สิงคาลกสูตร
สิงคาลกสูตร เป็นพระสูตรหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก หมวดทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ว่าด้วยทิศ ๖ คือบุคคล ๖ ประเภทที่มีควารมสัมพันธ์ต่อบุคคลๆ หนึ่ง และวิธีการปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้น ว่าด้วยมิตรแท้และมิตรเทียม และยังว่าด้วยกรรมกิเลส ๔ อบายมุข ๖ และการไม่ทำความชั่วโดยฐานะ ๔ รวมทั้งหมด ๑๔ ประการ โดยผู้ที่ปราศจากความชั่ว ๑๔ ประการ ถือเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อตายไปก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์[1]
อรรถกถาสิงคาลกสูตรในสุมังคลวิลาสินี กล่าวไว้ว่า "กรรมใดที่คฤหัสถ์ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมไม่มี พระสูตรนี้ ชื่อว่าคิหิวินัย เพราะฉะนั้น เมื่อฟังพระสูตรนี้แล้วปฏิบัติตามที่ได้สอนไว้ ความเจริญเท่านั้นเป็นอันหวังได้ ไม่มีความเสื่อมฉะนี้"[2]
ฝ่าย ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา แสดงความเห็นว่า "พระสูตรนี้ชาวยุโรปเลื่อมใสกันมากว่าจะแก้ปัญหาสังคมได้ เพราะเสนอหลักทิศ ๖ อันแสดงว่าบุคคลทุกประเภทในสังคมควรปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงาม ไม่มีการกดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงไป"[3]
ที่มา แก้
พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ ณ พระนครราชคฤห์ คราวที่ทรงประทับ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ในวันหนึ่ง "เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียกประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน"[4] พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงถามว่า สิงคาลกคฤหบดีบุตรกำลังทำอะไร สิงคาลกคฤหบดีบุตรตอบว่ากำลังไหว้ทิศทั้ง ๖ คามคำสั่งเสียของบิดา
เหตุที่สิงคาลกคฤหบดีบุตรออกมาไหว้ทิศทั้ง ๖ นั้นสืบเนื่องจากบิดาและมารดาของสิงคาลกคฤหบดีบุตรล้วนแต่ศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังเป็นโสดาบัน (มารดาต่อมาได้ออกบวชเป็นภิกษุณี บรรลุอรหันต์ คือพระสิงคาลมาตาเถรี) แต่บุตรของคหบดีไม่ศรัทธาในพระพุทธองค์ เมื่อครั้นคหบดีจะสิ้นใจจึงเกิดความคิดว่า "เราจักให้โอวาทแก่บุตรอย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก ลูกจงนอบน้อมทิศทั้งหลาย เขาไม่รู้ความหมาย จักนอบน้อมทิศทั้งหลาย ลำดับนั้น พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายเห็นเขาแล้ว จักถามว่า เธอทำอะไร แต่นั้น เขาก็จักกล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าสอนไว้ว่า เจ้าจงกระทำการนอบน้อมทิศทั้งหลาย ลำดับนั้น พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลาย จักแสดงธรรมแก่เขาว่า บิดาของเธอจักไม่ให้เธอนอบน้อมทิศทั้งหลายเหล่านั้น แต่จักให้เธอนอบน้อมทิศเหล่านี้ เขารู้คุณในพระพุทธศาสนาแล้วจักทำบุญดังนี้"[5] ครั้นแล้วคบบดีจึงบอกบุตรให้กระทำเช่นนั้น แล้วก็สิ้นชีพไป ส่วนผู้บุตรก็ปฏิบัติตามที่บิดาสั่งเสีย กระทั่งพระพุทธองค์ทรงมาพบเห็น แล้วทรงไต่ถาม ซึ่งสิงคาลกคฤหบดีบุตรตอบพระองค์ว่า ไหว้ทิศทั้ง ๖ เพราะบิดาสั่งเสียไว้
เนื้อหา แก้
สมเด็จพระสัมมาสมัพุทธเจ้าทรงสอนสิงคาลกคฤหบดีบุตรว่า ในอริยวินัยไม่พึงไหว้ทิศแบบนี้ เมื่อเขากราบทูลถามว่า พึงไหว้อย่างไร จึงตรัสว่า "อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" [6] จากนั้นทรงแสดงธรรมเป็นลำดับโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อธรรมต่างๆ ที่ทรงตรัสมา คือ
