วินสตัน เชอร์ชิล
เซอร์ วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์ เชอร์ชิล (อังกฤษ: Sir Winston Leonard Spencer Churchill;[a] 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 – 24 มกราคม ค.ศ. 1965) เป็นรัฐบุรุษ นายทหาร และนักเขียนชาวบริติชผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง 1945 (ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง) และอีกครั้งตั้งแต่ ค.ศ. 1951 ถึง 1955 ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1900 ถึง 1964 เป็นเวลาประมาณ 62 ปี เขาเป็นสมาชิกสมาชิกรัฐสภา (สหราชอาณาจักร) (MP) และเป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้งทั้งหมด 5 เขตในช่วงเวลานั้น ในด้านอุดมการณ์ เขาเป็นผู้ยึดมั่นในเสรีนิยมทางเศรษฐกิจและจักรวรรดินิยม ตลอดอาชีพส่วนใหญ่ของเขา เขาเป็นสมาชิกของพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเขาเป็นผู้นำตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ถึง 1955 เขาเป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยมตั้งแต่ ค.ศ. 1904 to 1924.
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() เดอะรอริงไลออน, 1941 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 26 ตุลาคม ค.ศ. 1951 – 5 เมษายน ค.ศ. 1955 (3 ปี 161 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กษัตริย์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รอง | แอนโทนี อีเดน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เคลเมนต์ แอตต์ลี | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | แอนโทนี อีเดน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 (5 ปี 77 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กษัตริย์ | จอร์จที่ 6 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รอง | เคลเมนต์ แอตต์ลี (พฤตินัย; 1942–1945) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เนวิล แชมเบอร์ลิน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | เคลเมนต์ แอตต์ลี | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกิด | 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 เบลนิม ออกซฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 24 มกราคม ค.ศ. 1965 ไฮด์พาร์กเกต ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | (90 ปี)||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่ไว้ศพ | โบสถ์เซนต์มาร์ติน บลาดอน ออกซฟอร์ดเชอร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | อนุรักษนิยม (1900–1904, 1924–1964) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | เสรีนิยม (1904–1924) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส | เคลเมนไทน์ โฮซีเออร์ (สมรส 1908) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุตร | 5 รวมถึง ไดอานา, แรนดอล์ฟ, ซาราห์ และแมรี | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุพการี | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การศึกษา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาชีพ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บำนาญ | รายการทั้งหมด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | ไฟล์:Winston Churchill signature.svg | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สังกัด |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประจำการ | 1893–1924 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยศ | รายการทั้งหมด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หน่วย | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บังคับบัญชา | กองพันที่ 6 กรมทหารรอยัลสกอตส์ฟิวซิเลียส์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผ่านศึก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บำเหน็จ | รายการทั้งหมด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ด้วยเชื้อสายผสมระหว่างอังกฤษและอเมริกัน เชอร์ชิลเกิดในออกซฟอร์ดเชอร์ในตระกูลสเปนเซอร์ผู้มั่งคั่งและเป็นชนชั้นสูง เขาเข้าร่วมกองทัพบกบริติชใน ค.ศ. 1895 และเข้าร่วมปฏิบัติการในบริติชอินเดีย สงครามมะฮ์ดีและสงครามบูร์ครั้งที่สอง โดยได้รับชื่อเสียงในฐานะนักข่าวสงครามและเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทัพของเขา ได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาพรรคอนุรักษนิยมใน ค.ศ. 1900 แต่ย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมใน ค.ศ. 1904 ในรัฐบาลเสรีนิยมของเอช. เอช. แอสควิธ เชอร์ชิลดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการค้าและต่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยสนับสนุนการปฏิรูปเรือนจำและประกันสังคมของแรงงาน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาดูแลการทัพกัลลิโพลี แต่หลังจากที่มันพิสูจน์แล้วว่าเป็นหายนะ เขาถูกลดตำแหน่งเป็นสมุหดัชชีแลงแคสเตอร์ เขาลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1915 และเข้าร่วมกองทหารรอยัลสกอตส์ฟิวซิเลียส์ (Royal Scots Fusiliers) ที่แนวรบด้านตะวันตกเป็นเวลาหกเดือน ใน ค.ศ. 1917 เขากลับเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลภายใต้เดวิด ลอยด์ จอร์จ และดำรงตำแหน่งติดต่อกันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุทธภัณฑ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคม โดยดูแลสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์และนโยบายต่างประเทศของอังกฤษในตะวันออกกลาง หลังไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นเวลาสองปี เขาดำรงตำแหน่งสมุหพระคลังในรัฐบาลอนุรักษนิยมของสแตนลีย์ บอลดวิน โดยใน ค.ศ. 1925 เขานำเงินปอนด์สเตอร์ลิงกลับเข้าสู่มาตราทองคำ ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรตกต่ำลง
ในช่วง "ปีแห่งความโดดเดี่ยว" ที่เขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลในทศวรรษ 1930 เชอร์ชิลเป็นผู้นำการเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างกองทัพเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากแสนยนิยมในนาซีเยอรมนี เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น เขาได้รับแต่งตั้งกลับไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 เขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากเนวิล เชมเบอร์ลิน เชอร์ชิลจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติและดูแลการมีส่วนร่วมของอังกฤษในความพยายามทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อฝ่ายอักษะ ซึ่งส่งผลให้ได้รับชัยชนะใน ค.ศ. 1945 หลังพรรคอนุรักษนิยมพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 เขากลายเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางสงครามเย็นที่กำลังก่อตัวกับสหภาพโซเวียต เขาเตือนต่อสาธารณะเกี่ยวกับ "ม่านเหล็ก" แห่งอิทธิพลของโซเวียตในยุโรปและส่งเสริมความเป็นเอกภาพของยุโรป ระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งของเขา เขาเขียนหนังสือหลายเล่มที่เล่าถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงสงคราม เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ค.ศ. 1953 เขาแพ้การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1950 แต่ได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งใน ค.ศ. 1951 วาระที่สองของเขาหมกมุ่นอยู่กับกิจการต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อังกฤษ-อเมริกาและการรักษาส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิบริติช โดยอินเดียไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอีกต่อไป ในประเทศ นโยบายหลักของรัฐบาลของเขาคือโครงการสร้างบ้านขนาดใหญ่ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ด้วยสุขภาพที่ถดถอย เชอร์ชิลลาออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1955 แต่ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาจนถึง ค.ศ. 1964 เมื่อเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1965 เขาได้รับการจัดรัฐพิธีศพอย่างสมเกียรติ
เชอร์ชิล หนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 ยังคงได้รับความนิยมในสหราชอาณาจักรและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ ทั่วไปแล้ว เขาถูกมองว่าเป็นผู้นำในยามสงครามที่นำมาซึ่งชัยชนะ ผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตยเสรีนิยมจากการแพร่กระจายของลัทธิฟาสซิสต์ เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางครั้งเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยมของเขาและความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเชื้อชาติ นอกเหนือจากการตัดสินใจในสงครามบางอย่าง เช่น การทิ้งระเบิดแบบปูพรม แต่กระนั้นนักประวัติศาสตร์ก็ยังจัดเชอร์ชิลให้เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
ชีวิตวัยเยาว์
