เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
เจฟฟรีย์ ไลโอเนล ดาห์เมอร์ (อังกฤษ: Jeffrey Lionel Dahmer; 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 – 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994) หรือที่รู้จักกันในชื่อ มนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี (The Milwaukee Cannibal) หรือ สัตว์ประหลาดมิลวอกี (The Milwaukee Monster) เป็นฆาตกรต่อเนื่องและผู้กระทำทารุณทางเพศชาวอเมริกัน ที่ฆ่าคนและหั่นศพชายรวม 17 ศพในช่วงปี ค.ศ. 1978–1991[3] รวมทั้งการกระทำในการฆาตกรรมหลายครั้งในช่วงหลังได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์กับศพ[4] การกินคน การเก็บรักษาชิ้นส่วนมนุษย์ รวมถึงโครงกระดูกมนุษย์ ทั้งในลักษณะเป็นชิ้นส่วนและทั้งร่าง[5]
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ | |
---|---|
เกิด | เจฟฟรีย์ ไลโอเนล ดาห์เมอร์ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 มิลวอกี รัฐวิสคอนซิน สหรัฐ |
เสียชีวิต | 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 พอร์เทจ รัฐวิสคอนซิน สหรัฐ | (34 ปี)
สาเหตุเสียชีวิต | ถูกฆ่าโดยที่สมองได้รับบาดเจ็บจากการกระทบหรือกระแทก (กะโหลกศีรษะแตก และสมองได้รับการกระทบกระเทือน) [1] |
สุสาน | ฌาปนกิจ โดยเถ้ากระดูกถูกส่งมอบให้ผู้ปกครอง |
ชื่ออื่น | มนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี สัตว์ประหลาดมิลวอกี |
พิพากษาลงโทษฐาน |
|
บทลงโทษ | จำคุกตลอดชีวิต โดยศาลมิให้ประกันตัว (ทั้งหมด 16 กระทง จำคุกรวมทั้งสิ้น 941 ปี) |
รายละเอียด | |
ผู้เสียหาย | 17 ราย |
ระยะเวลาอาชญากรรม | ค.ศ. 1978–ค.ศ. 1991 |
ประเทศ | สหรัฐ |
รัฐ | โอไฮโอ และวิสคอนซิน |
วันที่ถูกจับ | 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 |
จำคุกที่ | เรือนจำโคลัมเบีย พอร์เทจ รัฐวิสคอนซิน สหรัฐ |
ถึงแม้ว่าเขาเคยถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (borderline personality disorder, ย่อ: BPD) [6] , มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพจากโรคจิตเภท (Schizotypal personality disorder, ย่อ: STPD หรือ SPD)[7] และเป็นโรคจิต แต่ในการพิจารณาคดีในชั้นศาลของดาห์เมอร์ เขาถูกพบว่าเขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตที่ปกติ เขาถูกตัดสินว่าได้กระทำผิดในการฆาตกรรม 15 ใน 16 ครั้งในรัฐวิสคอนซินและถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต 15 คดีในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992[8] และในเวลาต่อมา ดาห์เมอร์ถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตเพิ่มเป็น 16 คดีสำหรับการฆาตกรรมในรัฐโอไฮโอในปีค.ศ. 1978
ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 ดาห์เมอร์ถูกทุบตีจนเสียชีวิตโดย คริสโตเฟอร์ สคาร์เวอร์ เพื่อนของดาห์เมอร์ที่อยู่ในเรือนจำเดียวกัน (สถาบันราชทัณฑ์โคลัมเบีย ในเมืองพอร์เทจ รัฐวิสคอนซิน)
ประวัติ
แก้วัยเด็ก
