อันโตน ฟัน ไดก์
อันโตน ฟัน ไดก์ (ดัตช์: Antoon van Dyck, Antoon van Dijck) หรือ แอนโทนี แวน ไดก์ (อังกฤษ: Anthony van Dyck;[2] 22 มีนาคม ค.ศ. 1599 – 9 ธันวาคม ค.ศ. 1641) เป็นจิตรกรยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชาวเฟลมมิชซึ่งมาเป็นจิตรกรคนสำคัญประจำราชสำนักพระเจ้าชาลส์ที่ 1ที่อังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้มีความเชี่ยวชาญในการเขียนภาพสีน้ำมัน โดยเฉพาะภาพเหมือน ภาพเขียนที่มีชื่อเสียงของฟัน ไดก์เป็นภาพเหมือนของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 และครอบครัวซึ่งวางท่าลักษณะสบายแต่สง่าแบบที่กลายมาเป็นแบบที่ใช้ในการเขียนภาพเหมือนต่อมาในอังกฤษเป็นเวลาราว 150 ปี
นอกจากภาพเหมือนแล้ว ฟัน ไดก์ยังเขียนภาพจากพระคัมภีร์และตำนานเทพ และเป็นจิตรกรคนสำคัญผู้ริเริ่มใช้สีน้ำและกลวิธีพิมพ์กัดกรด (etching)
ชีวิตเบื้องต้น
แก้อันโตน ฟัน ไดก์เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งที่แอนต์เวิร์ปในประเทศเบลเยียมปัจจุบัน และเป็นผู้มีความสามารถทางการเขียนมาตั้งแต่ต้น ภายในปี ค.ศ. 1609 ก็ได้เข้าศึกษาการเขียนภาพกับแฮ็นดริก ฟัน บาเลิน (Hendrick van Balen) และเป็นช่างเขียนอิสระเมื่อปี ค.ศ. 1615 ตั้งโรงฝึกงานร่วมกับยัน เบรอเคิล ผู้ลูก (Jan Brueghel the Younger) เพื่อนรุ่นน้อง[3] เมื่อมีอายุได้ 15 ปี อันโตน ฟัน ไดก์ก็เป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงแล้วจากที่เห็นได้จาก "ภาพเหมือนตนเอง" ที่เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1613-1614 อันโตนได้รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมช่างนักบุญลูกาแห่งแอนต์เวิร์ป ในฐานะช่างเขียนอิสระเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1618.[4]
ภายในสองสามปึก็ได้เป็นผู้ช่วยเอกของเปเตอร์ เปาล์ รือเบินส์ จิตรกรผู้มีชื่อเสียงของแอนต์เวิร์ปและทางตอนเหนือของยุโรปทั้งหมด ผู้ใช้วิธืจ้างโรงฝึกงานย่อย ๆ ให้ทำงานให้โรงฝึกงานใหญ่ของรือเบินส์เอง รือเบินส์มีอิทธพลต่อฟัน ไดก์เป็นอันมาก และกล่าวถึงลูกศิษย์อายุ 19 ปีว่าเป็น "ลูกศิษย์คนเก่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์คนอื่น ๆ"[5] ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์จะเป็นอย่างไรไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่สันนิษฐานกันว่าฟัน ไดก์เป็นลูกศิษย์ของรือเบินส์ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1613 เพราะงานในสมัยนั้นมีลักษณะอิทธิพลของรือเบินส์ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรแน่นอนไปกว่านี้[6] และอาจจะเป็นได้ว่า ถึงแม้ฟัน ไดก์จะกลับมาแอนต์เวิร์ปบ้างในบางครั้ง แต่ฟัน ไดก์ก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศเพราะเมืองแอนต์เวิร์ปเริ่มหมดความสำคัญลง[6] ในปี ค.ศ. 1620 รือเบินส์ได้รับงานชิ้นสำคัญในการเขียนภาพบนเพดานวัดเยสุอิตที่แอนต์เวิร์ป (ปัจจุบันถูกทำลายไปแล้ว) ฟัน ไดก์เป็นผู้หนึ่งที่ระบุไว้ว่าเป็นผู้วาดภาพจากการออกแบบของรือเบินส์[7]
