล่านี้สอดคล้องกับข้อมติว่าด้วยประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งพยายามกำหนดนิยามใหม่ให้กับมรดกของเหมา เจ๋อตง แม้เหมาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามี "ข้อผิดพลาด" แต่เขาก็ไม่ถูกถือว่าต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความรุนแรงเกินเหตุของการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ความผิดทั้งหมดถูกโยนไปที่เจียงและแก๊งสี่คน ทำให้ความคิดของเหมา เจ๋อตงยังคงมีความชอบธรรมทางอุดมการณ์ภายใต้การปฏิรูปของเติ้ง[106]
มุมมองอื่น
แก้วรรณกรรมชีวประวัติเกี่ยวกับเจียง ชิงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิพากษ์และตีความประวัติศาสตร์จีนอย่างเป็นทางการเสียใหม่ ผลงานเหล่านี้ท้าทายภาพลักษณ์ของเจียงที่มักถูกนำเสนออย่างเลวร้ายเพียงด้านเดียว และมีส่วนช่วยในการถกเถียงทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวางมากขึ้นเกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมและผลกระทบต่อการก่อร่างสร้างประเทศจีนสมัยใหม่ ขณะที่ชีวประวัติเชิงข้อเท็จจริงมุ่งนำเสนอภาพที่ถูกต้องแม่นยำของบุคคลในเรื่อง แต่ผลงานเชิงบันเทิงคดีกลับใช้เสรีภาพในการสร้างสรรค์ โดยการจินตนาการชีวิตของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่โดยไม่ยึดติดกับข้อเท็จจริงอย่างเคร่งครัด ด้วยการปฏิเสธแบบแผนชีวประวัติแบบดั้งเดิม – ซึ่งนำเสนอชีวิตของบุคคลในฐานะเรื่องเล่าที่สอดคล้องกัน – ผลงานอย่าง Jiang Qing and Her Husbands และ Becoming Madame Mao กลับตั้งคำถามถึงความถูกต้องของเรื่องเล่าแบบครอบคลุมทั้งหมดเกี่ยวกับเจียง ท้ายที่สุดแล้วพื้นที่ส่วนตัวในเรื่องเล่าเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่ใกล้ชิดเกี่ยวกับตัวบุคคลนั้น ๆ แต่กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรื้อถอนและท้าทายการเขียนประวัติศาสตร์จีนอย่างเป็นทางการ[106]
การเปรียบเทียบ
แก้การพิจารณาคดีของปั๋ว ซีไหลในปี 2013 ถือเป็นเหตุการณ์ในศาลที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประเทศจีนนับตั้งแต่การพิจารณาคดีของเจียง ชิงในปี 1980[107] กู่ ไคไหล ภรรยาของปั๋ว มักถูกเปรียบเทียบกับเจียง ชิงเนื่องจากลักษณะอาชญากรรมของเธอ[108] ในปี 2024 โยมิอุริชิมบุน รายงานเกี่ยวกับอิทธิพลของเผิง ลี่ยฺเหวียนในการตัดสินใจด้านบุคลากรคนสำคัญภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงการสนับสนุนของเธอในการแต่งตั้งต่ง จฺวินเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและการเลือกหลี่ ก้านเจี๋ยเป็นหัวหน้ากรมองค์การพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่งและหลี่ต่างก็มาจากชานตง บ้านเกิดของเผิง รายงานนี้เปรียบเทียบความเป็นผู้นำของสี จิ้นผิงในช่วงปีหลัง ๆ กับเหมา เจ๋อตง โดยเปรียบเผิงกับเจียง ชิง[109]
อนุสรณ์
แก้หลุมศพของเจียง ชิงไม่เปิดเผยต่อสาธารณะกระทั่งต้นปี 2009[110] ในแต่ละปีช่วงเทศกาลกวาดสุสาน จะมีการนำกระเช้าดอกไม้ไปวางที่หลุมศพของเจียง ในปี 2015 นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายที่พยายามแสดงความเคารพต้องเผชิญกับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบนาย โดยหลายคนถูกนำตัวไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจผิงกั่วยฺเหวียน ผู้สนับสนุนลัทธิเหมาที่รู้สึกไม่พอใจตั้งคำถามว่าทำไมการยกย่องเจียง ไคเชกต่อสาธารณะถึงได้รับอนุญาต ขณะที่การรำลึกถึงเจียง ชิงกลับไม่ได้รับอนุญาต โดยตั้งคำถามเชิงวาทศิลป์ว่าสาธารณรัฐจีนได้ทวงคืนแผ่นดินใหญ่ไปแล้วหรืออย่างไร ตั้งแต่ปี 