แก้ดาห์เมอร์เกิดในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 ในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน[9] เป็นบุตรชายคนโตของจอยซ์ แอนเนตต์ (Joyce Annette) (สกุลเดิม: ฟลินท์) (7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1936 – 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000) ผู้สอนใช้งานโทรเลข[8] และไลโอเนล เฮอร์เบิร์ต ดาห์เมอร์ (Lionel Herbert Dahmer) (เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1936) นักเรียนเคมี ซึ่งต่อมาเป็นนักวิจัยเคมีที่มหาวิทยาลัยมาร์เค็ตต์[10] (Marquette University) ไลโอเนล ดาห์เมอร์มีเชื้อสายบรรพบุรุษจากชาวเยอรมันและชาวเวลส์[11] และจอยซ์ ดาห์เมอร์มีเชื้อสายบรรพบุรุษจากชาวนอร์เวย์และชาวไอริช[12]
จากหลายแหล่งข้อมูลรายงานว่าในตอนที่ดาห์เมอร์เป็นเด็กทารก ดาห์เมอร์ไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัว[13] อย่างไรก็ตาม จากแหล่งข้อมูลแหล่งอื่นบอกเป็นนัยว่าโดยปกติแล้วในตอนที่ดาห์เมอร์เป็นเด็กทารก ดาห์เมอร์ได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่มากเกินไป ถึงแม้ว่าแม่ของเขาเป็นคนตึงเครียด อยากได้ความใส่ใจจากพ่อแม่และความเห็นอกเห็นใจ และขัดแย้งกับสามีของเธอ และเพื่อนบ้านของเธอ[14]
เมื่อดาห์เมอร์เข้าเรียนปีแรก มหาวิทยาลัยที่ไลโอเนล พ่อของเขาเรียน ก็ไกลจากบ้านเขามาก กล่าวคือในเวลาที่พ่อของเขาอยู่บ้าน แม่ของเขามักจะคิดไปเองว่าตนป่วย หรือที่เรียกว่าโรคไฮโปคอนเดรีย (Hypochondria) ซึ่งเป็นผลกระทบจากอารมณ์ซึมเศร้า เธอต้องการความใส่ใจอย่างต่อเนื่อง และใช้เวลาบนที่นอนมากขึ้น[15] และในครั้งหนึ่ง เธอเคยพยายามที่จะฆ่าตัวตายด้วยสารเคมีอิเควนิล (Equanil) [15] ผลที่สุดก็คือ ไม่ใช่ทั้งคู่ที่จะใช้เวลาใส่ใจลูกของเขาเท่าที่ควร ซึ่งพวกเขาระลึกได้ในเวลาต่อมา ว่าตอนที่ดาห์เมอร์ยังอายุน้อย เขารู้สึก “ไม่มีความมั่นใจในความมั่นคงของครอบครัว”[16] ดาร์เมอร์รู้สึกถึงความตึงเครียด และในตอนที่ดาห์เมอร์ยังอายุน้อย พ่อกับแม่ของเขามักทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง[17]
ดาห์เมอร์เป็นเด็กที่ร่าเริงและขะมักเขม้น แต่หลังจากที่เขาได้รับการผ่าตัดช่องท้องตอนเขาอายุย่างเข้า 4 ขวบ[18] เขากลายเป็นคนที่สยบโดยสังเกตได้[19] ตอนที่ดาห์เมอร์อยู่โรงเรียนประถม เขาถูกมองว่าเป็นคนที่เงียบและเขินอาย ครูคนหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมา เธอระลึกได้ว่าเธอรู้ถึงการที่ดาห์เมอร์ถูกเลี้ยงดูแบบปล่อย[20] เนื่องมาจากการที่พ่อของเขาไม่อยู่ดูแล และอาการป่วยของแม่ของเขา ซึ่งมีมีอาการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตอนที่เธอตั้งครรภ์ครั้งที่สอง[21] อย่างไรก็ตาม ในโรงเรียนประถม ดาห์เมอร์มีเพื่อนในวัยเรียนอยู่ไม่มากนัก[22]
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 1966 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่อาศัยใน ดอยลส์ทาวน์ รัฐโอไฮโอ (Doylestown, Ohio) [23] ตอนที่จอยซ์ แม่ของเขาคลอดลูกในเดือนธันวาคม เขาได้รับอนุญาตให้ตั้งชื่อน้องชายของเขา เขาจึงตั้งขื่อว่าเดวิด[24] ในปีเดียวกัน ไลโอเนล พ่อของเขาได้รับปริญญา[25] และเริ่มทำงานเป็นนักเคมีวิเคราะห์ ใกล้กับเมืองแอครัน รัฐโอไฮโอ (Akron, Ohio) [26]