แก้วินสตันเกิดเมื่อ 30 พฤศจิกายน 1874 ที่วังเบลนิม[2][3] เกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงซึ่งสืบทอดบรรดาศักดิ์ดยุกแห่งมาร์ลบะระ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลสเปนเซอร์[4] ตระกูลขุนนางเก่าแก่ ด้วยเหตุนี้บิดาเขาและตัวเขาจึงใช้นามสกุลว่า "สเปนเซอร์-เชอร์ชิล"[5]
บรรพบุรุษของเขา จอร์จ สเปนเซอร์ ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุล สเปนเซอร์-เชอร์ชิล เมื่อได้ขึ้นเป็นดยุกแห่งมาร์ลบะระในปี 1817 โดยบิดาของวินสตันคือ ลอร์ด รันดอล์ฟ เชอร์ชิล นั้นเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุตรของจอห์น สเปนเซอร์-เชอร์ชิล ดยุกที่ 7 แห่งมาร์ลบะระ ส่วนมารดาของเขา ท่านหญิงรันดอล์ฟ เชอร์ชิล เป็นบุตรสาวของเศรษฐีชาวอเมริกันนามว่าลีโอนาร์ด เจอโรม
เมื่ออายุได้สองขวบ เขาได้ย้ายไปอาศัยในดับลินในไอร์แลนด์ ซึ่งปู่ของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นอุปราชของที่นั่นและแต่งตั้งบิดาของเขาเป็นเลขาส่วนตัว ซึ่งในช่วงเวลานี้ มารดาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สอง คือ จอห์น สเตรนจ์ สเปนเซอร์-เชอร์ชิล จากการที่วินสตันเป็นหลานของอุปราช ทำให้เขาได้เห็นการสวนสนามบ่อย ๆ ในที่ทำงานของปู่ (ปัจจุบันคือทำเนียบประธานาธิบดีไอร์แลนด์) ทำให้วินสตันตัวน้อยเกิดความชอบทหารขึ้น[6][7]
ในขณะที่อยู่ในดับลิน วินสตันมีพี่เลี้ยงคอยสอนการเขียนอ่านและวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยเหตุที่วินสตันไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ ทำให้เขาสนิทสนมกับพี่เลี้ยง นางเอลิซาเบธ อันน์ เอเวอเรสต์ เป็นอย่างมาก นางเป็นทั้งพี่เลี้ยง, พยาบาล และแม่นม[8] โดยทั้งสองมักจะพากันไปเล่นที่สวนสาธารณะฟีนิกซ์เสมอ ๆ[9][10]
วินสตันในวัยเด็กนั้น มีนิสัยดื้อและไม่ชอบเชื่อฟังใคร ดังนั้นเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนเขาจึงมีผลการเรียนไม่ดี[11]เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชนสามแห่ง คือ โรงเรียนเซนต์จอร์จในเบิร์กเชอร์, โรงเรียนบรันสวิกใกล้กับไบรตัน และ โรงเรียนฮาร์โรวในลอนดอนซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ที่ฮาร์โรวนี้ เขาได้เข้าเป็นสมาชิกในหน่วยปืนไรเฟิลฮาร์โรว[12] ในขณะที่เรียนอยู่ที่ฮาร์โรว วินสตันเป็นเด็กอ้วนเตี้ยผมแดงและพูดติดอ่าง ถึงจะมีผลการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งในชั้นเรียน แต่ผลการเรียนรวมกลับเป็นอันดับที่โหล่ในห้องบ๊วยของชั้นและก็ติดอันดับนี้เรื่อยมา แม้ว่าการเรียนจะทำได้ไม่ดีแต่วินสตันกลับชอบวิชาภาษาอังกฤษ ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ฮาร์โรวนี้ มารดาของเขาแทบจะไม่มาเยี่ยมเลยถึงขนาดที่เขาต้องเขียนจดหมายไปขอให้ทางบ้านมาเยี่ยมบ้างหรือไม่ก็ยอมให้เขากลับไปบ้าน ยิ่งความสัมพันธ์กับบิดานั้นยิ่งห่างเหิน[13] บิดาของเขาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 24 มกราคม 1895 ในวัย 45 ปี การตายของบิดานั้นได้ทำให้วินสตันฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขาอาจจะต้องตายเมื่ออายุยังไม่มากเหมือนบิดา ดังนั้นเขาจึงควรรีบทำอะไรซักอย่างเพื่อจารึกชื่อเขาลงในประวัติศาสตร์[14]
ราชการทหาร
แก้หลังจากวินสตันออกจากแฮร์โรวในปี 1893 เขาก็เข้าเรียนต่อในราชวิทยาลัยการทหาร เมืองแซนด์เฮิสต์ ซึ่งเขาต้องสอบถึงสามครั้งกว่าจะผ่านเข้าเรียน โดยเขาเข้าเรียนในหมวดทหารม้าแทนที่จะเป็นทหารราบ เนื่องจากทหารม้าต้องการผลการเรียนที่ต่ำกว่าและเขาไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์อีก เขาจบการศึกษาเป็นคนที่ 8 ของห้องเรียนซึ่งมี 150 คนในเดือนธันวาคม 1894[15] และแม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถโอนย้ายไปหมวดทหารราบตามที่บิดาหวังไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะสังกัดทหารม้าและได้ยศเป็นร้อยตรีประจำ กรมทหาร 4th Queen's Own Hussars ในเดือนกุมภาพันธ์ 1895[12] ซึ่งปีเดียวกันนี้เขาได้เดินทางไปยังคิวบาเพื่อสังเกตการณ์การต่อสู้ระหว่างกองทัพสเปนกับฝ่ายกองกำลังปลดแอกคิวบา ระหว่างอยู่ที่คิวบานี้เองเขาได้สูบฮาวานาซิการ์และสูบเรื่อยมาตลอดชีวิตเขา ในปี 1941 เขาได้รับโปรดเกล้าเป็นกรณีพิเศษเป็นผู้พันประจำกรมทหาร 4th Hussars ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับโปรดเกล้าให้อวยยศนี้ขึ้นอีกเป็นผู้บัญชาการ ซึ่งปกติ สิทธิพิเศษนี้มีแต่สำหรับพระบรมวงศ์เท่านั้น
