สาธารณรัฐบาตาเวีย

(เปลี่ยนทางจาก สาธารณรัฐปัตตาเวีย)

สาธารณรัฐบาตาเวีย (ดัตช์: Bataafse Republiek; ฝรั่งเศส: République Batave) เป็นรัฐสืบทอดจากสาธารณรัฐเนเธอร์แลนด์แห่งมณฑลทั้งเจ็ด โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1795 และสิ้นสุดลงเมื่อ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1806 เมื่อ หลุยส์ โบนาบาร์ต ได้รับการราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรฮอลแลนด์ โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1801 สาธารณรัฐได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เครือจักรภพบาตาเวีย (ดัตช์: Bataafs Gemenebest) โดยคำว่า "บาตาเวีย" เป็นชื่อของกลุ่มชนเจอร์แมนิก ซึ่งเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษดัตช์ที่ก่อตั้งดินแดนในแถบนี้ โดยวัตถุประสงค์ในการใช้ชื่อนี้ก็เพื่อปลุกความเป็นชาตินิยม

สาธารณรัฐบาตาเวีย
(1795–1801)
Bataafse Republiek
เครือจักรภพบาตาเวีย
(1801–1806)
Bataafs Gemenebest
1795–1806
มหาลัญจกร (ค.ศ. 1802)ของบาตาเวีย
มหาลัญจกร (ค.ศ. 1802)
คำขวัญ"Liberté, Égalité, Fraternité"
(เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ)
สาธารณรัฐบาตาเวียใน ค.ศ. 1797
สาธารณรัฐบาตาเวียใน ค.ศ. 1797
สถานะสาธารณรัฐบริวารของฝรั่งเศส
เมืองหลวงกรุงเฮก
ภาษาราชการดัตช์ ฝรั่งเศส
ภาษากลาง
ฟรีเชีย เยอรมัน
เดมะนิมชาวบาตาเวีย
การปกครองรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐปฏิวัติ
รัฐบาล 
• 1795
คณะกรรมาธิการปฏิวัติ
• 1795–1796
รัฐสภา
• 1796–1798
สมัชชาแห่งชาติ
• 1798–1801
ฝ่ายบริหาร (Uitvoerend Bewind)
• 1801–1805
สภาแห่งรัฐ (Staatsbewind)
• 1805–1806
Rutger Jan Schimmelpenninck
ยุคประวัติศาสตร์สงครามปฏิวัติฝรั่งเศส
19 มกราคม 1795
16 พฤษภาคม 1795
5 มิถุนายน 1806
ประชากร
• 1795
1,883,009[1]
• 1806
2,178,000[2]
สกุลเงินกิลเดอร์
ก่อนหน้า
ถัดไป
สาธารณรัฐดัตช์
ราชอาณาจักรฮอลแลนด์
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์
เบลเยียม
เยอรมนี
ประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ
ราชอาณาจักรแฟรงก์
(คริสต์ศตวรรษที่ 5-10)
ฟริเซีย
(600-734)
จักรวรรดิการอแล็งเฌียง หลังปี 800
  แฟรงก์ตะวันตก (ฝรั่งเศส) อาณาจักรแฟรงก์กลาง (โลทาริงเกีย)
(843–870)
แฟลนเดอส์และโลทาริงเกียในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก
(870–880)
 
แฟลนเดอส์
(862–1384)
และรัฐอื่นๆ
(คริสต์
ศตวรรษ
ที่ 10–14)
ราชอาณาจักรโลทาริงเกีย (ต่อมาเป็นดัชชี) ในแฟรงก์ตะวันออก (เยอรมนี)
(880-1190)

บิชอปแห่ง
ลีแยฌ

(980-1794)


ดัชชีบูลียง
(988-1795)


แอบบีย์
สตาวีลอต
-มาลเมดีย์
(1138-1795)

ดัชชีบราบันต์
(1183-1430)
และรัฐอื่นๆ
(คริสต์ศตวรรษ
ที่ 10–15)

เคาน์ตี/
ดัชชี
ลักเซมเบิร์ก

(963–1443)

เคาน์ตีฮอลแลนด์
(880-1432)
และรัฐอื่นๆ
(คริสต์ศตวรรษ
ที่ 10–15)
เนเธอร์แลนด์ของเบอร์กันดี (1384–1477)
เนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บวร์ค (กลุ่มสิบเจ็ดมณฑล)
(1482–1556)
เนเธอร์แลนด์ของสเปน
(เนเธอร์แลนด์ตอนใต้)

(1556–1714)

สาธารณรัฐดัตช์
(1581–1795)

เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย
(เนเธอร์แลนด์ตอนใต้)

(1714–1795)

การปฏิวัติลีแยฌ
(1789–1792)