ตั้งแต่ตอนที่ดาห์เมอร์อายุยังน้อย ดาห์เมอร์ให้ความสนใจในซากสัตว์หรือสัตว์ที่ตายแล้ว การหลงเสน่ห์ของเขาที่มีต่อสัตว์ที่ตายแล้วอาจเริ่มขึ้นตอนเขาอายุ 4 ขวบ เขาเห็นพ่อของเขากำลังย้ายกระดูกสัตว์จากในดินบริเวณบ้านของเขา สอดคล้องกับไลโอเนล ดาห์เมอร์ตื่นเต้นเร้าใจแบบแปลก ๆ เมื่อได้ยินเสียงที่เกิดจากกระดูก และรู้สึกติดอกติดใจกับกระดูกสัตว์ ซึ่งเขาเรียกว่า “ความเหลวไหล” ของเขา เขาค้นใต้ดินรอบบ้านของเขาเป็นครั้งคราวเพื่อหากระดูกสัตว์เพิ่มเติม และได้สำรวจตรวจค้นร่างของสัตว์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อค้นหาว่ากระดูกสัตว์อยู่ตรงไหนบ้าง[15]
ในปีค.ศ. 1968 ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่เขตเมืองบาธ ซัมมิทเคาน์ตี รัฐโอไฮโอ (Bath Township, Summit County, Ohio) [note 2] ซึ่งเป็นที่อยู่ที่สามของครอบครัวเขาในรอบ 2 ปี และเป็นที่อยู่ที่หกตั้งแต่พ่อของเขาแต่งงาน[28][note 3] บ้านตั้งอยู่ในป่า มีพื้นที่ 1½ เอเคอร์ มีกระท่อมหลังเล็กซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านไม่มาก ซึ่งเป็นที่ที่ดาห์เมอร์สะสมแมลงตัวใหญ่ เช่น แมลงปอ และผีเสื้อกลางคืน และโครงกระดูกของสัตว์ขนาดเล็ก เช่น ชิปมังค์ และกระรอก[29] ซากพืชซากสัตว์เหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ในโหลหรือกระปุกที่มีฟอร์มาลีน ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในกระท่อมหลังดังกล่าว[30]
หมายเหตุ
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ "Dahmer Autopsy Completed". United Press International. November 29, 1994. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 28, 2022. สืบค้นเมื่อ April 28, 2022.
- ↑ Lavin, Cheryl (October 13, 1991). "Defending Dahmer". ชิคาโกทริบูน. สืบค้นเมื่อ October 11, 2022.
- ↑ "Jeffrey Dahmer's Inferno". Vanity Fair (magazine). November 1, 1991. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2022. สืบค้นเมื่อ April 28, 2022.
- ↑ Masters 1993, p. 136.
- ↑ Norris, p. 214.
- ↑ Dvorchak & Holewa 1992.
- ↑ Ellens, J. Harold (2011). Explaining Evil, Volume 1. Santa Barbara, CA: Praeger. p. 181. ISBN 978-0-313-38715-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 5, 2016. สืบค้นเมื่อ January 23, 2016.
- ↑ 8.0 8.1 Campbell.
- ↑ Masters 1993, p. 26.
- ↑ Masters 1993, p. 33.
- ↑ Masters 1993, p. 19.
- ↑ Klotsche, Charles (1995). The Silent Victims: The Aftermath of Failed Children on Their Mothers' Lives. Los Angeles: Pan American Press. pp. 19–20. ISBN 0-9673890-2-X.
- ↑ Martens, Willem (August 2011). "Sadism Linked to Loneliness: Psychodynamic dimensions of the Sadistic Serial killer Jeffrey Dahmer". Psychoanalytic Review. New York City: Guilford Press. 98 (4): 493–514. doi:10.1521/prev.2011.98.4.493. PMID 21864144.
