สงครามกรุงทรอย (อังกฤษ: Trojan War) เป็นสงครามระหว่างชาวอะคีอันส์ ​(กรีกโบราณ: Ἀχαιοί) (ชาวกรีก) กับชาวกรุงทรอย หลังปารีสแห่งทรอยชิงพระนางเฮเลนมาจากพระสวามี คือพระเจ้าเมเนเลอัสแห่งสปาร์ตา สงครามดังกล่าวเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในเทพปกรณัมกรีก และมีการบอกเล่าผ่านงานวรรณกรรมกรีกหลายชิ้น ที่โดดเด่นที่สุด คือ อีเลียดและโอดิสซีย์ของโฮเมอร์ มหากาพย์อีเลียดเล่าเรื่องการล้อมกรุงทรอยปีสุดท้าย ส่วนโอดิสซีย์อธิบายการเดินทางกลับบ้านของโอดิสเซียส ส่วนอื่นของสงครามมีการอธิบายในโคลงวัฏมหากาพย์ (Epic Cycle) ได้แก่ ไซเพรีย, เอธิออพิส, อีเลียดน้อย, อีลิอูเพอร์ซิส, นอสตอย, และ เทเลโกนี ซึ่งปัจจุบันเหลือรอดมาเพียงบางส่วน ฯ การศึกแห่งกรุงทรอยเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญที่ กวีและนักประพันธ์โศกนาฏกรรมกรีก เช่น เอสคิลัส (Aeschylus) โซโฟคลีส (Sophocles) และ ยูริพิดีส (Euripides) นำมาใช้ประพันธ์บทละคร นอกจากนี้กวีชาวโรมัน โดยเฉพาะเวอร์จิลและโอวิด ก็ดึงเอาเหตุการณ์จากสงครามทรอยมาเป็นพื้นเรื่อง หรือเนื้อหาส่วนหนึ่งในงานประพันธ์ของตนเช่นกัน

สงครามกรุงทรอย

The Procession of the Trojan Horse in Troy โดยGiovanni Domenico Tiepolo
วันที่ศตวรรษที่ 13 หรือ 12 ก่อนคริสตกาล (ตามรายงาน)
สถานที่
ผล กรีกชนะ
"การเผากรุงทรอย" (1759/62) โดย Johann Georg Trautmann

สงครามกำเนิดจากการวิวาทระหว่างเทพีอะธีนา เฮราและแอโฟรไดที หลังอีริส เทพีแห่งการวิวาทและความบาดหมาง ให้ผลแอปเปิลสีทอง ซึ่งบางครั้งรู้จักกันในนาม "แอปเปิลแห่งความบาดหมาง" แก่ "ผู้ที่งามที่สุด" ซูสส่งเทพีทั้งสามไปหาปารีส ผู้ตัดสินว่าแอโฟรไดที "ผู้งามที่สุด" ควรได้รับแอปเปิลไป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน แอโฟรไดทีเสกให้เฮเลน หญิงงามที่สุดในโลกและมเหสีของพระเจ้าเมเนเลอัส ตกหลุมรักปารีส และปารีสได้นำพระนางไปยังกรุงทรอย อกาเมมนอน พระเจ้ากรุงไมซีนี และพระเชษฐาของพระเจ้าเมเนเลอัส พระสวามีของเฮเลน นำกองทัพชาวอะคีอันส์ไปยังกรุงทรอยและล้อมกรุงไว้สิบปี หลังสิ้นวีรบุรุษไปมากมาย รวมทั้งอคิลลีสและอาแจ็กซ์ของฝ่ายอะคีอันส์ และเฮกเตอร์และปารีสของฝ่ายทรอย กรุงทรอยก็เสียด้วยอุบายม้าโทรจัน ฝ่ายอะคีอันส์สังหารชาวกรุงทรอย (ยกเว้นหญิงและเด็กบางส่วนที่ไว้ชีวิตหรือขายเป็นทาส) และทำลายวิหาร ทำให้เทพเจ้าพิโรธ ชาวอะคีอันส์ส่วนน้อยที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและหลายคนตั้งนิคมในชายฝั่งอันห่างไกล ภายหลังชาวโรมันสืบเชื้อสายของพวกตนไปถึงเอเนียส หนึ่งในชาวกรุงทรอย ผู้กล่าวกันว่านำชาวกรุงทรอยที่เหลือรอดไปยังประเทศอิตาลีในปัจจุบัน