อิตาลี
แก้ในปี ค.ศ. 1620 โดยการแนะนำของพี่ชายของดุ๊กแห่งบักกิงงัม อันโตน ฟัน ไดก์เดินทางไปอังกฤษเป็นครั้งแรกเพื่อไปทำงานในราชสำนักของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษเป็นเงินจำนวน 100 ปอนด์[6] ในลอนดอนฟัน ไดก์ได้เห็นงานของทิเชียนที่สะสมโดยทอมัส เฮาเวิร์ด เอิร์ลที่ 21 แห่งอารัลเดลเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นงานการใช้สีและการวางองค์ประกอบที่ฟัน ไดก์นำมาปรับปรุงเข้ากับทฤษฏีที่เรียนมากับรือเบินส์มาเป็นการวางรูปและการใช้สีแบบใหม่ของฟัน ไดก์เอง[8]
สี่เดือนหลังจากนั้นฟัน ไดก์ก็กลับไปฟลานเดอส์ และในปี ค.ศ. 1621 ก็ได้เดินทางต่อไปอิตาลี ไปเรียนเพิ่มความรู้ในการเขียนภาพและสร้างชื่อเสียงอยู่ที่นั่น 6 ปี เมื่ออยู่ที่นั่นฟัน ไดก์ก็มีชื่อเสียงว่าไม่เหมือนใคร เริ่มวางมาตรอย่างมิใช่คนอื่นซึ่งทำให้เป็นที่รำคาญของจิตรกรกลุ่มที่ใช้ชีวิตแบบโบฮีเมียที่โรม จนเบลลอรีกล่าวว่าฟัน ไดก์วางท่าเหมือนเซอูซิส เหมือนกับว่าฟัน ไดก์จะเป็นเจ้านายมากกว่ามนุษย์เดินดิน ฟัน ไดก์จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราเพราะความที่เคยอยู่ในแวดวงของรือเบินส์และคนชั้นสูง ๆ อื่น ๆ และตัวของฟัน ไดก์เองก็เป็นคนหัวสูงอยู่แล้วจึงต้องทำตัวให้เป็นที่เด่น โดยการแต่งตัวด้วยผ้าไหม ใส่หมวกปักขนนกกลัดด้วยเข็มกลัดอัญมณี ใส่สร้อยทองบนใหล่และมีคนใช้ติดตาม[9]
ฟัน ไดก์ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เจนัวแต่ก็ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ และไปอยู่ที่ปาแลร์โมในซิซิลีอยู่พักหนึ่ง ระหว่างที่อยู่เจนัวก็เขียนรูปให้กับเจ้านายที่นั่นโดยการเขียนภาพเหมือนแบบเต็มตัวที่ได้อิทธิพลมาจากการเขียนแบบเวโรนา, ทิเชียน และรือเบินส์ ซึ่งผู้เป็นแบบจะดูสูงแต่สง่าและมองลงมาหาผู้ดูอย่างทรนง ในปี ค.ศ. 1627 ฟัน ไดก์เดินทางกลับไปแอนต์เวิร์ปและไปอยู่ที่นั่นอีกห้าปีเขียนภาพให้กับชาวเฟลมมิชตามลักษณะที่เขียนที่เจนัวคือทำให้ผู้เป็นแบบมีลักษณะที่สง่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ งานเขียนรูปเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล 24 ภาพที่บรัสเซลส์ถูกทำลายไปหมดเมื่อปี ค.ศ. 1695[10] ฟัน ไดก์มีเสน่ห์กับลูกค้าและเหมือนกับรือเบินส์ที่เข้ากับเจ้านายได้อย่างสนิทสนมจึงสามารถได้รับสัญญาว่าจ้างจากลูกค้า เมื่อปี ค.ศ. 1630 ฟัน ไดก์ก็ได้เป็นช่างเขียนประจำสำนักของอาร์คดัชเชสอิสซาเบลลาผู้ว่าการฟลานเดอส์ของฮับส์บูร์ก ในระยะเดียวกันนี้ฟัน ไดก์ก็วาดจิตรกรรมทางศาสนาหลายชิ้นโดยเฉพาะฉากแท่นบูชาและเริ่มงานภาพพิมพ์ด้วย
