หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (นามเดิม อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล ; 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2481) เป็นเจ้านายสตรีของเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของราชอาณาสยามมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ถวายตัวเป็นหม่อมใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 37 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง[1] เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักสยาม กับเจ้านายพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในช่วงที่มีนโยบายปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หม่อม เจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |
---|---|
![]() | |
เกิด | อัญญานางเจียงคำ บุตโรบล 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 |
เสียชีวิต | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 (58 ปี) |
คู่สมรส | พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ |
บุตร | หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล |
บิดามารดา | ท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) อัญญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล |
ชาติกำเนิด แก้
หม่อมเจียงคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 ซึ่งตรงกับวัน 5 เดือนอ้าย แรม 6 ค่ำ ปีเถาะ เอกศก จุลศักราช 1241 (ร.ศ.98) ที่เมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาคนสุดท้องของท้าวสุรินทร์ชมภู (หมั้น บุตโรบล) กับญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล (ธิดาของพระศรีโสภา กับ ญาแม่ทุมมา) หม่อมเจียงคำมีศักดิ์เป็นหลานปู่ในราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) (บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุริยะ) กับอัญญานางทอง บุตโรบล มีศักดิ์เป็นเหลนทวด ในท้าวสีหาราช (พูลสุข หรือ พลสุข) กรมการเมืองอุบลราชธานีชั้นผู้ใหญ่ กับอัญญานางสุภา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท้าวโคตรซึ่งเป็นพระโอรสในพระวรราชปิตา ผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ท้าวโคตร ยังถือเป็นต้นสายสกุล “บุตโรบล” ยังมีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ พระประเทศราชผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 1 กับพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช พระประเทศราชผู้ครองนครจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 ด้วย อันสืบสายมาแต่เจ้าอุปราชนอง แห่งนครหลวงเวียงจันทน์
พี่น้อง แก้
หม่อมเจียงคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ดังนี้[2]
- อัญญานางก้อนคำ สมรสกับ รองอำมาตย์โท พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) อดีตข้าหลวงบริเวณอุบลราชธานี พ.ศ. 2450 บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสิทธิสาร ผู้ช่วยราชการคณะอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี
- อัญญานางอบมา สมรสกับ ท้าววรกิติกา (คูณ) กรมการเมืองผู้ใหญ่อุบลราชธานี
- อัญญานางจันทรา สมรสกับ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) อดีตข้าหลวงประจำเมืองยโสธร พ.ศ. 2434
- อัญญานางเหมือนตา สมรสกับ ท้าวฮวย ศรีสมบูรณ์
- อัญญานางบุญอ้ม สมรสกับ ท้าวอักษรสุวรรณ (หนู อินทรีย์) อดีตนายอำเภออุตรูปลนิคม (ปัจจุบันคืออำเภอม่วงสามสิบ)
- อัญญานางหล้า สมรสกับ ท้าวหนู มงคลศิลป์
- อัญญานางดวงคำ สมรสกับ รองอำมาตย์ตรี ขุนราชพิตรพิทักษ์ (ทองดี หิรัญภัทร์)
- พระโกณฺฑญฺโญ (ท่านคำม้าว บุตโรบล) อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสารพัดนึก (ปัจจุบันคือวัดสารพัฒนึก) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา หม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
เกี่ยวกับนามและสกุล แก้