สหรัฐเบลเยียม
(1790)
   

ตกเป็นส่วนหนึ่งของ
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
(1795–1804)
และ
จักรวรรดิฝรั่งเศส
(1804–1815)

สาธารณรัฐ
บาตาเวีย

(1795–1806)

ราชอาณาจักร
ฮอลแลนด์

(1806–1810)
 

สหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
(1815-1830)

ราชอาณาจักรเบลเยียม
(ตั้งแต่ 1830)

แกรนด์ดัชชี
ลักเซมเบิร์ก
(รัฐร่วมประมุข)

ราชอาณาจักร
เนเธอร์แลนด์

(ตั้งแต่ 1830)

แกรนด์ดัชชี
ลักเซมเบิร์ก

(ตั้งแต่ 1890)

ในช่วงต้น ค.ศ. 1795 ดินแดนเนเธอร์แลนด์ได้ถูกเข้าแทรกแซงโดยสาธารณรัฐฝรั่งเศส นำไปสู่การล่มสลายลงของสาธารณรัฐดัตช์เก่า ในขณะที่สาธารณรัฐใหม่นั้นได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากชาวดัตช์ ซึ่งถือเป็นผลพวงจากการปฏิวัติที่ได้รับการสนับสนุนโดยประชาชน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปฏิวัติในครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศส จึงทำให้สาธารณรัฐบาตาเวียกลายเป็นรัฐบริวารแห่งแรกในบรรดาสาธารณรัฐพี่น้องของฝรั่งเศส และต่อมาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศสของนโปเลียนในที่สุด การเมืองการปกครองจึงได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสที่สนับสนุนให้มีการรัฐประหารยึดอำนาจอย่างน้อยสามครั้งจนกว่าจะได้ขั้วอำนาจที่ฝรั่งเศสต้องการในขณะนั้น แต่ถึงกระนั้นการร่างรัฐธรรมนูญดัตช์นั้นขับเคลื่อนโดยตรงจากการเมืองภายในประเทศโดยปราศจากอิทธิพลของฝรั่งเศส จนกระทั่งจักรพรรดินโปเลียนได้บังคับรัฐบาลดัตช์ในการรับรองพระอนุชาของพระองค์ หลุยส์ โบนาปาร์ต ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์[3]

การปฏิรูปทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นของสาธารณรัฐบาตาเวียนี้ส่งผลในระยะยาวต่อชาวดัตช์ โครงสร้างการปกครองแบบสมาพันธรัฐของสาธารณรัฐดัตช์เก่านั้นได้ถูกแทนที่ด้วยระบบรัฐเดี่ยว โดยรัฐธรรมนูญที่รับร่างกันเมื่อปีค.ศ. 1798 ถูกยอมรับกันว่ามีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งในชั่วขณะหนึ่งได้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยจนกระทั่งการรัฐประหาร ค.ศ. 1801 ทำให้รัฐบาลตกอยู่ในปกครองของกลุ่มอำนาจต่างๆ ซึ่งก็ตามมาด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีความเป็นประชาธิปไตยนั้นได้ช่วยทำให้การเปลี่ยนผ่านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปีค.ศ. 1848 โดยโยฮาน รูดอล์ฟ ธอร์เบก ที่มีสาระสำคัญในการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ นั้นราบรื่นไปได้ด้วยดี โดยได้มีการก่อตั้งกระทรวงต่างๆ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เนเธอร์แลนด์ที่ยังคงเป็นรากฐานการปกครองมาจวบจนปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าจะมีสถานะเป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลบาตาเวียในวาระต่างๆ กันที่อยู่ในอำนาจก็พยายามที่จะปกครองประเทศอย่างอิสระเพื่อผลประโยชน์ของชาวดัตช์มากกว่าชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้ปกครอง ซึ่งการแข็งข้อนี้นำไปสู่จุดจบของสาธารณรัฐใหม่นี้ ภายหลังจากที่ได้มีการทดลองการปกครองแบบเผด็จการภายใต้การนำของ "Grand Pensionary" ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในสายตาของจักรพรรดินโปเลียน แม้แต่กษัตริย์พระองค์ใหม่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งฮอลแลนด์ (พระอนุชาในพระจักรพรรดินโปเลียน) ก็ยังปฏิเสธที่จะอ่อนน้อมต่อรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่จุดจบของพระองค์ในที่สุด