2018 การรำลึกเช่นนี้ดำเนินไปโดยไม่มีการแทรกแซงจากตำรวจ[111] วันที่ 14 พฤษภาคม 2021 นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายจัดการเสวนาเรื่อง "บทบาทของหลี่ จิ้นในประวัติศาสตร์พรรค" ซึ่งมีรายงานว่าหลี่ น่าเข้าร่วมด้วย[112] ตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากมีผู้เยี่ยมชมจำนวนมากยังคงให้เกียรติเจียง ชิง สื่อต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่าทางการอนุญาตให้กลุ่มฝ่ายซ้ายรำลึกถึงเธอได้ขณะที่ห้ามการไว้ทุกข์ต่อสาธารณะสำหรับจ้าว จื่อหยาง หลังจากนั้น ทางการสั่งห้ามการไว้ทุกข์ต่อสาธารณะสำหรับเธอที่หลุมศพ โดยมีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเฝ้าระวังสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา[110]
งิ้วปักกิ่ง
แก้ระหว่างการผลิตย่างป่านซี่ เจียงได้แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม ด้วยประสบการณ์ของเธอในฐานะนักแสดง ในการแสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ย่างป่านซี่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม คำสั่งของเจียงว่าด้วยการปฏิรูปอุปรากรมักคลุมเครือ ยฺหวี ซึ่งทำหน้าที่เป็นเบี้ยหมากของเจียง สามารถทำให้คำสั่งของเจียงกลายเป็นรายละเอียดทางเทคนิคที่นักแสดงสามารถปฏิบัติตามได้ แม้อิทธิพลของยฺหวีจะเพิ่มขึ้น เขาก็ไม่เคยสามารถท้าทายคำสั่งของเจียงได้ เนื่องจากเขาสามารถมีอิทธิพลต่อความคิดของเธอเท่านั้น[52]
เจียงเห็นว่าจุดอ่อนของงิ้วปักกิ่งคือการขาดดนตรีที่จัดระเบียบอย่างดี ซึ่งตามความเห็นของเจียงแล้ว "สร้างภาพลักษณ์ของตัวละคร" แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของยฺหวีว่าด้วยแนวคิดการทำงานของดนตรี ยฺหวีมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปภาษาดนตรี นี่เป็นเพราะความเชื่อของยฺหวีที่ว่าเพื่อให้ย่างป่านซี่ประสบความสำเร็จในการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงสร้างและประโยชน์ของรัฐสังคมนิยมใหม่ ภาษาของดนตรีจะต้องเป็นที่เข้าใจของคนทั่วไป เขาแนะนำเป็นอันดับแรกว่าเนื้อเพลงควรเขียนเป็นภาษาจีนกลาง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่กำหนดให้ใช้ภาษาจีนกลางเป็นภาษาในการเรียนการสอนในโรงเรียนทั่วประเทศ ยฺหวียังสนับสนุนว่า "ทำนองเพลงควรแต่งในลักษณะสะท้อนรูปแบบวรรณยุกต์ของพยางค์ด้วย" ซึ่ง "ควรฟังดูเป็นธรรมชาติสำหรับหูและเข้าใจง่ายสำหรับผู้ฟัง"[47]
ตามทฤษฎี "สามความเด่นชัด" ของเจียง ผลงานปฏิวัติต้นแบบจะต้องเน้นวีรบุรุษหลักให้โดดเด่นกว่าตัวละครวีรบุรุษอื่น ๆ และตัวละครเชิงบวกให้โดดเด่นกว่าตัวละครอื่น ๆ เจียงวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวน (ซึ่งรู้จักในชื่อภาพยนตร์ต่อต้านจารกรรม) ที่ทำให้ตัวร้ายดูน่าสนใจเกินไป[113] เจียงขึ้นชื่อเรื่องความตรงไปตรงมาในการกำกับย่างป่านซี่หรืองิ้วปฏิวัติ แต่ยฺหวีสามารถทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างเจียงกับนักแสดงได้ เนื่องจากเจียงไม่สามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ของเธอได้อย่างชัดเจน นักแสดงมักมองว่าคำวิจารณ์ของเธอเป็นการดูถูกส่วนตัว ตู้ หมิงซิน หนึ่งในนักแต่งเพลงของเจียง เล่าว่าเจียงเคยปฏิเสธเพลงของเขาในบัลเลต์เรื่อง The Red Detachment of Women (Hong Se Niang Zi Jun) ว่าเป็น "เพลงปลุกอารมณ์ที่เคยแสดงในไนต์คลับเซี่ยงไฮ้ช่วงทศวรรษ 1930" จากนั้น ตู้ก็ถูกวิจารณ์ว่าพยายามทำลายโครงการย่างป่านซี่โดยการซ่อนดนตรีแบบชนชั้นกระฎุมพีไว้ในบัลเลต์ปฏิวัติ ตู้รู้สึกอับอายมากกับคำพูดนี้ กระทั่งยฺหวีขอให้กลุ่มส่งผลงานประพันธ์อื่น ตู้จึงกลับมามีแรงจูงใจและประพันธ์เพลง Wanquan Heshui (On Wanquan River) ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ตามคำบอกเล่าของตู้ เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ทางศิลปะ ความกล้าหาญส่วนตัว และความสามารถของยฺหวีในการได้รับการยอมรับจากเจียงในการตัดสินใจของเขา [47]