วินสตันได้รับค่าตอบแทนในยศร้อยตรีประจำ 4th Hussars ปีละ 300 ปอนด์ อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเขาต้องการอย่างน้อยปีละ 500 (เทียบเท่า £55,000 ในปี 2012[16]) เพื่อให้เขามีวิถีชีวิตที่ดีเทียบเท่านายทหารคนอื่น ๆ ในหน่วย แม้ว่ามารดาจะส่งเงินให้เขาปีละ 400 ปอนด์แต่ก็ไม่พอเนื่องจากเขาเป็นคนมือเติบ วินสตันไม่สนใจการเลื่อนยศมากนักเหมือนที่ทหารคนอื่น ๆ เป็น เขาต้องการเป็นผู้สื่อข่าวสายทหารโดยต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการต่าง ๆ[17] โดยอาศัยเส้นสายของครอบครัวที่มีอยู่ในสังคมชั้นสูง เขาเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ในลอนดอนเป็นระยะเวลากว่าเจ็ดปี[18] นอกจากนี้ยังมีงานเขียนเกี่ยวกับปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นของตนเอง
ประจำการในอินเดีย
แก้ต้นเดือนตุลาคม 1896 เขาถูกโอนย้ายไปประจำการยังบริติชราช ในขณะที่เรือกำลังเทียบท่าที่มุมไบ เขาประสบอุบัติเหตุทำให้ข้อไหล่ขวาหลุด ทำให้เขาใช้แขนขวาได้ไม่เต็มที่ไปตลอดชีวิต เขาเคยเป็นนักโปโลมือหนึ่งในหน่วย[19] แม้หลังบาดเจ็บเขาก็ยังคงเล่นโปโลต่อไปแต่ใช้สายหนังหิ้วแขนขวาแทน[20]
ในปีเดียวกันเขาก็เดินทางไปบังคาลอร์ในฐานะนายทหารหนุ่ม ในหนังสือของเขาอธิบายว่า บังคาลอร์เป็นเมืองที่มีสภาพอากาศเยี่ยม และที่อยู่ของเขาเป็นวังสีชมพูขาวใจกลางสวนหย่อมงดงามรายล้อม มีคนใช้ชื่อโธพิ, มีคนสวน, มียาม และมีคนหามน้ำ ในบังคาลอร์นี้เองที่เขาได้พบกับสตรีชื่อ พาเมลลา พลอว์เดน (Pamela Plowden) ลูกสาวของคนใช้และเป็นรักแรกของเขา[21] วินสตันยังได้อธิบายถึงสตรีชาวอังกฤษในอินเดียว่าพวกหล่อนนั้นไม่เป็นที่พึงประสงค์เพราะมีความมั่นใจในความงามของตนเองจนเกินไป จดหมายที่เขาเขียนถึงบ้านยังแสดงให้เห็นว่า เขาพยายามเป็นกลางและหลีกเลี่ยงประเด็นการเมืองอังกฤษซึ่งกำลังมีความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายค้านที่มีลอร์ดโรสเบรีกับโจเซฟ เชมเบอร์ลิน และฝ่ายรัฐบาลลอร์ดลันสดาวน์ที่ต้องการเพิ่มงบประมาณกองทัพ[20]
งานการเมือง
แก้สมาชิกสภาสมัยแรก
แก้ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1900 เขาชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.จากโอลด์แฮม[22] หลังจากชนะการเลือกตั้งเขาก็เริ่มเดินสายปราศรัยทั้งในเกาะบริเตนและสหรัฐอเมริกา สร้างรายได้ให้แก่เขาถึง 10,000 ปอนด์ (เทียบเท่า 980,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) นอกจากนี้ระหว่างปี 1903 ถึง 1905 เขายังได้ร่วมเขียนหนังสือชีวประวัติสองเล่มของบิดา ลอร์ดรันดอล์ฟ เชอร์ชิล[23]
วาระแรกในรัฐสภา วินสตันไปสมาคมอยู่กับพรรคอนุรักษนิยมซึ่งในขณะนั้นเป็นเสียงข้างน้อยนำโดย ลอร์ดฮิวจ์ เซซิล ซึ่งมีชื่อเรียกลำลองในสภาว่า "พวกฮิวจ์" วินสตันได้อภิปรายคัดค้านรายจ่ายด้านการทหารของรัฐบาล[24] ตลอดจนคัดค้านการเสนอให้ขึ้นภาษีของรัฐมนตรีโจเซฟ เชมเบอร์ลิน การคัดค้านของวินสตันก็เพื่อหวังรักษาอิทธิพลทางเศรษฐกิจของอังกฤษ ในขณะที่พวกฮิวจ์ส่วนใหญ่ดูจะสนับสนุนนโยบายขึ้นภาษี ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปวินสตันก็ยังสามารถรักษาเก้าอี้ ส.ส.ของตนเองไว้ได้ แต่ด้วยความขัดแย้งเรื่องนโยบายภาษีกับพรรคอนุรักษนิยม เขาก็ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมแทน ในฐานะสมาชิกพรรคเสรีนิยม เขายังคงสนับสนุนแนวคิดเรื่องเขตการค้าเสรี และเมื่อพรรคเสรีนิยมได้เป็นรัฐบาลที่นำโดยเซอร์เฮนรี แคมป์เบล-แบนเนอร์มัน ในปี 1905 วินสตันก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอาณานิคม ดูแลนิคมแอฟริกาใต้ภายหลังสงครามโบเออร์ และมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญทรานส์วาลซึ่งหวังนำเสถียรภาพมาสู่นิคมแอฟริกาใต้ วินสตันได้สูญเสียเก้าอี้ส.ส.จากโอลด์แฮมไปในการเลือกตั้งปี 1906
การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย
แก้ส.ส. วินสตันเป็นบุคคลที่ต่อต้านความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อปลดแอกอินเดียรวมถึงต่อต้านกฎหมายที่จะให้เอกราชแก่อินเดีย ในปี 1920 เขากล่าวว่า "คานธีควรจะถูกมัดมือมัดเท้าไว้หน้าประตูเมืองเดลี แล้วก็ปล่อยให้ช้างตัวเบ้อเร่อเหยียบ"[25][26] ยังมีเอกสารระบุในภายหลังอีกว่า วินสตันอยากจะเห็นคานธีอดอาหารให้ตาย ๆ ไปซะ[27] วินสตันเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่า สันนิบาตป้องกันอินเดีย (India Defence League) เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อธำรงไว้ซึ่งอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย ในปี 1930 วินสตันออกมาประกาศว่า กลุ่มคนและทุกอย่างของลัทธิคานธีจะต้องถูกจับกุมและถูกทำลาย[28] วินสตันถึงขนาดแตกหักกับนายกรัฐมนตรีบอลดวินที่จะเริ่มกระบวนการให้เอกราชแก่อินเดีย โดยกล่าวว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาลอีกตราบใดที่บอลดวินยังเป็นนายกฯอยู่