กรรมกิเลส ๔ คือ การกระทำที่เศร้าหมอง มี ๔ อย่างที่อริยสาวกละได้ คือ ๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลักทรัพย์ ๓. ประพฤติผิดในกาม ๔. พูดปด[7]
ไม่ทำความชั่วโดยฐานะ ๔ คือ อริยสาวกไม่ทำกรรมชั่วโดยฐานะ ๔ คือความลำเอียง เพราะรัก , เพราะชัง , เพราะหลง , เพราะกลัว ทำกรรมชั่ว[8]
อบายมุข ๖ คือ อริยะสาวกไม่เสพปากทางแห่งความเสื่อมทรัพย์ ๖ อย่าง คือ ๑. เป็นนักเลงสุรา ๒. เที่ยวกลางคืน ๓. เที่ยวการเล่น ๔. เล่นการพนัน ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร ๖. เกียจคร้าน . ครั้นแล้วทรงแสดงโทษของอบายมุขแต่ละข้อ ข้อละ ๖ อย่าง[9]
มิตรเทียม ๔ ประเภท คือ ๑. มิตรปอกลอก ๒. มิตรดีแต่พูด ๓. มิตรหัวประจบ ๔. มิตรชวนในทางเสียหาย พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรเทียมทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ [10]
มิตรแท้ ๔ ประเภท คือ ๑. มิตรมีอุปการะ ๒. มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข ๓. มิตรแนะประโยชน์ ๔. มิตรอนุเคราะห์ ( อนุกัมปกะ ) ๒ . พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรแท้ทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ[11]
ทิศ ๖ คือ บุคคล ๖ ประเภท ตามนิยามของอริยสาวก คือ ทิศเบื้องหน้า ได้แก่มารดาบิดา ๒. ทิศเบื้องขวา ได้แก่อาจารย์ ๓. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่บุตรภรรยา ๔. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่มิตรอำมาตย์ ๕. ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ทาส กรรมกร ๖. ทิศเบื้องบน ได้แก่สมณพราหมณ์[12]
เมื่อสิงคาลกคฤหบดีบุตรได้สดับพระธรรมเทศนาก็มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องทิศทั้ง ๖ และการไม่กระทำกรรมชั่ว บังเกิดเลื่อมใสพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต อีกทั้งยัง "เฉลี่ยทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ไว้ในพระพุทธศาสนากระทำกรรมอันเป็นบุญ ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า"[13]
อ้างอิง แก้
- เชิงอรรถ
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๗
- ↑ อรรถกถาสิงคาลกสูตร (สุมังคลวิลาสินี) หน้า ๑๑๒
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๙
- ↑ สิงคาลกสูตร หน้า ๗๗
- ↑ อรรถกถาสิงคาลกสูตร (สุมังคลวิลาสินี) หน้า ๙๖
- ↑ สิงคาลกสูตร หน้า ๗๘
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๗
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๗
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๘
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๘
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๘
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๑๙๘
- ↑ อรรถกถาสิงคาลกสูตร (สุมังคลวิลาสินี) หน้า ๑๑๑ - ๑๑๒
- บรรณานุกรม
- สิงคาลกสูตร ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒
- อรรถกถาสิงคาลกสูตร (สุมังคลวิลาสินี) ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒
- สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2555) พระไตรปิฎกฉบับประชาชน ตอนว่าด้วยพระสูตร กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