ชีวิตส่วนตัว
แก้ครอบครัว
แก้ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเหมา เจ๋อตง เขามักปฏิเสธจะพบเจียง ชิง ทั้งสองแยกกันอยู่ – เหมาพำนักอยู่ในจงหนานไห่ ขณะที่เจียงพักอยู่ที่เรือนรับรองเตี้ยวยฺหวีไถ – และแทบไม่ได้พบกันเลย เหมามักวิพากษ์วิจารณ์เจียง ชิงและเขียนข้อสังเกตไว้ว่า "เจียง ชิงไม่ได้เป็นตัวแทนของฉัน; เธอเป็นตัวแทนของตัวเอง" เขาเคยปรับทุกข์กับหวัง ไห่หรงและถัง เหวินเชิงว่าเจียงใฝ่ฝันจะเป็นประธานพรรค ในระหว่างพูดคุยกับเจียง ชิง เหมาแนะนำให้เธอปรับปรุงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่มีความเห็นต่างกัน แทนที่จะเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ ของเธอ เขายังแสดงความไม่พอใจที่เธอไม่ศึกษาผลงานของมากซ์ เลนิน หรือแม้แต่งานเขียนของตัวเขาเอง เหมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเจียง ชิงหลังจากอสัญกรรมของเขา โดยเกรงว่าเธออาจจะประสบปัญหา[89]
เธอมีบุตรีกับเหมา เจ๋อตง ซึ่งก็คือหลี่ น่า หลี่ น่าไปเยี่ยมเธอที่เรือนจำฉินเฉิงบ่อยครั้ง แต่พวกเธอมักทะเลาะกันเรื่องหวัง จิงชิง สามีของหลี่ น่า ซึ่งเคยรับรัฐการในกรมทหารรักษาความมั่นคงกลาง[114]
งานอดิเรก
แก้งานอดิเรกของเจียงได้แก่การถ่ายภาพ เล่นไพ่ และการจัดฉายภาพยนตร์ฮอลลีวูดคลาสสิก โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยเกรียตา การ์บู หนึ่งในนักแสดงที่เธอชื่นชอบ แม้ภาพยนตร์เหล่านั้นจะถูกห้ามสำหรับพลเมืองจีนทั่วไปในฐานะสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมแบบชนชั้นกระฎุมพี[115] เจียง ชิงสามารถเลียนแบบลายมือของเหมา เจ๋อตงได้ การคัดลายมือของเธอคล้ายกับของเหมามากจนผลงานบางชิ้นของเธอถึงกับถูกจัดแสดงเป็นต้นฉบับลายมือของเหมา เจ๋อตง[116][117]
ตั้งแต่ปี 1961 เจียง ชิง ภายใต้นามปากกาหลี่ ยฺหวินเฮ่อและหลี่ จิ้น มีภาพถ่ายทิวทัศน์หลายภาพได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงในนิทรรศการภาพถ่ายแห่งชาติสี่ครั้งติดต่อกัน เธอกลายเป็นหนึ่งในช่างภาพที่มีผลงานจัดแสดงมากที่สุดในแต่ละนิทรรศการ ในด้านเทคนิคการจัดแสง เจียงชื่นชอบการใช้แสงย้อนและแสงย้อนด้านข้าง รูปแบบการมองเห็นของเธอที่เน้นความยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการภาพถ่ายในจีนแผ่นดินใหญ่[118]
ในวัฒนธรรมประชานิยม
แก้บันเทิงคดี
แก้- Jiang Qing and Her Husbands บทละครอิงประวัติศาสตร์จีนโดยชา เย่ซินในปี 1990[106]
- Becoming Madame Mao นวนิยายอิงประวัติศาสตร์โดยแอนชี หมิ่นในปี 2000[119][106]
ภาพยนตร์และโทรทัศน์
แก้ปี | ภูมิภาค | ชื่อ | นักแสดง |
---|---|---|---|
1976 | ไต้หวัน | Fragrant Flower Versus Noxious Grass | Yao Hsiao-Chang |
1993 | จีน | China has a Mao Zedong | Zhang An'an |
2009 | จีน | มังกรสร้างชาติ[120] | Zhang Erdan |
The Liberation | Yan Xuejing | ||
ออสเตรเลีย | Mao's Last Dance | Yue Xiuqing | |
2013 | จีน | Mao Zedong | Sun Jia |
หมายเหตุ
แก้อรรถาธิบาย
แก้- ↑ เจียง ชิงเป็นชื่อทั่วไปของหัวข้อนี้ แต่เธอมีชื่ออื่น ๆ มากมายในชีวิตของเธอ โปรดอ่านส่วน ชื่อ เพื่อดูรายละเอียด