- ↑ Campbell, p. 11.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Masters 1993, p. 32.
- ↑ Masters 1993, pp. 32–39.
- ↑ ์Norris 1992, pp. 69–70.
- ↑ Masters 1993, p. 30.
- ↑ "Jeffrey Dahmer". Biography.com. A&E Networks. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 7, 2020. สืบค้นเมื่อ June 14, 2017.
- ↑ Norris 1992, p. 61.
- ↑ Norris 1992, pp. 61–62.
- ↑ Masters 1993, pp. 35–36.
- ↑ 23.0 23.1 Masters 1993, p. 34.
- ↑ Dahmer 1994, p. 61.
- ↑ "Jeffrey Dahmer's Biography: A Child Grows Up to Become a Killer". The Bradenton Herald. August 25, 1991. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2022. สืบค้นเมื่อ May 30, 2022.
- ↑ Davis 1991, p. 20.
- ↑ Schwartz 1992, p. 38.
- ↑ Masters 1993, p. 36.
- ↑ "'He Killed Them So They Wouldn't Leave'". Quad City Times. August 11, 1991. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2021. สืบค้นเมื่อ November 5, 2021.
- ↑ Masters 1993, p. 45.
บรรณานุกรม
แก้- Aggrawal, Anil (2016). Necrophilia: Forensic and Medico-legal Aspects. Boca Raton, Florida: CRC Press. ISBN 978-1-4200-8913-4.
- Campbell, Duncan (บ.ก.). "Murder in Mind – Jeffrey Dahmer the Milwaukee serial killer". Murder in Mind. London, England: Marshall Cavendish (5). ISSN 1364-5803.
- Dahmer, Lionel (1994). A Father's Story. New York City: William Morrow. ISBN 978-0-688-12156-3.
- Davis, Don (1991). The Jeffrey Dahmer Story: An American Nightmare. New York City: Macmillan. ISBN 978-0-312-92840-7.
- Dvorchak, Robert J.; Holewa, Lisa (1992). Milwaukee Massacre: Jeffrey Dahmer and the Milwaukee Murders. New York City: Dell Publishing. ISBN 978-0-7090-5003-2.
- Ewing, Charles Patrick; McCann, Joseph T. (2006). Minds on Trial: Great Cases in Law and Psychology. Oxford, England: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-518176-0.
- Gadd, David; Jefferson, Tony (2007). Psychosocial Criminology: An Introduction. London: Sage Publishing. ISBN 978-1-446-23482-2.
- Haycock, Dean A. (2014). Murderous Minds: Exploring the Criminal Psychopathic Brain: Neurological Imaging and the Manifestation of Evil. New York City: Pegasus Books. ISBN 978-1-60598-498-8.
- Masters, Brian (1993). The Shrine of Jeffrey Dahmer. London, England: Hodder & Stoughton. ISBN 978-0-340-59194-9.
- Norris, Joel (1992). Jeffrey Dahmer. London, England: Constable & Robinson. ISBN 978-0-09-472060-2.
- Ratcliff, Roy; Adams, Lindy (2006). Dark Journey, Deep Grace: Jeffrey Dahmer's Story of Faith. Abilene, Texas: Leafwood Publishing. ISBN 978-0-9767790-2-5.
- Ressler, Robert; Shachtman, Tom (1997). I Have Lived in the Monster: A Report From The Abyss. New York City: St. Martin's Press. ISBN 978-0-312-15552-0.
- Roy, Jody M. (2002). Love to Hate: America's Obsession with Hatred and Violence. New York City: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-12569-7.
- Schwartz, Anne E. (1992). The Man Who Could Not Kill Enough. New York City: Citadel. ISBN 978-1-55972-117-2.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Wilson, Colin; Wilson, Damon (2006). The World's Most Evil Murderers: Real-Life Stories of Infamous Killers. Bath, England: Parragon Books Ltd. ISBN 978-1-405-48828-0.
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "note" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="note"/>
ที่สอดคล้องกัน