สุขวิช รังสิตพล

อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย

สุขวิช รังสิตพล (เกิด 5 ธันวาคม พ.ศ. 2478) เป็นนักการเมืองและนักปฏิรูปการศึกษาชาวไทย[1] อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคความหวังใหม่และพรรคไทยรักไทย

สุขวิช รังสิตพล
ม.ป.ช., ม.ว.ม.
รองนายกรัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
25 ตุลาคม พ.ศ. 2537 – 11 ธันวาคม พ.ศ. 2537
(0 ปี 47 วัน)
นายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย
ดำรงตำแหน่ง
25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
(0 ปี 349 วัน)
นายกรัฐมนตรี ชวลิต ยงใจยุทธ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ดำรงตำแหน่ง
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
(1 ปี 134 วัน)
นายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา
ดำรงตำแหน่ง
25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 14 สิงหาคม พ.ศ. 2540
(0 ปี 263 วัน)
นายกรัฐมนตรี ชวลิต ยงใจยุทธ
ก่อนหน้า สัมพันธ์ ทองสมัคร
ถัดไป ชิงชัย มงคลธรรม
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 5 ธันวาคม พ.ศ. 2478 (87 ปี)
พรรค ความหวังใหม่
ไทยรักไทย
คู่สมรส ผิวผ่อง รังสิตพล

ประวัติ

สุขวิช รังสิตพล เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2478 เป็นบุตรของนาย สมบูรณ์ และนาง จินตนา รังสิตผล

ครอบครัว

เขาสมรสกับนาง ผิวผ่อง ณรงค์เดช มีบุตรธิดาทั้งหมด 3 คน ได้แก่[2]

การศึกษา

การทำงาน

  • พ.ศ. 2500 - 2535 บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
  • พ.ศ. 2536 - 2537 ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
  • พ.ศ. 2537 ประธานกรรมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
  • ประธานองค์การรถไฟฟ้ามหานคร

งานการเมือง

เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปีพ.ศ. 2530 และ 2535 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปีพ.ศ. 2534 และเป็นสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคความหวังใหม่ในปีพ.ศ. 2539 และสังกัดพรรคไทยรักไทยในปีพ.ศ. 2545 หลังการยุบรวมพรรคความหวังใหม่เข้ากับพรรคไทยรักไทย[4]

เขาเป็นผู้ดำเนินการแผนปฏิรูปการศึกษาไทยในปีพ.ศ. 2538[5] และเคยได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมืองได้แก่ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนาย ชวน หลีกภัย และรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ[6] และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาลนาย บรรหาร ศิลปอาชา และรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นอกจากนี้เขายังเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2538 – 2539

เขามีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีอื้อฉาวเรื่องการจัดซื้อคอมพิวเตอร์เกินราคาสำหรับโรงเรียน[7] แต่ถูกตัดสินให้พ้นผิดในคดีหมิ่นประมาทในเวลาต่อมา[8] เขายังถูกวิจารณ์ว่ายังคงคำสั่งห้ามนักศึกษารักร่วมเพศและข้ามเพศ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ว่าคนรักร่วมเพศไม่ต่างจากคนติดยาเสพติดที่ต้องการรักษา และไม่ต้องการให้เป็นแบบอย่างแก่เด็ก[9]

หลังจากรัฐประหารในปีพ.ศ. 2549 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549[10]

ปัจจุบัน เขาได้ละเว้นจากการเมืองและได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์[11]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง

  1. คุณพ่อ สุขวิช รังสิตพล วิธีแก้ปัญหาการขาดแคลนที่เรียนของเด็กไทย 4.35 ล้านคน เมื่อปี 2538
  2. เปิดเซฟ อธิบดีณัฐพล ลูกชายสุขวิช รังสิตพล รวยอู้ฟู่กว่า 4.73 พันล้าน
  3. ศิษย์เก่าสิงห์แดง
  4. "การยุบพรรคซบไทยรักไทย". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-03-06. สืบค้นเมื่อ 2005-03-06.
  5. อดีต ส.ส.ปชป.​ เตรียมลงอิสระชิงผู้ว่าฯ กทม. หวังให้บทเรียน ปชป. “สูญพันธุ์”
  6. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๔๙ ราย)
  7. Tom Wingfield (2002). Edmund Terence Gomez (บ.ก.). Democratization and economic crisis in Thailand. Political Business in East Asia. Routledge. p. 269.
  8. "All Quiet on Western Front". Bangkok Post. 28 February 2002.
  9. Rosalind C. Morris (1997). Phillip Brian Harper (บ.ก.). Educating Desire: Thailand, Transnationalism, Transgression. Queer Transexions of Race, Nation, and Gender. Duke University Press. pp. 53–79, at p. 54.
  10. "เปิดรายชื่อ ทั้ง 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี !!!". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-08. สืบค้นเมื่อ 2011-06-02.
  11. คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล
  12. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2007-01-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๑ ตอนที่ ๒๑ ข หน้า ๑, ๓ ธันวาคม ๒๕๓๗
  13. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2015-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๐๙ ตอนที่ ๑๕๔ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๔, ๔ ธันวาคม ๒๕๓๕
  14. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ และเหรียญลูกเสือสดุดี ประจำปี ๒๕๓๘, เล่ม ๑๑๔ ตอนที่ ๒๘ ข หน้า ๓๔, ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๐