- ↑ ไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับวันเกิดของเจียง ชิง นักวิจัยสายซ้ายจัด จาง หงเหลียง กล่าวถึงในบล็อกของเขาเมื่อปี 2013 ว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะรัฐบาลต้องการเลี่ยงไม่ให้ใครจดจำเธอ จางอ้างว่าเธอเกิดเมื่อ 5 มีนาคม 1914 แต่ยังไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดยืนยันเรื่องนี้ได้จนถึงขณะนี้
- ↑ มีบางแหล่งอ้างว่าเจียง ชิงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยชานตงในช่วงที่จ้าว ไท่โหมวเป็นอธิการบดี แต่ข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริงทั้งหมด เจียง ชิงมาถึงมหาวิทยาลัยชิงเต่าในปี 1931 ซึ่งขณะนั้นหยาง เจิ้นเชิงเป็นอธิการบดี ในช่วงต้นปี 1932 หยางลาออก มหาวิทยาลัยจึงเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยชานตง และจ้าวก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดี[30]
- ↑ บทความนี้อธิบายว่าเจียง ชิงมีข้อจำกัดบางประการในบทบาทของเธอ แม้รายละเอียดที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูล เมื่อกองกำลังก๊กมินตั๋งเข้ายึดเหยียนอาน มีรายงานว่าพวกเขายึดสมุดบันทึกของหวัง รั่วเฟย์ ซึ่งมีรายละเอียดของ "สามเงื่อนไข" ที่กำหนดขึ้นสำหรับเจียง แม้ต้นฉบับจริงจะยังไม่ได้รับการยืนยันต่อสาธารณะ แต่ฉบับเผยแพร่ในไต้หวันถือว่ามีความน่าเชื่อถือที่สุด[42] และถูกนำมาใช้ในบทความนี้
- ↑ ในขณะนั้นเขารู้จักในชื่อหฺวาง จิ้งและได้แต่งงานกับนักข่าวชื่อฟ่าน จินในเหยียนอาน[53] ยฺหวี ฉีเหว่ย์และเจียง ชิงเคยอาศัยอยู่ด้วยกันแต่พวกเขาไม่มีใบรับรองหรือพิธีแต่งงานใด ๆ[33] ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจถือได้ว่าเป็น "การแต่งงานสมัยใหม่"[33] หรือการอยู่ร่วมกันตามวรรณกรรมภาษาจีน[42]
คำแปล
แก้- ↑ จีน: 江青; พินอิน: Jiāng Qīng; เวด-ไจลส์: chiang ch'ing
- ↑ จีนตัวย่อ: 李进男; จีนตัวเต็ม: 李進男; พินอิน: Lǐ Jìnnán; เวด-ไจลส์: li3 chin4 nan2
- ↑ จีนตัวย่อ: 李进孩; จีนตัวเต็ม: 李進孩; พินอิน: Lǐ Jìnhái; เวด-ไจลส์: li3 chin4 hai2
- ↑ จีนตัวย่อ: 李进; จีนตัวเต็ม: 李進; พินอิน: Lǐ Jìn; เวด-ไจลส์: li3 chin4
- ↑ จีน: 李淑蒙; พินอิน: Lǐ Shúméng; เวด-ไจลส์: li3 shu2 mêng2
- ↑ จีนตัวย่อ: 李云鹤; จีนตัวเต็ม: 李雲鶴; พินอิน: Lǐ Yúnhè; เวด-ไจลส์: li3 yün2 hê4
- ↑ จีนตัวย่อ: 李鹤; จีนตัวเต็ม: 李鶴; พินอิน: Lǐ Hè; เวด-ไจลส์: li3 hê4
- ↑ จีนตัวย่อ: 张淑贞; จีนตัวเต็ม: 張淑貞; พินอิน: Zhāng Shúzhēn; เวด-ไจลส์: chang shu2 chên
- ↑ จีนตัวย่อ: 李云古; จีนตัวเต็ม: 李雲古; พินอิน: Lǐ Yúngǔ; เวด-ไจลส์: li3 yün2 ku3
- ↑ จีนตัวย่อ: 蓝苹; จีนตัวเต็ม: 藍蘋; พินอิน: Lán Píng; เวด-ไจลส์: lan2 ping2
- ↑ จีนตัวย่อ: 李润青; จีนตัวเต็ม: 李潤青; พินอิน: Lǐ Rùnqīng; เวด-ไจลส์: li3 jun4 ch'ing
- ↑ จีน: 李梓; พินอิน: Lǐ Zǐ; เวด-ไจลส์: li3 tzu3
- ↑ จีน: 李德文; พินอิน: Lǐ Déwén; เวด-ไจลส์: li3 tê2 wên2
- ↑ จีนตัวย่อ: 裴明伦; จีนตัวเต็ม: 裴明倫; พินอิน: Péi Mínglún; เวด-ไจลส์: p'ei2 ming2 lun2; จาก "พจนานุกรมภาษาจีนกลางฉบับปรับปรุง" ของกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน นามสกุลนี้ออกเสียงว่าเผย์[27] อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลอักขระจีนแบบมัลติฟังก์ชันของฮ่องกงระบุว่ามีการออกเสียงเพิ่มเติมเป็นเฝย์[28] Terrill 1999 (pp. 29–31) ใช้การแปลว่าเฝย์
- ↑ จีน: 我看问题不大,不要小题大作,但有问题要讲明白,上半年解决不了,下半年解决;今年解决不了,明年解决;明年解决不了,后年解决。
- ↑ จีน: 我是毛主席的一条狗,毛主席叫我咬谁我就咬谁。
- ↑ จีน: 那天晚上毛主席给华国锋写“你办事,我放心”的话,这不是毛主席给华国锋写的全部内容,至少还写了六个字:“有问题,找江青”。
- ↑ จีน: 现在被邓小平、彭真、杨尚昆一伙反革命修正主义吞并了领导权。主席除刘未除邓,后患无穷,国祸民殃。主席,你的学生和战友来见你了!