ชาวกรีกโบราณคาดว่าสงครามกรุงทรอยเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 13 หรือ 12 ก่อนคริสตกาล และเชื่อว่ากรุงทรอยตั้งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน ใกล้กับช่องแคบดาร์ดาเนลส์ เมื่อล่วงมาถึงสมัยใหม่ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งสงครามและกรุงทรอยเป็นนิทานปรำปราที่แต่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในปี 1868 นักโบราณคดีชาวเยอรมัน ไฮน์ริช ชไลมันน์พบกับแฟรงก์ คัลเวิร์ท ผู้โน้มน้าวชไลมันน์ว่า กรุงทรอยเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง โดยตั้งอยู่ที่ฮิสซาร์ริคประเทศตุรกี และชไลมันน์เข้าควบคุมการขุดค้นของคัลเวิร์ทบนพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์สินของคัลเวิร์ท[1] คำถามที่ว่ามีความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ใดอยู่เบื้องหลังสงครามกรุงทรอยหรือไม่นั้นยังไม่มีคำตอบ นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่านิยายดังกล่าวมีแก่นความจริงทางประวัติศาสตร์ แม้อาจหมายความว่า เรื่องเล่าของโฮเมอร์เป็นการผสมนิทการล้อมและการออกเดินทางต่าง ๆ ของชาวกรีกไมซีเนียนระหว่างยุคสัมฤทธิ์ก็ตาม ผู้ที่เชื่อว่าเรื่องเล่าสงครามกรุงทรอยมาจากความขัดแย้งในประวัติศาสตร์อย่างเฉพาะมักระบุเวลาไว้ว่าอยู่ในศตวรรษที่ 12 หรือ 11 ก่อนคริสตกาล ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีของการเผาทำลายทรอย 7เอ[2]

ต้นเหตุของสงคราม

แก้

พระประสงค์ของซุส

แก้

การตัดสินของปารีส

แก้
 
การตัดสินของปารีส (1904) โดย เอริเก้ ซิโมเน

มหาเทพซุสทรงทราบคำทำนายจากเทพีเธมิส (Themis) หรือ โพรมีเทียสซึ่งได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำในเทือกเขาคอเคซัสโดยเฮราคลีส ว่าพระองค์จะถูกโค่นลงโดยโอรสของตนเอง เหมือนอย่างที่พระองค์เคยปราบโครนัสพระบิดาของตนมาแล้ว ยังมีอีกคำทำนายหนึ่งว่านางอัปสรทะเล เธทิส ซึ่งพระองค์ตกหลุมรักเข้า จะให้กำเนิดบุตรที่เก่งกล้ากว่าบิดา[3] ด้วยเหตุนี้เธทิสจึงถูกส่งไปเป็นชายาของกษัตริย์มนุษย์ชื่อ เพเลอัส บุตรแห่งไออาคอสตามคำสั่งของมเหสีเฮราผู้เลี้ยงดูเธทิสมา[4]