ภูมิหลัง

แก้

วาระสุดท้ายของสาธารณรัฐดัตช์ซึ่งปกครองเนเธอร์แลนด์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มีมูลเหตุมาจากผลลัพธ์ของสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สี่ โดยพรรคผู้รักชาติ (Patriottentijd) ได้ทำการก่อปฏิวัติต่อการปกครองของสตัดเฮาเดอร์วิลเลิมที่ 5 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ แต่ไม่สำเร็จเพราะถูกเข้าแทรกแซงจากพระเทวัน (พี่เขย) พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1787 เป็นผลทำให้เหล่าผู้ปฏิวัติได้ลี้ภัยในฝรั่งเศส ในขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์โดยระบอบเก่านั้นได้ปรับการปกครองให้เข้มงวดขึ้นโดยผ่านทางผู้สำเร็จราชการ (Grand Pensionary) ลอเรนส์ ปีเตอร์ แวน เดอ สปีเกิล ผู้นิยมระบอบกษัตริย์ และทำให้เนเธอร์แลนด์มีสถานะเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ-ปรัสเซียโดยพฤตินัย และต่อมาได้ลงนามในพระราชบัญญัติรับรอง (Act of Guarantee) อย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1788 โดยที่บริเตนใหญ่ และปรัสเซีย เป็นผู้รับรองสถานะ อีกทั้งยังได้ร่วมในกลุ่มไตรภาคีเป็นพันธมิตรกันทั้งสามประเทศ

การปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งรับเอาแนวคิดทางการเมืองต่างๆ มาหล่อหลอมเหล่าคณะผู้รักชาติชาวดัตช์ทำให้ปลุกแนวคิดปฏิวัติขึ้นอีกครั้ง โดยได้สนับสนุนการปฏิวัติฝรั่งเศส และเมื่อกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสได้เริ่มก่อการเหล่าคณะผู้รักชาติก็มิได้ลังเลเพื่อร่วมปลดปล่อยจากการปกครองอันกดขี่โดยระบอบเก่า ฝั่งเนเธอร์แลนด์ นำโดยสตัดเฮาเดอร์ ก็ได้นำประเทศเข้าร่วมกลุ่มประเทศสหสัมพันธมิตรเพื่อต่อต้านการรุกรานโดยกองทัพของสาธารณรัฐฝรั่งเศส แต่ก็พ่ายแพ้ในที่สุด

การก่อตั้งสาธารณรัฐ

แก้

สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศสได้ลุกลามเข้าสู่เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูหนาวปีค.ศ. 1794 กองทัพฝรั่งเศสได้รุกข้ามแม่น้ำที่เย็นจนเป็นน้ำแข็งอันเคยเป็นพรมแดนทางธรรมชาติป้องกันการรุกรานจากข้าศึกภายนอก และได้รับความช่วยเหลือจากภายใน โดยเฉพาะเหล่าประชาชนจำนวนมากที่ทนไม่ไหวต่อการปกครองในระบอบเก่าโดยต้องการการปลดปล่อย[4]และน้อมรับการช่วยเหลือของฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสสามารถตีฝ่าแนวป้องกันของกองทัพสหสัมพันธมิตร ได้แก่ บริเตนใหญ่ และปรัสเซีย ได้อย่างราบคาบ แต่อย่างไรก็ตาม ได้เกิดการปฏิวัติขึ้นแล้วในหัวเมืองต่างๆ ก่อนที่ทัพฝรั่งเศสจะเข้ามาถึงโดยมีคณะกรรมาธิการปฏิวัติเป็นผู้ปกครองชั่วคราวตามเมืองที่ก่อการสำเร็จ และยังจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวด้วยในเวลาไล่เลี่ยกัน[5] วิลเลิมที่ 5 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ได้หลบหนีลี้ภัยที่อังกฤษผ่านทางเรือหาปลาเมื่อ 18 มกราคม ค.ศ. 1795[6]


ที่มา

แก้
  • Israel, J.I. (1995), The Dutch Republic: Its Rise, Greatness and Fall, 1477–1806, Oxford University Press,ISBN 0-19-873072-1 hardback, ISBN 0-19-820734-4 paperback
  • Schama, S. (1977). Patriots and Liberators. Revolution in the Netherlands 1780–1813. New York: Vintage books. ISBN 0-679-72949-6.
  • Vries, J. de, and Woude, A. van der (1997), The First Modern Economy. Success, Failure, and Perseverance of the Dutch Economy, 1500–1815, Cambridge University Press, ISBN 978-0-521-57825-7

อ้างอิง

แก้
  1. "Volkstelling in de Nederlandsche Republiek, uitgegeven op last der commissie tot het ontwerpen van een plan van constitutie voor het volk van Nederland". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 September 2016. สืบค้นเมื่อ 1 June 2014.
  2. The Netherlands: country population เก็บถาวร 26 ธันวาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Jan Lahmeyer. Retrieved on 28 September 2013.
  3. Schama, pp. 245–270.
  4. Schama, p. 187; Israel, p. 1120.
  5. Schama, pp. 188–190.
  6. Schama, p. 191.