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Ye, Yonglie (2014-10-14). "The rise and fall of the gang of four". Shanghai Observer (ภาษาจีนตัวย่อ). Shanghai: Jiefang Daily.
- ↑ "Yu Guangyuan: The Jiang Qing I remember" (ภาษาจีน). People's Daily Online. 2006-02-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2011. สืบค้นเมื่อ 13 December 2012.
- ↑ Lin, Jenny (2018-11-30), "Introduction: Locating global contemporary art in global China", Above sea: Contemporary art, urban culture, and the fashioning of global Shanghai (ภาษาอังกฤษ), Manchester University Press, pp. 1–25, doi:10.7765/9781526132611.00009, ISBN 978-1-5261-3261-1, สืบค้นเมื่อ 2024-11-27
- ↑ 4.0 4.1 Trebach, Bradford (1991-06-16). "Remember Those Who Almost Changed China; 'Pure and Simple'". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2015. สืบค้นเมื่อ 27 November 2024.
- ↑ Terrill 1999, p. 15.
- ↑ 6.0 6.1 Sisyphus 2015a, p. 33.
- ↑ Terrill 1999, p. 52.
- ↑ Lee, Mong-Ping (1967). "Chiang Ching: Mao's Wife and Deputy". Communist Affairs. 5 (3): 19–22. doi:10.1016/0588-8174(67)90051-4. ISSN 0588-8174. JSTOR 45368207.
- ↑ Sisyphus 2015a, p. 48.
- ↑ 10.0 10.1 Sisyphus 2015a, p. 56.
- ↑ Shu, Yun (2020-05-16). "江青骨灰11年後方才入土 死後究竟葬於何處?". Jornal San Wa Ou (ภาษาจีน). Macau. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ Shu, Yun (12 มกราคม 2009). "毛泽东夫人江青的墓地" [Jiang Qing's gravesite] (ภาษาจีน). DuoWei News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 สิงหาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2012.
- ↑ Keyser, Catherine H. "Guide to Pronouncing Romanized Chinese (Wade-Giles and Pinyin)". Columbia University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 April 2021. สืบค้นเมื่อ 15 April 2021.
- ↑ Carter, James (2021-05-19). "The death of Jiang Qing, a.k.a., Madame Mao". The China Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ 15.0 15.1 "Militia Steps in at End of a Day of Demonstrations in Peking". The New York Times (ภาษาจีน). Reuters. 2016-05-22 [1976-04-06]. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2020. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 16.0 16.1 Terrill 1999, p. 16.
- ↑ Lee, Lily Xiao Hong (1998). 中國婦女傳記詞典: The Twentieth Century, 1912–2000. M.E. Sharpe. ISBN 9780765607980.
- ↑ Terrill, Ross (2014). The Life of Madame Mao. New Word City. ISBN 9781612306520.
- ↑ 19.0 19.1 Sisyphus 2015a, p. 31.
- ↑ Terrill 1999, p. 17.
- ↑ Butterfield, Fox (4 March 1984). "Butterfield, Fox. "Lust, Revenge, and Revolution". The New York Times. 4 March 1984. Retrieved 10 June 2011. p. 1". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 September 2014. สืบค้นเมื่อ 13 December 2012.
- ↑ Terrill 1999, p. 19.
- ↑ Terrill 1999, p. 18.
- ↑ Terrill 1999, pp. 20–21.
- ↑ Terrill 1999, p. 22.
- ↑ 26.0 26.1 Terrill 1999, p. 23-29.
- ↑ Ministry of Education, R.O.C. (2021). "裴 : ㄆㄟˊ". Revised Mandarin Chinese Dictionary.
- ↑ The Chinese University of Hong Kong (2014). "裴". Multi-function Chinese Character Database. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2024. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
- ↑ Terrill 1999, pp. 30–31.
- ↑ Sisyphus 2015a, pp. 38–39.
- ↑ Terrill 1999, p. 32.
- ↑ Terrill 1999, p. 33.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 Terrill 1999, p. 34.
- ↑ Sisyphus 2015a, p. 41.
- ↑ Terrill 1999, p. 35.