เทวดาทุกตนได้รับเชิญไปงานอภิเสกสมรสของ เพเลอัส กับ เธทิส และต่างก็นำของขวัญไปมากมาย[5] เว้นก็แต่ เอริส เทพีแห่งความวิวาทขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้ถูกรับเชิญและห้ามเข้ามาในงานตามคำสั่งของซุส[6] เอริสโกรธและรู้สึกเสียหน้า จึงโยนแอปเปิ้ลทองคำ (το μήλον της έριδος) อันเป็นของขวัญที่ตนนำมาเข้าไปในงาน โดยสลักคำว่า καλλίστῃ หรือ "แด่ผู้ที่งามที่สุด"[7] ไว้บนแอปเปิ้ล ฯ สามเทวีแห่งโอลิมปัส ได้แก่ เฮรา, อะธีนา, และ แอโฟรไดที ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในผลแอปเปิ้ล และโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดยอมออกความเห็นตัดสินว่าเทพีองค์ไหนมีความงามเหนือกว่าคู่แข่ง ในที่สุดมหาเทพซุสจึงมีบัญชาให้เทพเฮอร์มีสนำเทวีสวรรค์ทั้งสามไปหาปารีสเจ้าชายแห่งทรอย ปารีสนั้นไม่ทราบถึงชาติกำเนิดของตน เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กเลี้ยงแกะบนภูเขาไอด้า[8] เนื่องจากมีคำนายว่าเด็กคนนี้จะนำความล่มสลายมาสู่กรุงทรอย[9] วันหนึ่งหลังจากปารีสชำระกายด้วยน้ำพุบนเขาไอด้าเสร็จ เทพธิดาทั้งสามก็ปรากฏตัวให้เขาเห็นด้วยสรีระอันเปลือยเปล่า ถึงกระนั้นปารีสก็ยังไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ เหล่าเทวีจึงต้องใช้วิธีติดสินบน โดยอะธีนาเสนอจะทำให้ปารีสเป็นผู้มีปัญญาหยั่งรู้ และมีทักษะในการศึกสงครามเหนือกว่าวีรบุรุษนักรบคนใดๆ, เฮราเสนออำนาจทางการเมือง และสิทธิปกครองทั้งเอเชียให้, ส่วนเทพธิดาแอโฟรไดทีเสนอให้ความรักของสตรีที่งามที่สุดในโลก(ซึ่งหมายถึงเฮเลนแห่งสปาร์ตา)แก่ปารีส ปารีสตกลงมอบแอปเปิ้ลทองคำให้แก่แอโฟรไดที หลังจากนั้นปารีสก็ออกผจญภัยจนกลับมาสู่กรุงทรอย

 
เธทิสมอบอาวุธที่ตีขึ้นโดยเทพช่างเหล็กฮิฟีสตัสแก่อคิลลีสบุตรชายของตน (เครื่องดินเผารูปเขียนสีดำ ไฮเดรีย, 575–550 ก่อนคริสต์ศักราช)

เพเลอัสกับเธทิสให้กำเนิดบุตรชาย และตั้งชื่อให้ว่าอคิลลีส มีคำทำนายว่าหากอคิลลีสไม่ตายในวัยชราโดยไม่มีใครรู้จัก ก็จะตายแต่หนุ่มแน่นในสนามรบแต่กวีจะร้องขับขานวีรกรรมของเขาให้มีเกียรติก้องขจรไกลไปชั่วนิรันด์[10] ต่อมาเมื่ออคิลลีสอายุได้เก้าขวบ แคลคัสโหรเอกของอากาเมมนอน พยากรณ์ว่าจะตีเอากรุงทรอยได้จำเป็นต้องอาศัยกำลังของอะคิลีส[11] มีตำนานจากหลายๆต้นเรื่องระบุว่า เธทิสผู้แม่พยายามทำให้อะคิลีสคงกระพันในขณะที่ยังเป็นทารก บางตำนานเล่าว่าหล่อนถือลูกชายไว้เหนือกองไฟทุกคืน เพื่อเผาส่วนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนของเขาให้สิ้นไป และถูเขาด้วยอมฤตภาพ หรือภัตตาหารเทพแอมโบรเซีย (กรีก: ἀμβροσία) ในเวลากลางวัน การกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการฆ่าลูกชายในเวลากลางคืน และชุบให้ฟื้นขึ้นในเวลากลางวัน เมื่อเพเลอัสพบเห็นเข้าจึงสั่งให้หยุดเสีย[12] อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าเธทิสนำอคิลลีสไปอาบน้ำในแม่น้ำสติกซ์ที่ไหลผ่านปรโลก เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน แต่เพราะหล่อนจับข้อเท้าของบุตรไว้ร่างกายส่วนนี้จึงไม่ถูกน้ำ ไม่ได้รับอมตะภาพและไม่ทนต่อการโจมตี ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ส้นเท้าของอคิลลีส" หมายถึงจุดอ่อน ฯ อคิลลีสเติบโตขึ้นมากลายเป็นนักรบผู้แกล้วกล้าที่สุดในหมู่มนุษย์ ธีทิสผู้แม่กลัวคำทำนายของแคลคัสจึงนำลูกชายไปซ่อนเสียที่เกาะสกีรอส (กรีก: Σκύρος) ณ ราชฐานของกษัตริย์ไลโคมีดีส (กรีก: Λυκομήδης) โดยให้แต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิง[13] แต่โอดิสเซียสใช้ปัญญาล่อให้อคิลลีสเผยตัวออกมา