นายกรัฐมนตรีสมัยแรก (ค.ศ. 1940–45)
แก้หวนคืนสู่กระทรวงทหารเรือ
แก้เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ในวันที่ 3 กันยายน 1939 วันที่สหราชอาณาจักรประกาศสงครามต่อเยอรมัน วินสตันได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ ตำแหน่งเดิมกับที่เขาเคยดำรงตำแหน่งในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงคราม (War cabinet) ในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน[29][30] ในตำแหน่งนี้ วินสตันได้พิสูจน์ตนเองเป็นรัฐมนตรีมือดีในยุคที่เรียกว่า "สงครามลวง" ตอนแรกวินสตันเสนอแผนจะส่งกองเรือทะลวงเข้าไปในทะเลบอลติก แต่ก็เปลี่ยนแผนเป็นการวางทุ่นระเบิดเส้นทางเดินเรือไม่ให้นอร์เวย์สามารถส่งแร่เหล็กออกจากเมืองนาร์วิกไปป้อนอุตสาหกรรมทหารของเยอรมันได้ ซึ่งจะบีบเยอรมันให้เปิดฉากโจมตีนอร์เวย์ เป็นโอกาสดีที่ราชนาวีอังกฤษจะมีชัยเหนือกองเรือเยอรมัน[31] อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเชมเบอร์ลินตลอดจนคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงครามคัดค้านแผนการนี้ทำให้แผนล่าช้าออกไป แผนวางทุ่นระเบิดอันมีชื่อว่า "ปฏิบัติการวิลเฟรด" นี้เริ่มขึ้นในวันที่ 8 เมษายน 1940 เพียงวันเดียวก่อนที่เยอรมันจะประสบความสำเร็จในการบุกครองนอร์เวย์[32]
สุนทรพจน์ "เราจักไม่มีวันยอมแพ้"
แก้ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเยอรมนีจะเข้าบุกฝรั่งเศสด้วยกลยุทธ์บลิทซ์ครีกผ่านกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ หลังจากความล้มเหลวของปฏิบัติการในประเทศนอร์เวย์ ผู้คนก็สูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน ทำให้เชมเบอร์ลินตัดสินใจลาออก ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอย่างเอิร์ลแห่งฮาลิแฟกซ์ก็ถอนตัว เนื่องจากเขาไม่เชื่อมั่นว่าตัวเขาซึ่งมาจากสภาขุนนางจะสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน แม้ว่าโดยจารีตประเพณีแล้วนายกรัฐมนตรีจะมิทูลเกล้าฯ เสนอชื่อนายกฯ คนต่อไป แต่เชมเบอร์ลินต้องการใครซักคนที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งสามพรรคในสภาสามัญชน จึงเกิดการหารือกันระหว่างเชมเบอร์ลิน, ลอร์ดฮาลิแฟกซ์, วินสตัน และเดวิด มาเกรสสัน ในที่สุดพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็ทรงเสนอชื่อวินสตันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยสิ่งแรกที่วินสตันทำคือการเขียนจดหมายขอบคุณเชมเบอร์ลินที่สนับสนุนเขา[33]
ตอนปลายของยุทธการที่ฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษในภาคพื้นทวีปต่างพ่ายแพ้ต่อเยอรมัน หมู่เกาะอังกฤษตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนต่างหวาดผวาต่อการรุกรานโดยนาซีเยอรมนี ทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์กขึ้นซึ่งช่วยทหารไว้กว่าสามแสนนาย ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940 นายกรัฐมนตรีวินสตันได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาสามัญชน สุนทรพจน์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ We shall fight on the beaches ซึ่งบางส่วนของสุนทรพจน์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นวลีที่ดีที่สุดแห่งยุค
...วันนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ขอสภาให้กำหนดบ่ายวันนี้เป็นวาระพิเศษเพื่อกล่าวแถลง ผมมีความลำบากใจเป็นอย่างมากที่จะต้องประกาศหายนะทางการทหารที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรา...รากเหง้า แก่น และมันสมองของกองทัพบริติช...ดูเหมือนกำลังจะพังทลายลงในสนามรบ...ปาฏิหาริย์การปลดปล่อยซึ่งสำเร็จได้จากความกล้าหาญ จากความบากบั่น กลายเป็นที่ประจักษ์แก่เราทุกคน และราชนาวีด้วยความช่วยเหลือของชาวเรือพาณิชย์นับไม่ถ้วน ได้ใช้เรือทุกชนิดเกือบพันลำ นำพากว่า 335,000 นายทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ให้รอดพ้นจากปากมัจจุราชและความอัปยศ...มีคนบอกว่าแฮร์ฮิตเลอร์มีแผนรุกรานหมู่เกาะอังกฤษ ข้อนี้ก็เคยคิดกันมาก่อนหลายครั้ง...เราจะขอพิสูจน์ตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของเรา และเราจะผ่านพ้นภัยทรราชนี้...
แม้ว่าพื้นที่มากมายในยุโรปและรัฐเก่าแก่ขึ้นชื่อได้พ่ายแพ้หรืออาจตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเกสตาโพและระบอบนาซีที่น่ารังเกียจก็ตาม เราจะอ่อนล้าหรือล้มเหลวไม่ได้
เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้...