- ↑ Sisyphus 2015a, p. 42.
- ↑ 37.0 37.1 37.2 37.3 37.4 37.5 Wang, Suping (1993). "附录 江青前半生大事年表". 她还没叫江青的时侯 (ภาษาจีน) (1st ed.). Beijing: Beijing October Literature and Arts Press. ISBN 978-7-5302-0290-6.
- ↑ 38.0 38.1 38.2 38.3 38.4 Witke 1977, Chronology.
- ↑ Gao, Yunxiang (2021). Arise, Africa! Roar, China! Black and Chinese Citizens of the World in the Twentieth Century. Chapel Hill, NC: University of North Carolina Press. p. 239. ISBN 9781469664606.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 40.3 40.4 40.5 Wang, Fang (2023-06-09). "原公安部長王芳回憶:揭發江青的「匿名信事件」——「18號案」". Jornal San Wa Ou. สืบค้นเมื่อ 2024-11-30.
- ↑ Witke, Roxane (1977-03-21). "Special Section: Comrade Chiang Ch'ing Tells Her Story". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 May 2024. สืบค้นเมื่อ 17 November 2024.
- ↑ 42.00 42.01 42.02 42.03 42.04 42.05 42.06 42.07 42.08 42.09 42.10 42.11 42.12 42.13 42.14 42.15 Liang, Jiagui (2003-09-30). "Jiang Qing: late 1937-1949" (PDF). Twenty-first Century (ภาษาจีน) (Online ed.) (18). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 April 2023. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (5 June 1991). "Suicide of Jiang Qing, Mao's Widow, Is Reported". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2013. สืบค้นเมื่อ 13 December 2012.
- ↑ 44.0 44.1 "The Rise and Fall of Mao's Empress". Time. 1977-03-21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2024. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
- ↑ 45.0 45.1 Li 2023, p. 226.
- ↑ 46.0 46.1 Witke 1977, p. 235.
- ↑ 47.0 47.1 47.2 47.3 47.4 47.5 47.6 Ludden, Yawen (2013-01-23). China's Musical Revolution: From Beijing Opera to Yangbanxi (วิทยานิพนธ์ PhD). Lexington, KY: University of Kentucky. pp. 114–202. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2023. สืบค้นเมื่อ 6 May 2023.
- ↑ Li, Xiaobing (2018). The Cold War in East Asia. Abingdon, Oxon: Routledge. ISBN 978-1-138-65179-1.
- ↑ 49.0 49.1 49.2 Li 2023, p. 227.
- ↑ Witke 1977, p. 256.
- ↑ Witke 1977, p. 258.
- ↑ 52.0 52.1 Ludden, Yawen (2017-09-01). "The transformation of Beijing opera: Jiang Qing, Yu Huiyong and yangbanxi". Journal of Contemporary Chinese Art. 4 (2): 143–160. doi:10.1386/jcca.4.2-3.143_1. ISSN 2051-7041.
- ↑ 53.0 53.1 Terrill 1999, p. 208.
- ↑ 54.0 54.1 54.2 54.3 54.4 54.5 54.6 54.7 54.8 "毛澤東晚年的重大失誤:「文革」時期倚重江青". Bastille Post. 2019-04-01. สืบค้นเมื่อ 2024-11-28.
- ↑ 55.0 55.1 "Jiang Qing (1964): On the Revolution of Peking Opera". www.marxists.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 November 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-05-06.
- ↑ Li 2023, p. 229.
- ↑ 57.0 57.1 Li 2023, p. 230.
- ↑ Li 2023, pp. 230–231.
- ↑ 59.0 59.1 59.2 59.3 Li 2023, p. 231.
- ↑ Landsberger, Stefan R. (2024). "Madame Mao". International Museum of Women. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2022. สืบค้นเมื่อ 2024-11-28.
- ↑ Roberts, Rosemary (March 2008). "Performing Gender in Maoist Ballet: Mutual Subversions of Genre and Ideology in The Red Detachment of Women". Intersections.
- ↑ Khoua, Choui; Wang, Bin (1950), The White-haired Girl, Qiang Chen, Baiwan Li, Hua Tian, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 February 2017, สืบค้นเมื่อ 7 November 2017
- ↑ Winzenburg, John (2016). Musical-Dramatic Experimentation in the Yangbanxi: A Case for Precedence in The Great Wall. US: Palgrave Macmillan. pp. 189–212.
- ↑ Harris, Kristine (30 August 2010). "Re-makes/Re-models: The Red Detachment of Women between Stage and Screen". Opera Q. 26 (2–3): 316–342. doi:10.1093/oq/kbq015. S2CID 191566356.
- ↑ Finnane, Antonia (2005-03-01). "Looking for the Jiang Qing Dress: Some Preliminary Findings". Fashion Theory (ภาษาอังกฤษ). doi:10.2752/136270405778051518.
- ↑ Cheng, Shigang (2005). "昙花一现"江青服"". Culture and History Vision (ภาษาจีนตัวย่อ) (19): 48–49. ISSN 1672-8653.