อังกฤษ
แก้พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งของอังกฤษที่นิยมการสะสมศิลปะเพราะทรงถือว่าเป็นเครื่องส่งเสริมความหรูหราโอ่อ่าของพระบารมีขึ้น ในปี ค.ศ. 1628 ทรงซึ้องานสะสมศิลปะของกอนซากา ดุ๊กแห่งมานตัวที่จำต้องขาย นอกจากนั้นก็ยังทรงพยายามชักชวนจิตรกรชาวต่างประเทศผู้มีชื่อเสียงเข้ามาทำงานกับราชสำนักตั้งแต่เริ่มขึ้นครองราชย์ เมื่อปี ค.ศ. 1625 ในปี ค.ศ. 1626 ทรงสามารถเชิญโอราซีโอ เจนตีเลสกี จากอิตาลีให้มาตั้งหลักแหล่งในอังกฤษได้ ต่อมาอาร์เตมีเซีย เจนตีเลสกี ลูกสาวและลูกชายบางคนก็ตามมาด้วย ศิลปินผู้ทรงอยากชวนให้มาจะให้มาที่สุดคือรือเบินส์ ผู้ซึ่งต่อมาก็มาอังกฤษในฐานะทางการทูตซึ่งก็มาเขียนรูปด้วย ในปี ค.ศ. 1630 และต่อมาอีกครั้งโดยเอาภาพเขียนจากแอนต์เวิร์ปมาด้วย ระหว่างที่มาอยู่ที่ลอนดอน 9 เดีอนก็ได้รับการรับรองเป็นอย่างดีและได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ดานีเยล ไมเตินส์ ชาวเฟลมมิชเป็นช่างเขียนภาพเหมือนของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ที่ไม่มีอะไรพิเศษนักและการที่พระเจ้าชาลส์ที่ 1 มีพระวรกายที่สูงเพียงไม่ถึงห้าฟุตก็มิได้ช่วยทำให้การเขียนภาพเหมือนของพระองค์ที่ทำให้ดูสง่าผึ่งผายง่ายขึ้นเท่าใดนัก
ขณะที่ไม่ได้อยู่อังกฤษฟัน ไดก์ก็ยังมีการติดต่อกับทางราชสำนักอังกฤษอยู่ และยังเป็นผู้ช่วยตัวแทนของราชสำนักอังกฤษในการเสาะหาภาพเขียนในยุโรปสำหรับการสะสมของพระเจ้าชาลส์ นอกจากนั้นก็ยังหาภาพของช่างเขียนคนอื่นแล้ว ฟัน ไดก์ก็ยังส่งงานของตนเองไปด้วยรวมทั้งภาพเหมือนของตนเองและเอ็นดิเมียน พอร์เตอร์ (Endymion Porter)--ตัวแทนของพระเจ้าชาลส์คนหนึ่ง--ที่เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1623; ภาพตำนานเทพ "รินาลโดและอาร์มิลดา" (Rinaldo and Armida)-ค.ศ. 1629 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะบอลทิมอร์; และงานศิลปะศาสนาสำหรับพระชายาของพระเจ้าชาลส์ ฟัน ไดก์เขียนภาพของอลิสซาเบ็ธแห่งโบฮีเมียผู้เป็นพระขนิษฐาของพระเจ้าชาลส์ที่กรุงเฮกเมื่อปี ค.