— วินสตัน เชอร์ชิล 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940
ณ รัฐสภาเวสต์มินสเตอร์
ชีวิตช่วงหลัง: ค.ศ. 1955–1965
แก้จิตรกร นักประวัติศาสตร์ และนักเขียน
แก้เชอร์ชิลเป็นนักเขียนที่ผลิตผลงานมาก ได้แก่ นวนิยาย (Savrola), ชีวประวัติ 2 เล่ม, บันทึกความทรงจำ, ประวัติศาสตร์ และบทความข่าว ผลงานที่มีชื่อเสียง 2 เล่มคือ บันทึกความทรงจำ The Second World War 6 เล่ม และ A History of the English-Speaking Peoples 4 เล่ม[34] ใน ค.ศ. 1953 เชอร์ชิลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม "สำหรับความเชี่ยวชาญในการบรรยายประวัติศาสตร์และชีวประวัติ" และคำปราศรัย[35]
เขาใช้นามปากกา "วินสตัน เอส. เชอร์ชิล" (Winston S. Churchill) หรือ "วินสตัน สเปนเซอร์ เชอร์ชิล" (Winston Spencer Churchill) เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับนักเขียนนวนิยายชาวอเมริกันที่มีชื่อเดียวกัน ซึ่งเขาก็มีจดหมายโต้ตอบอย่างฉันมิตรด้วย[36] เป็นเวลาหลายปีที่เขาอาศัยบทความข่าวของตนเป็นอย่างมาก เพื่อบรรเทาความกังวลทางการเงิน[37]
เชอร์ชิลกลายเป็นจิตรกรมือสมัครเล่นที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นหลังลาออกจากกองทัพเรือใน ค.ศ. 1915[38] โดยใช้นามแฝง "Charles Morin"[39] เขาวาดภาพถึงร้อยกว่าภาพ โดยมีหลายภาพที่จัดแสดงในสตูดิโอที่ชาร์ตเวลล์และในชุดสะสมส่วนตัว[40]
เชอร์ชิงเป็นช่างปูนมือสมัครเล่นที่ก่อสร้างอาคารและกำแพงสวนที่ชาร์ตเวลล์[39] เขาเข้าร่วม Amalgamated Union of Building Trade Workers bแต่ถูกขับออกหลังเข้าเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม[39] เขายังเพาะพันธุ์ผีเสื้อด้วย[41] เขาเป็นที่รู้จักจากการรักสัตว์และมีสัตว์เลี้ยงบางตัวเสมอ ส่วนใหญ่เป็นแมว แต่บางครั้งก็มีสุนัข, สุกร, แกะ, แบนแทม, แพะ และลูกสุนัขจิ้งจอก กับตัวอื่น ๆ[42]
สิ่งสืบทอดและการประเมิน
แก้ครอบครัวและบรรพบุรุษ
แก้เชอร์ชิลแต่งงานกับคลีเมนไทน์ โฮซีเออร์ (Clementine Hozier) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1908[43] ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเป็นเวลา 57 ปี[44] เชอร์ชิลตระหนักดีถึงความตึงเครียดในอาชีพทางการเมือง ส่งผลต่อการแต่งงานของเขา[45] Colville รายงานว่า เขามีความรักชั่วครู่กับ Doris Castlerosse ในคริสต์ทศวรรษ 1930[46] กระนั้น แอนดรูว์ รอเบิตส์ไม่นับเรื่องนี้[47]
ไดอานา ลูกคนแรกของเชอร์ชิล เกิดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1909[48] แรนดอล์ฟ ลูกคนที่ 2 เกิดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1911[49] ซาราห์ ลูกคนที่ 3 เกิดในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914[50] และแมรีโกลด์ ลูกคนที่ 4 เกิดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918[51] แมรีโกลด์เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1921[52] จากนั้นในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1922 จึงมีการให้กำเนิดแมรี ลูกคนสุดท้องของเชอร์ชิล ภายหลังในเดือนั้น ครอบครัวเชอร์ชิลซื้อบ้านชาร์ตเวลล์ ซึ่งภายหลังกลายเป็นบ้านของครอบครัวจนกระทั่งวินสตันเสียชีวิตใน ค.ศ. 1965[53] เจนกินส์รายงานว่า เชอร์ชิลเป็น "พ่อที่กระตือรือร้นและรักลูก" แต่เป็นคนที่คาดหวังลูกมากเกินไป[54]
หมายเหตุ
แก้- ↑ The surname is the double-barrelled Spencer Churchill (unhyphenated), but he is known by the surname Churchill. His father dropped the Spencer.[1]
อ้างอิง
แก้- ↑ Price 2009, p. 12.
- ↑ Jenkins 2001, p. 5.
- ↑ Johnson, Paul (2010). Churchill. New York, NY: Penguin. p. 4. ISBN 0-14-311799-8.
- ↑ Lundy, Darryl. "Rt. Hon. Sir Winston Leonard Spencer Churchill". The Peerage. Wellington, New Zealand: Darryl Lundy. Person Page – 10620. สืบค้นเมื่อ 20 December 2007.[แหล่งอ้างอิงไม่น่าเชื่อถือ]
- ↑ Jenkins, pp. 1–20
- ↑ Jenkins, p. 7
- ↑ Johnson, Paul (2010). Churchill. New York, NY: Penguin. p. 4. ISBN 0-14-311799-8.
- ↑ Jenkins, p. 10
- ↑ Jordan, Anthony (1995). Churchill: A Founder of Modern Ireland. Dublin: Westport Books. pp. 11–12. ISBN 978-0-9524447-0-1.
- ↑ Prendeville, Tom (19 January 2012). "Secret history of the Phoenix Park". Irish Independent.
- ↑ "Sir Winston Churchill Biography". Encyclopædia Britannica.