- ↑ "Introduction to the Cultural Revolution". Stanford Program on International and Cross-Cultural Education (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-28.
- ↑ 68.0 68.1 Landsberger, Stefan R. (2008). Madame Mao: Sharing Power with the Chairman. International Museum of Women. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2013. สืบค้นเมื่อ 28 November 2024.
- ↑ 69.0 69.1 Ye, Yonglie (2019-11-19). "王光美與江青". Bastille Post (ภาษาจีนตัวเต็ม). สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 70.0 70.1 "回首文革(6):接班人之死─刘少奇". Voice of America (ภาษาจีนตัวย่อ). 2006-07-15. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2023. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 71.0 71.1 Jones, Andrew F. (2013). "Quotation Songs: Portable Media and the Maoist Pop Song". ใน Cook, Alexander C. (บ.ก.). Mao's Little Red Book: A Global History. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-05722-7.
- ↑ Teiwes, Frederick C.; Sun, Warren (2004). "The First Tiananmen Incident Revisited: Elite Politics and Crisis Management at the End of the Maoist Era". Pacific Affairs. 77 (2): 211–235 (213). JSTOR 40022499.
- ↑ Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. p. 166. ISBN 9781501774157.
- ↑ Terrill 1999, p. 290.
- ↑ 75.0 75.1 Hsin, Chi (1977). The Case of the Gang of Four: With First Translation of Teng Hsiao-Ping's Three Poisonous Weeds. Cosmos Books, Ltd. p. 19. ASIN B000OLUOE2.
- ↑ 76.0 76.1 76.2 Ye, Yonglie (2015-07-22). "邓小平成了江青的"眼中钉"". Shanghai Observer.
- ↑ 77.0 77.1 "鄧小平1975年大整頓 江青被迫寫書面檢查". Bastille Post. 2022-01-12. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 78.0 78.1 Demick, Barbara (2020-12-18). "Uncovering the Cultural Revolution's Awful Truths". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-01-18.
- ↑ "文革無法消滅異議!四五民主運動直接衝擊毛澤東政權". Radio Taiwan International (ภาษาจีนตัวเต็ม). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2023. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 80.0 80.1 80.2 Butterfield, Fox (1976-08-01). "The intriguing matter of Mao's successor". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 29 November 2024.
- ↑ 81.0 81.1 Terrill 1999, p. 323.
- ↑ Terrill 1999, p. 324.
- ↑ 83.0 83.1 Terrill 1999, p. 326.
- ↑ Terrill 1999, p. 325.
- ↑ 85.0 85.1 85.2 Zheng, Haiping (2010). "The Gang of Four Trial". University of Missouri-Kansas City. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-30. สืบค้นเมื่อ 2017-12-31.
- ↑ 86.0 86.1 86.2 Terrill 1999, p. 327.
- ↑ Terrill 1999, p. 328.
- ↑ "Communist Party History: Memoirs of Jiang Qing on 6 October 1976". Cpc.people.com.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2012. สืบค้นเมื่อ 13 December 2012.
- ↑ 89.0 89.1 89.2 Zhang, Lifan (2014-08-25). "逮捕"四人帮"是毛泽东的生前部署吗?". The New York Times (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2019. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 90.00 90.01 90.02 90.03 90.04 90.05 90.06 90.07 90.08 90.09 Cook, Alexander C. (2016). The Cultural Revolution on Trial: Mao and the Gang of Four. Cambridge: Cambridge University Press. doi:10.1017/9780511980411. ISBN 978-0-521-76111-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2024. สืบค้นเมื่อ 2 June 2024.
- ↑ 91.0 91.1 91.2 "Gang of Four trial starts Thursday". UPI (ภาษาอังกฤษ). 1980-11-19. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ Hutchings, Graham (2001). Modern China. Cambridge: MA: Harvard University Press. ISBN 0-674-01240-2.
- ↑ Terrill 1999, p. 343.
- ↑ 94.0 94.1 94.2 "江青自殺前最後20字留言 透露一生最愛". China Times (ภาษาจีนตัวเต็ม). 2016-02-21. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ Terrill 1999, p. 348.
- ↑ "Mao's widow spared". UPI (ภาษาอังกฤษ). 1983-01-25. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ Terrill 1999, p. 351.
- ↑ Terrill 1999, p. 352.
- ↑ 99.0 99.1 Terrill 1999, p. 353.
- ↑ Terrill 1999, p. 354.
- ↑ "China confirms suicide of Mao's widow". UPI (ภาษาอังกฤษ). 1991-06-04. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ "Madame Mao reported a suicide in Beijing". UPI (ภาษาอังกฤษ). 1991-06-03. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ "【江青忌日】木匠女兒變第一夫人 文革任毛打手 25年前自殺亡". HK01 (ภาษาจีนตัวเต็ม). 2016-05-14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2021. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ "Duowei: Jiang Qing's gravesite" (ภาษาจีน). Dwnews.com. 12 January 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2013. สืบค้นเมื่อ 13 December 2012.