เกี่ยวกับนามของหม่อมเจียงคำนั้น คำว่า เจียง เป็นภาษาลาวโบราณ ตรงกับภาษาบาลีว่า จาป หมายถึง ธนู ศร หน้าไม้ กระสุน แล่ง (ที่ทำสำหรับวางลูกธนูหรือหน้าไม้ หรือที่ใส่ลูกธนูหน้าไม้สำหรับสะพาย)[3] บางครั้งชาวลาวเรียกว่า หน้าเจียง หรือ เกียง ดังนั้น นามของหม่อมเจียงคำจึงหมายถึง ธนูทองคำ หม่อมเจียงคำ เดิมสกุล บุตโรบล นามสกุลบุตโรบลเป็นนามสกุลที่ทายาทบุตรหลานเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นามสกุลเลขที่ 2692 เขียนแบบอักษรโรมันคือ Putropala [4] ตามบัญชีผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลคือ "นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นายทหารกองหนุน สังกัดกองสัสดีมณฑลอุบล ปู่ชื่อราชบุตร (สุ่ย) บิดาชื่อราชบุตร (คำ)" โดยทั้ง หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา และนายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและทั้ง 2 ท่านเป็นหลานปู่ ในราชบุตร (สุ่ย)
การถวายตัว แก้
พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอีสาณ) เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาปรับปรุงและจัดระบบราชการที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ทรงพอพระทัยต่ออัญญานางเจียงคำ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น) กรมการชั้นผู้ใหญ่ของเมือง จึงได้ทรงขออัญญานางเจียงคำ ต่อเจ้านายผู้ใหญ่ในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) และได้เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองลาวดั้งเดิม ถวายตัวเป็นหม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์
การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม[5] โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า วังสงัด ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลย[6]
ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ แก้
พระเจ้าพุทธวิเศษ หรือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เป็นพระพุทธรูปศิลาแลงปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร เป็นศิลปะยุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับทวาราวดีของสยาม อายุราวพันกว่าปี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดทุ่งศรีวิไล บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นับถือกันว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านชีทวนและตำบลใกล้เคียง ประชาชนนิยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อพระพุทธวิเศษเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือวันขึ้น 14 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เรียกว่า งานปิดทองหลวงพ่อพุทธวิเศษประจำปี ส่วนบ้านชีทวนนั้นเดิมเป็นเมืองขอมโบราณเรียกว่า เมืองซีซ่วน] ภายหลังพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ผู้เป็นต้นราชตระกูลของหม่อมเจียงคำ ได้โปรดให้ท้าวโหง่นคำพร้อมราษฎร 150 ครัวเรือน ยกมาตั้งเป็นบ้านเมืองอีกครั้งที่เมืองซีซ่วน[7] ชาวเมืองเชื่อกันสืบมาว่า ผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวมานานแล้วแต่ไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล สามีภรรยาก็มักพากันมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ตนมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จมากมาย มีตำนานเล่าสืบมาว่าครั้งหนึ่ง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ และหม่อมเจียงคำ ได้เสด็จออกไปเยี่ยมไพร่ฟ้าประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ และได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน ทราบข่าวว่าที่บ้านชีทวนมีพระพุทธศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ สามารถที่จะบนหรือขอสิ่งที่ปรารถนาได้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์พร้อมหม่อมเจียงคำก็ดำริแก่กันว่า แต่เมื่อครั้งเสกสมรสมานานแล้วก็ยังหาได้มีพระโอรสพระธิดาไว้สืบสกุล ทั้งสองพระองค์จึงทรงนำดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลวลงไปสักการบูชาขอพระโอรสพระธิดาจากหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ ต่อมาไม่นานหม่อมเจียงคำก็ทรงพระครรภ์และได้ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ ตามความปรารถนา คือหม่อมเจ้าอุปลีสานและหม่อมเจ้ากมลีสาน[8]
พระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดา แก้
- หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) อดีตประธานกรรมการผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 ท่าน คือ
- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสุพัชร ชุมพล (พ.บ.)