- ↑ 12.0 12.1 Lt Churchill: 4th Queen's Own Hussars, The Churchill Centre. Retrieved 28 August 2009.
- ↑ Jenkins, pp. 10–11
- ↑ Haffner, p. 32
- ↑ Jenkins, pp. 20–21
- ↑ "Bank of England inflation calculator". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-04. สืบค้นเมื่อ 2016-11-21.
- ↑ Jenkins, pp. 21–45
- ↑ Lewis, G. K. (May 1957). "On the character and achievement of Sir Winston Churchill". The Canadian Journal of Economics and Political Science. 23 (2): 173–194.
- ↑ Jones, R. V. (1966). "Winston Leonard Spencer Churchill 1874–1965". Biographical Memoirs of Fellows of the Royal Society. 12: 34–26. doi:10.1098/rsbm.1966.0003. ISSN 0080-4606.
- ↑ 20.0 20.1 Robbins 1992, pp. 15–16
- ↑ "When Churchill lived in the City". Deccan Herald. No. Bangalore. 11 November 2011. สืบค้นเมื่อ 16 January 2015.
- ↑ "No. 27244". The London Gazette. 6 November 1900.
- ↑ Jenkins, p. 101
- ↑ Jenkins, pp. 74–76
- ↑ Barczewsk, Stephanie, John Eglin, Stephen Heathorn, Michael Silvestri, and Michelle Tusan. Britain Since 1688: A Nation in the World, p. 301
- ↑ Toye, Richard. Churchill's Empire: The World That Made Him and the World He Made, p. 172
- ↑ "Churchill took hardline on Gandhi". BBC News. 1 January 2006. สืบค้นเมื่อ 12 April 2010.
- ↑ Myers, Kevin (6 August 2010). "Seventy years on and the soundtrack to the summer of 1940 is filling Britain's airwaves". The Irish Independent. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
- ↑ Churchill, Winston. The Second World War (abridged edition), p. 163. Pimlico (2002); ISBN 0-7126-6702-4
- ↑ Brendon, Piers. "The Churchill Papers: Biographical History". Churchill Archives Centre, Churchill College, Cambridge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-13. สืบค้นเมื่อ 26 February 2007.
- ↑ Lunde 2009, pp. 11–14
- ↑ Kersaudy, François (1995). "allierte planer". ใน Dahl; Hjeltnes; Nøkleby; Ringdal; Sørensen (บ.ก.). Norsk krigsleksikon 1940–45 (ภาษานอร์เวย์). Oslo: Cappelen. pp. 17–18. ISBN 82-02-14138-9.
- ↑ Self, Robert (2006). Neville Chamberlain: A Biography, p. 431. Ashgate; ISBN 978-0-7546-5615-9.
- ↑ Jenkins 2001, pp. 819–823.
- ↑ "The Nobel Prize in Literature 1953 – Winston Churchill". Stockholm: Nobel Media AB. สืบค้นเมื่อ 7 August 2020.
- ↑ "Spring 1899 (Age 24): The First Political Campaign". International Churchill Society (ICS). London: Bloomsbury Publishing plc. 5 February 2015. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
- ↑ Jenkins 2001, pp. 506–507.
- ↑ Jenkins 2001, p. 279.
- ↑ 39.0 39.1 39.2 Knickerbocker 1941, pp. 140, 150, 178–179.
- ↑ Soames 1990, pp. 1–224.
- ↑ Wainwright, Martin (19 August 2010). "Winston Churchill's butterfly house brought back to life". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
- ↑ Glueckstein, Fred (20 June 2013). "Churchill's Feline Menagerie". International Churchill Society (ICS). London: Bloomsbury Publishing plc. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
- ↑ Gilbert 1991, p. 200; Jenkins 2001, p. 140.
- ↑ Gilbert 1991, p. 199.
- ↑ Gilbert 1991, p. 207.
- ↑ Doward, Jamie (25 February 2018). "Revealed: secret affair with a socialite that nearly wrecked Churchill's career". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 25 February 2018.
- ↑ Roberts 2018, pp. 385–387.
- ↑ Gilbert 1991, p. 205; Jenkins 2001, p. 203.
- ↑ Gilbert 1991, p. 227; Jenkins 2001, p. 203.
- ↑ Gilbert 1991, p. 285.
- ↑ Gilbert 1991, p. 403.
- ↑ Soames 2012, p. 13.
- ↑ Soames 1998, p. 262.
- ↑ Jenkins 2001, p. 209.
บรรณานุกรม
แก้- Adams, Edward (2011). Liberal Epic: The Victorian Practice of History from Gibbon to Churchill. Charlottesville, Virginia: University of Virginia Press. ISBN 978-08-13931-45-6.
- Addison, Paul (1980). "The Political Beliefs of Winston Churchill". Transactions of the Royal Historical Society. Cambridge: Cambridge University Press. 30: 23–47. doi:10.2307/3679001. JSTOR 3679001. S2CID 154309600.
- Addison, Paul (2005). Churchill: The Unexpected Hero. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-01-99297-43-6.
- Arthur, Max (2015). Churchill – The Life: An authorised pictorial biography. London: Cassell. ISBN 978-1-84403-859-6.