- ↑ Terrill 1999, p. 345.
- ↑ 106.0 106.1 106.2 106.3 106.4 Salino, Silvia (2021). "Jiang Qing, between Fact and Fiction: The Many Lives of a Revolutionary Icon". ASIEN: The German Journal on Contemporary Asia (ภาษาอังกฤษ) (158/159): 86–104. ISSN 2701-8431.
- ↑ "1980年公审江青以来最具戏剧性的审讯". Radio France Internationale. 2013-08-22.
- ↑ "再拿薄谷比江青". Deutsche Welle (ภาษาจีน). 2012-08-27. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2023. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ "習近平・国家主席の妻、幹部人事に関与で「ポスト習」に影響力か…専門家「毛沢東の晩年と似る」". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-06-17. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 110.0 110.1 "江青墓被禁祭掃參觀 保安:不要自找麻煩 婿王景清同葬福田公墓 刻妻李訥". Ming Pao (Canada) (ภาษาจีน). 2024-03-16. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
- ↑ 乔龙 (2018-04-05). "江青墓前毛粉献花 北京祭奠江青不再被阻止". RFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-18. สืบค้นเมื่อ 2022-05-01.
- ↑ "左派私人聚會紀念江青自殺三十周年 傳江青女兒李訥參加". Sing Tao Daily. 2021-05-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-20. สืบค้นเมื่อ 2022-05-01.
- ↑ Li 2023, pp. 180–181.
- ↑ Terrill 1999, pp. 348–349.
- ↑ Chang, Jung; Halliday, Jon (2006). Mao: The Unknown Story. Anchor. p. 864. ISBN 0-679-74632-3.
- ↑ "江青的影展与毛泽东的批评". People's Daily Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-13. สืบค้นเมื่อ 2009-01-07.
- ↑ Ye, Yonglie (1993). 江青传. Beijing: Writers Publishing House. ISBN 7506307294.
- ↑ Shangguan, Yun (2013-11-13). "多张红色经典照片将拍卖 包含江青《庐山仙人洞》". China News Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-09-17. สืบค้นเมื่อ 2022-07-22.
- ↑ WuDunn, Sheryl (2000-07-09). "Sympathy for the Demon". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-27.
- ↑ "DVD Review: Epic Chinese film of the Revolution combines propaganda and history". NBR | The Authority since 1970 (ภาษาNew Zealand English). 2022-04-25. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 May 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-11-29.
ข้อมูล
แก้- Li, Jie (2023). Cinematic Guerillas: Propaganda, Projectionists, and Audiences in Socialist China. Columbia University Press. ISBN 9780231206273.
- Sisyphus, John, บ.ก. (2015a). When Chiang Ching was in Shanghai: Actress Lan Ping (ภาษาจีนตัวเต็ม). New Taipei, Taiwan: Sisyphus Publishing. ISBN 978-986-91545-0-5.
- Terrill, Ross (1999). Madame Mao: the white boned demon (Revised ed.). Stanford, CA: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-2922-2.
- Witke, Roxane (1977). Comrade Chiang Ch'ing. Boston, MA: Little-Brown. ISBN 978-0-316-94900-2.
- Zhang, Rong (1991). Wild swans: three daughters of China. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-0-671-68546-1.
อ่านเพิ่ม
แก้- Li, Zhisui (1996) [1994]. The Private Life of Chairman Mao: The Memoirs of Mao's Personal Physician. แปลโดย Tai Hung-Chao. London: Arrow. ISBN 978-0-09-964881-9.
- MacFarquhar, Roderick; Schoenhals, Michael (2006). Mao's Last Revolution. Cambridge, Massachusetts: The Belknap Press of Harvard University Press. ISBN 978-0-674-02748-0.
- A Great Trial in Chinese History: The Trial of the Lin Biao and Jiang Qing Counter-Revolutionary Cliques, Nov. 1980–Jan. 1981 (1st ed.). Beijing: New World Press. 1981. ISBN 978-0-08-027919-0. OCLC 7616202.
- Sisyphus, John, บ.ก. (2015b). Mao Zedong's Standard Bearer: Chiang Ching and the Cultural Revolution (ภาษาจีนตัวเต็ม). Vol. I. New Taipei, Taiwan: Sisyphus Publishing. ISBN 978-986-91545-1-2.
- Sisyphus, John, บ.ก. (2015c). Mao Zedong's Standard Bearer: Chiang Ching and the Cultural Revolution (ภาษาจีนตัวเต็ม). Vol. II. New Taipei, Taiwan: Sisyphus Publishing. ISBN 978-986-91545-2-9.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Feature on Madame Mao by the International Museum of Women (archived 9 December 2008)
- Jiang Qing's tomb (archived 31 August 2009)
- Hudong.com, Jian Qing เก็บถาวร 6 เมษายน 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 84-minute documentary film (on-line, in Chinese)
- Jiang, Qing 1914- 1991, Wilson Center Digital Archive