- หม่อมหลวงภัทรีศา ชุมพล
- หม่อมราชวงศ์หญิงพวงแก้ว ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับนายแพทย์กุณฑล สุนทรเวช มีบุตรธิดา 3 คน คือ
- ทิพย์สุดา (สุนทรเวช) ถาวรามร
- พิมพ์แก้ว (สุนทรเวช) มาโกด์
- สิทธิ์สรรพ์ สุนทรเวช
- หม่อมราชวงศ์จาตุรีสาณ ชุมพล สมรสกับนางชูศรี (คงเสรี) ชุมพล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงสุทธิมาน (ชุมพล) โภคาชัยพัฒน์
- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง สวัสดิวัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ และหม่อมเจ้าหญิงฉวีวิลัย สวัสดิวัตน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พะรองค์เจ้าคัคณางยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ
- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสิทธิสาณ ชุมพล
- หม่อมหลวงวราภา ชุมพล
- รองศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล สมรสกับนางอรพันธ์ ชาติยานนท์ มีบุตรธิดา 4 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงวรารมณ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงสมรดา ชุมพล
- หม่อมหลวงกมลพฤทธิ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงรัมภาพันธุ์ ชุมพล
- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ แก้
หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ หม่อมเจียงคำและหม่อมเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ผู้เป็นบุตร ได้อุทิศที่ดินจำนวน 27 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของญาติวงศ์เจ้านายเมืองอุบลราชธานีในอดีต เป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อปี พ.ศ. 2474 ก่อนหน้านี้ ได้บริจาคที่ดินของท่านและญาติ ๆ ให้ใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์แก่แผ่นดิน ได้แก่ ที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ที่ดินของพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) ที่ดินของพระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท ณ อุบล) ที่ดินของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานีหลายแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง (อดีตสถานที่ถวายเพลิงพระศพเจ้าเมืองและพระราชทานเพลิงเจ้านายเมืองอุบลราชธานี) โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี (เดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช) และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์[1]
เกี่ยวกับที่ดินมรดก แก้
แปลงที่ 1 แก้
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนราชบุตร ทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท) บิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ที่ดินแปลงใหญ่นี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เดิมเป็นที่ตั้ง[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี กรมศิลปากร
แปลงที่ 2 แก้
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนหลวง ทิศตะวันตกติดกับถนนราชบุตร (เดิมคือที่ตั้งสโมสรข้าราชการเมืองอุบลราชธานี) ที่ดินแปลงนี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) และเป็นผืนเดียวกันกับที่ดินแปลงที่ 1 เมื่อราชการขยายผังบ้านเมืองออกไปและมีการตัดถนนผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นที่ดิน 2 แปลงดังปรากฏในปัจจุบัน
แปลงที่ 3 แก้
เดิมเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนารีนุกูล ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นบริเวณเดียวกันกับทุ่งศรีเมือง แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดถนนผ่านหน้าโรงเรียน ทำให้พื้นที่ของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีถูกแยกออกไปจากทุ่งศรีเมือง บริเวณกลางทุ่งศรีเมืองนี้เดิมเป็นสถานที่ราชการของเมือง ใช้สำหรับจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง ตลอดจนงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าเมือง คณะอาญาสี่ และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันมีทิศเหนือติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนนครบาล ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ประกอบรัฐพิธีต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี ตลอดจนประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา ประกอบพิธีทางประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัด เช่น เทศกาลวันแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นต้น
แปลงที่ 4 แก้
ทิศเหนือติดกับถนนพิชิตรังสรรค์ ทิศใต้ติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดกับวัดสุทัศนาราม ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลจังหวัดอุบลราชธานี ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี และด้านหลังของศาลจังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณบ้านพักผู้พิพากษาศาล ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) พระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) และพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต)
แปลงที่ 5 แก้
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย) ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี แล้วย้ายไปสร้างใหม่ ณ สำนักงานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ข้างสำนักงานธนารักษ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่
แปลงที่ 6 แก้
