สถูปสาญจี
สถูปสาญจี (ฮินดี: साँची का स्तूप ; อังกฤษ: Sanchi) คำว่าสาญจี คือชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตรายเสน ของรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 46 กิโลเมตร จากเมืองวันพีช และ 10 กิโลเมตรจากเมืองวิทิศา ในส่วนกลางของรัฐมัธยประเทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานทางพระพุทธศาสนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ถึงพุทธศตวรรษที่ 12 และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญในการแสวงบุญของชาวพุทธในดินแดนพุทธภูมิ
กลุ่มพุทธสถานแห่งสาญจี * | |
---|---|
![]() | |
![]() | |
พิกัด | 23°28′50″N 77°44′11″E / 23.480656°N 77.736300°E |
ประเทศ | รัฐมัธยประเทศ
![]() |
ภูมิภาค ** | เอเชีย |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (i)(ii)(iii)(iv)(vi) |
อ้างอิง | 524 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | พ.ศ. 2532 (คณะกรรมการสมัยที่ 13) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
สถูปแห่งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กลุ่มพุทธสถานแห่งสาญจี (Buddhist Monuments at Sanchi) ซึ่งเป็นมรดกโลกที่รักษาไว้เป็นอย่างดี โดยเปิดทำการให้สาธารณะเข้าชมในเวลา 8.00 –17.00 น.[1]
มหาสถูปสาญจี คือโครงสร้างหินเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งสร้างโดยคำสั่งของพระเจ้าอโศกมหาราช ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 แกนกลางของสถูป คือโครงสร้างอิฐรูปครึ่งวงกลมที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ด้านบนของสถูปปัก ฉัตรวลี (ร่มหลายชั้นที่ปักอยู่บนยอดสถูป) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความสำคัญของสถูปนี้ สถูปแห่งนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติและที่เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุ ซุ้มประตูโตรณะทั้ง 4 ด้านแกะสลักและตกแต่งอย่างหรูหรา และมีราวระเบียงล้อมรอบทั้งสถูป
สถูปสาญจี
แก้กลุ่มพุทธสถานสาญจีในปัจจุบันประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาหลายยุคสมัย เริ่มตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมริยะ (พุทธศตวรรษที่ 3) ต่อเนื่องด้วยสมัยจักรวรรดิคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 10) และสิ้นสุดลงในราวพุทธศตวรรษที่ 17 กลุ่มพุทธสถานแห่งนี้คงได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในอินเดีย โดยอนุสรณ์สถานที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุด คือ มหาสถูปซึ่งเรียกอีกอย่างว่า มหาสถูปหมายเลข 1 สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โมริยะ และประดับด้วยเสาอโศก ซึ่งในศตวรรษต่อมาโดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ศุงคะและราชวงศ์สาตวาหนะ มหาสถูปได้รับการขยายและตกแต่งด้วยประตูและราวบันได และยังมีการสร้างสถูปขนาดเล็กในบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะสถูปหมายเลข 2 และ 3[2]