ศ. 1632 ในเดือนเมษายนของปีเดียวกันฟัน ไดก์ก็กลับไปอังกฤษและได้เข้ารับราชการในราชสำนักทันที ในเดือนกรกฎาคมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางและได้รับค่าบำรุงปีละ 200 ปอนด์ต่อปี ตามคำบรรยายหน้าที่ว่า "ช่างเขียนเอกประจำพระองค์" นอกจากเงินประจำปีแล้วตามทฤษฏีจะได้ค่าจ้างเขียนภาพแต่ละภาพเป็นจำนวนมากต่างหาก แต่อันที่จริงแล้วพระเจ้าชาลส์มิได้จ่ายค่าบำรุงเป็นเวลาถึงห้าปีและลดราคาค่าเขียนภาพหลายภาพ นอกจากนั้นก็ยังมีบ้านให้ที่ริมแม่น้ำที่แบล็กไฟรเออส์ ซึ่งขณะนั้นอยู่นอกตัวเมืองลอนดอน ฉะนั้นจึงไม่ต้องขึ้นกับสมาคมช่างเขียนของลอนดอน (Worshipful Company of Painter-Stainers) สำหรับบ้านพักนอกเมืองก็เป็นห้องชุดที่วังเอลแธมซึ่งเป็นวังที่ราชวงค์มิได้ใช้แล้ว ห้องเขียนภาพที่แบล็คฟรายเออร์สซึ่งเป็นที่ที่พระเจ้าชาลส์และพระราชินีเฮ็นเรียตตา มาเรียพระชายาชอบเสด็จมาเยี่ยมบ่อย ๆ จนในที่สุดก็ต้องสร้างทางเดินเพื่อเข้าออกได้สะดวก หลังจากฟัน ไดก์เข้ามาเป็นช่างเขียนประจำพระองค์ พระเจ้าชาลส์ก็เกือบมิได้นั่งให้ช่างเขียนอื่นเขียนภาพของพระองค์อีก[6] [11]
อ้างอิง
แก้- ↑ So Ellis Waterhouse (as refs below). But Levey (refs below) suggests that either van Dyck is the sun to which the sun-flower (of popular acclaim?) turns its face, or that it is the face of the King, on the medal he holds, as presented by van Dyck to the world
- ↑ เดิม "van Dijck", ด้วย "IJ" digraph ในภาษาดัตช์. ชื่อ "Anthony" แปลงมาเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาเฟลมมิช Anthonis หรือ Antoon บางครั้งก็จะใช้ Anthonie, Antonio หรือ Anthonio หรือ Antoine ในภาษาฝรั่งเศส และ Anthonio หรือ Antonio ในภาษาอิตาลี ในภาษาอังกฤษใช้ "V" จนกระทั่งมาในระยะหลังจึงเปลี่ยนเป็น "v"
- ↑ Brown, Christopher: Van Dyck 1599-1641, page 15. Royal Academy Publications, 1999. ISBN 0-900946-66-0
- ↑ Gregory Martin, The Flemish School, 1600-1900, National Gallery Catalogues, p.26, 1970, National Gallery, London, ISBN 0-901791-02-4
- ↑ Brown, page 17.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Ellis Waterhouse, "Painting in Britain, 1530-1790", 4th Edn, 1978,pp 70-77, Penguin Books (now Yale History of Art series)
- ↑ Martin, op and page cit.
- ↑ Brown, page 19.
- ↑ Michael Levey, Painting at Court, Weidenfeld and Nicholson, London, 1971, pp 124-5
- ↑ DNB accessed may 14 2007
- ↑ DNB ret May 3, 2007 (causeway, and Eltham)
ดูเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ อันโตน ฟัน ไดก์
ระเบียงภาพ
แก้-
"ภาพเหมือนตนเอง"
ค.ศ. 1621 -
"พระเจ้าชาลส์" (ค.ศ. 1635-1636)
-
"อามอร์ และ ไซคี"
(Amor and Psyche)
ค.ศ. 1638 -
"จอร์จ ดิ๊กบี, เอิร์ลแห่งบริสตอล"
ราว ค.ศ. 1638 -
"เลดีอลิสซาเบธ ธิมเบิลบีและ
ไวท์เคาน์เตสโดรอธี"
(Lady Elisabeth Thimbleby and Vicountess Dorothy)
ค.ศ. 1637 ประเทศเบลเยียม -
"ฟรานส์ ซไนเดอรส์และภรรยา"