ทิศเหนือติดกับวัดไชยมงคล ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนอุปราช ทิศตะวันตกติดกับสุสานโรมันคาทอลิก เดิมเป็นที่ตั้งของกรมทหาร ต่อมาได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชในปี พ.ศ. 2474 และเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี แห่งที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 - 2553 ปัจจุบันทางราชการได้ย้ายศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีไปอยู่ที่ตำบลแจระแม และปรับปรุงอาคารเรียนเดิมของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่ดินแปลงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี โดยอยู่ในความดูแลของเทศบาลนครอุบลราชธานี
แปลงที่ 7 แก้
ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมด 27 ไร่ ซึ่งตกทอดเป็นมรดกของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) และหม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล พระโอรสทั้ง 2 ได้มอบให้ทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์อีสานใต้ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของภาคอีสาน และมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก [9]
อนิจกรรม แก้
หม่อมเจียงคำ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคอัมพาต เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2481 สิริอายุ 59 ปี[10] ณ โฮงพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้เป็นญาติใกล้ชิดของหม่อมเจียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนพิชิตรังสรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี[11] ปัจจุบันทายาทได้นำพระอัฐิของท่านบรรจุไว้ ณ บริเวณฐานตั้งใบเสมาหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) และเจ้านายญาติวงศ์เมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกันสร้างไว้ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ. 2396 ก่อนที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) จะไปราชการศึกสงครามเมืองญวนที่ประเทศเขมร[12]
เกียรติยศ แก้
ธรรมเนียมยศของ หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |
---|---|
การเรียน | ไหว้สาบาทเจ้า |
การแทนตน | กระผม/ดิฉัน |
การขานรับ | ครับผม/ค่ะ |
บรรดาศักดิ์ แก้
- อัญญานางเจียงคำ
- หม่อมเจียงคำ ในพระองค์เจ้าฯ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์
- หม่อมเจียงคำ ในพระองค์เจ้าฯ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์
- หม่อมเจียงคำ ในพระองค์เจ้าฯ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
- หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ กรุงเทพ
- หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้
- พ.ศ. 2455 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.) (ฝ่ายใน)[13]
อนุสรณ์ แก้
- ถนนหม่อมเจียงคำ ในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี
- กลุ่มสืบสาน นำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา[14]
- อาคารหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- วันรำลึกหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันถึงแก่อนิจกรรมของหม่อมเจียงคำ[15]
- กองทุนเครือข่ายแห่งบุญหม่อมเจียงคำอนุสรณ์[16]
พงศาวลี แก้
พงศาวลีของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
พงศาวลีต้นราชตระกูล แก้
พงศาวลีต้นราชตระกูล แก้
พงศาวลีของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง แก้
- ↑ 1.0 1.1 ที่ระลึกครบรอบ 150 ปี พลตรี กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์[ลิงก์เสีย]
- ↑ เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2542.
- ↑ http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-pleang/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B
- ↑ http://phyathaipalace.org.a33.readyplanet.net/
- ↑ เอี่ยมกมล จันทะประเทศ. สถานภาพเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี ระหว่างพ.ศ. 2425-2476. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2538
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-30. สืบค้นเมื่อ 2012-11-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-01. สืบค้นเมื่อ 2016-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-11. สืบค้นเมื่อ 2016-05-23.
- ↑ กลุ่มสืบสานนำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา, หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) : สตรีเมืองดอกบัวงามผู้เดินตามจารีตประเพณีไทยอิสาณ ที่ระลึก 20 ตุลาคม 2553, (อุบลราชธานี : ศิริธรรมออฟเซ็ท, 2553), หน้า 29-33.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-19. สืบค้นเมื่อ 2012-03-23.
- ↑ สัมภาษณ์นางผลา ณ อุบล หลานพระวิภาคย์พจนกิจ บ้านเลขที่ 114 ถนนพิชิตรังสรรค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี วันที่16 เมษายน 2555, วิศปัตย์ ชัยช่วย และคำล่า มุสิกา, ผู้สัมภาษณ์
- ↑ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายใน เก็บถาวร 2022-06-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๒๙ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๐๕, ๒๔ พฤศจิกายน ๑๓๑
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-13. สืบค้นเมื่อ 2016-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-13. สืบค้นเมื่อ 2016-05-23.
- ↑ http://www.guideubon.com/2.0/ubon-story/319/