ในเวลาเดียวกันนั้น ยังมีการสร้างโครงสร้างวัดต่างๆ ลงมาจนถึงสมัยจักรวรรดิคุปตะและสมัยต่อๆมา โดยรวมแล้วสถูปสาญจีครอบคลุมถึงวิวัฒนาการส่วนใหญ่ของสถาปัตยกรรมอินเดียโบราณและสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาโบราณในอินเดีย ตั้งแต่ช่วงแรกของพุทธศาสนาและการแสดงออกทางศิลปะครั้งแรก จนถึงการเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในอนุทวีปอินเดีย
-
ภาพวาดของกลุ่มสถูปที่สาญจี วาดโดย F.C. Maisey เมื่อปี พ.ศ. 2394 (สถูปใหญ่บนยอดเขา และสถูปหมายเลข 2 อยู่ด้านหน้า)
-
มหาสถูปหมายเลข 1 เริ่มสร้างเมื่อพุทธศตวรรษที่ 3
-
สถูปหมายเลข 2
-
สถูปหมายเลข 3
-
อาคารทางพระพุทธศาสนา หมายเลข 17
ราชวงศ์โมริยะ (พุทธศตวรรษที่ 3)
แก้มหาสถูปที่สาญจีเป็นโครงสร้างที่เก่าแก่ที่สุดและถูกสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งจักรวรรดิโมริยะในพุทธศตวรรษที่ 3 แก่นของสถูปคือโครงสร้างอิฐทรงครึ่งซีกที่สร้างขึ้นทับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า โดยมีระเบียงยกสูงล้อมรอบฐานและมีราวบันไดและร่มหินบนยอด หรือที่เรียกว่าฉัตรวลี ซึ่งเป็นโครงสร้างคล้ายร่มที่แสดงถึงยศศักดิ์สูง สถูปเดิมมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงครึ่งหนึ่งของสถูปในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายขนาดโดยชาวศุงคะ สถูปถูกปกคลุมด้วยอิฐ ซึ่งต่างจากหินที่ปกคลุมอยู่ในปัจจุบัน[3]
ตามบันทึกของมหาวงศ์ ซึ่งเป็นบันทึกของชาวพุทธในศรีลังกา พระเจ้าอโศกทรงมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับแคว้นสาญจี เมื่อพระองค์เป็นรัชทายาทและเสด็จไปเป็นอุปราชที่เมืองอุชเชน พระองค์ได้หยุดพักที่วิธิศะ (ห่างจากเมืองสาญจี 10 กิโลเมตร) และทรงแต่งงานกับธิดาของนายธนาคารในท้องถิ่นที่นั่น พระองค์มีพระนามว่าเทวี และต่อมาให้กำเนิดพระราชโอรส 2 พระองค์แก่พระเจ้าอโศก คือ อุชเจนิยะและมหินทร และพระราชธิดาอีก 1 พระองค์คือ สังฆมิตตา หลังจากพระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์ มเหนทรได้เป็นหัวหน้าคณะเผยแผ่ศาสนาพุทธที่ส่งไปศรีลังกาภายใต้การอุปถัมภ์ของจักรพรรดิ และก่อนจะเสด็จไปยังเกาะนี้ พระองค์ได้ไปเยี่ยมพระมารดาที่เชติยาคีรีใกล้กับวิธิศะ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองสาญจี พระองค์ประทับอยู่ในวิหารหรืออารามอันโอ่อ่าที่นั่น ซึ่งเชื่อกันว่าพระมารดาได้สร้างขึ้น[4]
เสาหินทรายขัดเงาละเอียด ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาของพระเจ้าอโศก ได้ถูกตั้งขึ้นที่ด้านข้างของประตูโตรณะ ส่วนล่างของเสายังคงตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนบนของเสาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีสาญจีที่อยู่ใกล้เคียง หัวเสาประกอบด้วยสิงโตสี่ตัว ซึ่งอาจรองรับวงล้อแห่งธรรม (ธรรมจักร) เห็นได้จากภาพประกอบนูนต่ำของสาญจี เสานี้มีจารึกพระเจ้าอโศก (พระราชกฤษฎีกาแห่งการแตกแยก) และจารึกในสังขาลิปิ (Shankha Lipi) ประดับในสมัยคุปตะ จารึกพระเจ้าอโศกนั้นสลักด้วยอักษรพราหมียุคแรก แต่จารึกนี้ได้รับความเสียหายมาก คำสั่งที่อยู่ในจารึกนั้นเหมือนกับที่บันทึกไว้ในพระราชกฤษฎีกาสารนาถและโกสัมพี ซึ่งรวมกันเป็นสามกรณีของ "พระราชกฤษฎีกาแห่งการแตกแยก" ของพระเจ้าอโศก จารึกนี้เกี่ยวข้องกับบทลงโทษสำหรับการแตกแยกในคณะสงฆ์ของศาสนาพุทธ:
... ทางนั้นได้กำหนดไว้สำหรับทั้งภิกษุและภิกษุณี ตราบใดที่บุตรและเหลนของฉัน (ยังครองราชย์อยู่ และตราบใดที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ (ยังคงดำรงอยู่) ภิกษุหรือภิกษุณีผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์ จะต้องถูกบังคับให้สวมจีวรขาวและอยู่แยกจากกัน ฉันปรารถนาสิ่งใด? เพื่อให้คณะสงฆ์สามัคคีกันและดำรงอยู่ได้นาน
— พระราชกฤษฎีกาของพระเจ้าอโศกบนเสาสาญจี[5]
ราชวงศ์ศุงคะ (พุทธศตวรรษที่ 4)
แก้จากหลักฐานของอโศกวาทนะ สันนิษฐานว่าสถูปอาจถูกทำลายในช่วงใดช่วงหนึ่งในพุทธศตวรรษที่ 4 เหตุการณ์นี้บางคนเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการขึ้นสู่อำนาจของพระเจ้าปุษยมิตรศุงคะแห่งราชวงศ์ศุงคะ ซึ่งขึ้นครองอำนาจแทนจักรวรรดิโมริยะในฐานะแม่ทัพ มีการเสนอว่าปุศยมิตรอาจทำลายสถูปเดิม และพระเจ้าอัคนิมิตรซึ่งเป็นบุตรชายของพระองค์ได้สร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ สถูปอิฐเดิมถูกปกคลุมด้วยหินในช่วงสมัยศุงคะ รูปแบบการตกแต่งในสมัยศุงคะที่สาญจีมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับรูปแบบของภารหุต รวมไปถึงรั้วรอบนอกที่มหาโพธิวิหารในเมืองพุทธคยาด้วย
มหาสถูปหมายเลข 1 โครงสร้างและการตกแต่งยุคศุงคะ (พุทธศตวรรษที่ 4)' | |
มหาสถูป (ส่วนขยายของสถูปและรั้วล้อมรอบเป็นของ ราชวงศ์ศุงคะ) รั้วล้อมรอบที่ไม่ได้ตกแต่งซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 4 |
ภาพนูนบางส่วนบนราวบันได
|
ประตูโตรณะ
แก้สถูปสาญจีมีซุ้มประตูอยู่โดยรอบ เรียกว่าโตรณะ ลวดลายของซุ้มประตูเหล่านี้นำเสนอแนวคิดเรื่องความรัก สันติ ความจริง ความกล้า[6] ประตูและระเบียงรอบสถูปสร้างโดยราชวงศ์สาตวาหนะ ซึ่งมีศิลาจารึกปรากฏอยู่ตรงขอบบนสุดของประตูโตรณะทางทิศใต้ โดยช่างฝีมือของกษัตริย์ศาตกณี กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์สาตวาหนะ
ดูเพิ่ม
แก้
อ้างอิง
แก้- ↑ "Buddhist Monuments at Sanchi". UNESCO World Heritage Centre.
- ↑ Buddhist Circuit in Central India: Sanchi, Satdhara, Sonari, Andher, Travel Guide. Goodearth Publications. 2010. p. 12. ISBN 9789380262055.
- ↑ Marshall, "A Guide to Sanchi" p. 31
- ↑ Marshall, "A Guide to Sanchi" p. 8ff
- ↑ John Marshall, "A Guide to Sanchi" p. 93 Public Domain text
- ↑ Parul Pandya Dhar (1 ธันวาคม 2010). The Torana in Indian and Southeast Asian Architecture. New Delhi: D K Print World. ISBN 978-8124605349.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- วาทิน ศานติ์ สันติ, บ.ก. (19 กรกฎาคม 2011). "ประวัติศาสตร์ศิลปะ : ศิลปะอินเดียสมัยสมัยราชวงศ์โมริยะ". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2012.