ปารีสและเฮเลนหนีตามกัน

แก้

การรวบรวมกำลังรบของชาวอะเคียน และการเดินทัพครั้งแรก

แก้

โอดิสเซียสกับอคิลลีส

แก้

การรวมพลที่เอาลิส

แก้

การรวมทัพครั้งที่ 2

แก้

สงครามเก้าปี

แก้

ฟิลัคตีตีส

แก้

ทัพกรีกเดินทางถึงทรอย

แก้

การทัพ ดอแลน ของ อคิลลีส

แก้

อ่านเพิ่ม

แก้

นักเขียนสมัยโบราณ

แก้
  • Apollodorus, Gods & Heroes of the Greeks: The Library of Apollodorus, translated by Michael Simpson, The University of Massachusetts Press, (1976). ISBN 0-87023-205-3.
  • Apollodorus, Apollodorus: The Library, translated by Sir James George Frazer, two volumes, Cambridge MA: Harvard University Press and London: William Heinemann Ltd. 1921. Volume 1: ISBN 0-674-99135-4. Volume 2: ISBN 0-674-99136-2.
  • Euripides, Andromache, in Euripides: Children of Heracles, Hippolytus, Andromache, Hecuba, with an English translation by David Kovacs. Cambridge. Harvard University Press. (1996). ISBN 0-674-99533-3.
  • Euripides, Helen, in The Complete Greek Drama, edited by Whitney J. Oates and Eugene O'Neill, Jr. in two volumes. 1. Helen, translated by E. P. Coleridge. New York. Random House. 1938.
  • Euripides, Hecuba, in The Complete Greek Drama, edited by Whitney J. Oates and Eugene O'Neill, Jr. in two volumes. 1. Hecuba, translated by E. P. Coleridge. New York. Random House. 1938.
  • Herodotus, Histories, A. D. Godley (translator), Cambridge: Harvard University Press, 1920; ISBN 0-674-99133-8. Online version at the Perseus Digital Library].
  • Pausanias, Description of Greece, (Loeb Classical Library) translated by W. H. S. Jones; Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press; London, William Heinemann Ltd. (1918). Vol 1, Books I–II, ISBN 0-674-99104-4; Vol 2, Books III–V, ISBN 0-674-99207-5; Vol 3, Books VI–VIII.21, ISBN 0-674-99300-4; Vol 4, Books VIII.22–X, ISBN 0-674-99328-4.
  • Proclus, Chrestomathy, in Fragments of the Kypria เก็บถาวร 2005-02-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน translated by H.G. Evelyn-White, 1914 (public domain).
  • Proclus, Proclus' Summary of the Epic Cycle เก็บถาวร 2009-10-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, trans. Gregory Nagy.
  • Quintus Smyrnaeus, Posthomerica, in Quintus Smyrnaeus: The Fall of Troy เก็บถาวร 2019-12-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Arthur Sanders Way (Ed. & Trans.), Loeb Classics #19; Harvard University Press, Cambridge MA. (1913). (1962 edition: ISBN 0-674-99022-6).
  • Strabo, Geography, translated by Horace Leonard Jones; Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press; London: William Heinemann, Ltd. (1924)

นักเขียนสมัยใหม่

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
  1. Bryce, Trevor (2005). The Trojans and their neighbours. Taylor & Francis. p. 37. ISBN 978-0-415-34959-8.
  2. Wood (1985: 116–118)
  3. Scholiast on Homer’s Iliad; Hyginus, Fabulae 54; Ovid, Metamorphoses 11.217.
  4. Hesiod, Catalogue of Women fr. 57; Cypria fr. 4.
  5. Photius, Myrobiblion 190.
  6. P.Oxy. 56, 3829 (L. Koppel, 1989)
  7. Apollodorus Epitome E.3.2
  8. Pausanias, 15.9.5.
  9. Euripides Andromache 298; Div. i. 21; Apollodorus, Library 3.12.5.
  10. Homer Iliad I.410
  11. Apollodorus, Library 3.13.8.
  12. Apollonius Rhodius 4.869–879; Apollodorus, Library 3.13.6.
  13. Hyginus, Fabulae 96.