- Ball, Stuart (2001). "Churchill and the Conservative Party". Transactions of the Royal Historical Society. Cambridge: Cambridge University Press. 11: 307–330. doi:10.1017/S0080440101000160. JSTOR 3679426. S2CID 153860359.
- Bayly, Christopher; Harper, Tim (2005). Forgotten Armies: Britain's Asian Empire & the War with Japan. Cambridge, Massachusetts: The Belknap Press. ISBN 0-674-01748-X.
- Bell, Christopher M. (2011). "Sir John Fisher's Naval Revolution Reconsidered: Winston Churchill at the Admiralty, 1911–1914". War in History. 18 (3): 333–356. doi:10.1177/0968344511401489. S2CID 159573922.
- Bennett, William J. (2007). America the Last Best Hope. Volume II. Nashville: Thomas Nelson Inc. ISBN 978-14-18531-10-2.
- Best, Geoffrey (2001). Churchill: A Study in Greatness. London and New York: Hambledon and Continuum. ISBN 978-18-52852-53-5.
- Blake, Robert; Louis, Wm. Roger, บ.ก. (1993). Churchill: A Major New Reassessment of His Life in Peace and War. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-01-98203-17-9. OCLC 30029512.
- Brown, Judith (1998). The Twentieth Century. The Oxford History of the British Empire, Volume IV. Oxford University Press. ISBN 978-01-99246-79-3.
- Brustein, William I. (13 October 2003). Roots of Hate: Anti-Semitism in Europe Before the Holocaust. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-77478-9.
- Charmley, John (1995). Churchill's Grand Alliance, 1940–1957. London: Hodder & Stoughton Ltd. ISBN 978-01-51275-81-6. OCLC 247165348.
- Churchill, Winston (1927). 1916–1918 (Parts I and II). The World Crisis. Vol. III. London: Thornton Butterworth.
- Churchill, Winston (1967b) [first published 1948]. The Twilight War: 3 September 1939 – 10 May 1940. The Second World War: The Gathering Storm. Vol. II (9th ed.). London: Cassell & Co. Ltd.
- Cohen, Michael J. (13 September 2013). Churchill and the Jews, 1900–1948. Routledge. ISBN 978-1-135-31906-9.
- Colombo, John Robert (1984). Canadian Literary Landmarks. Toronto: Dundurn. ISBN 978-08-88820-73-0.
- Cooper, Matthew (1978). The German Army 1933–1945: Its Political and Military Failure. Briarcliff Manor, New York: Stein and Day. pp. 376–377. ISBN 978-08-12824-68-1.
- Dalton, Hugh (1986). The Second World War Diary of Hugh Dalton 1940–45. London: Jonathan Cape. p. 62. ISBN 978-02-24020-65-7.
- Douglas, R. M. (2009). "Did Britain Use Chemical Weapons in Mandatory Iraq?". The Journal of Modern History. 81 (4): 859–887. doi:10.1086/605488. S2CID 154708409.
Faught, C. Brad (2022). Cairo 1921: Ten Days That Made the Middle East. New Haven and London: Yale University Press. ISBN 978-0-300-25674-1
Faught, C. Brad (2023). Churchill and Africa: Empire, Decolonisation and Africa. Barnsley and Philadelphia: Pen and Sword Military. ISBN 978-1-526-76854-4
- Freeman, Jennifer (2019). "A farewell to Marigold". The Telamon. No. 87. London: The Friends of Kensal Green Cemetery. p. 3.
- Gilbert, Martin (1991). Churchill: A Life. London: Heinemann. ISBN 978-04-34291-83-0.
- Gilbert, Martin (1988). Never Despair: Winston S. Churchill, 1945–1965. Trowbridge: Minerva. ISBN 978-07-49391-04-1.
- Haffner, Sebastian (2003). Churchill. John Brownjohn (translator). London: Haus. ISBN 978-19-04341-07-9. OCLC 852530003.
- Hastings, Max (2009). Finest Years. Churchill as Warlord, 1940–45. Hammersmith: Harper Collins. ISBN 978-00-07263-67-7.
- Hermiston, Roger (2016). All Behind You, Winston – Churchill's Great Coalition, 1940–45. London: Aurum Press. ISBN 978-17-81316-64-1.
- Jenkins, Roy (2001). Churchill. London: Macmillan Press. ISBN 978-03-30488-05-1.
- Jordan, Anthony J. (1995). Churchill, A Founder of Modern Ireland. Westport, Mayo: Westport Books. ISBN 978-09-52444-70-1.
- Judd, Dennis (2012). George VI. London: I. B. Tauris. ISBN 978-17-80760-71-1.
- Khan, Yasmin (2015). India at War: The Subcontinent and the Second World War. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-975349-9.
- Knickerbocker, H. R. (1941). Is Tomorrow Hitler's? 200 Questions on the Battle of Mankind. New York: Reynal & Hitchcock. ISBN 978-14-17992-77-5.
- Langworth, Richard (2008). Churchill by Himself. London: Ebury Press.
- Lovell, Mary S. (2011). The Churchills. London: Little Brown Book Group. ISBN 978-07-48117-11-6.
- Lynch, Michael (2008). "1. The Labour Party in Power, 1945–1951". Britain 1945–2007. Access to History. London: Hodder Headline. pp. 1–4. ISBN 978-03-40965-95-5.
- Marr, Andrew (2008). A History of Modern Britain. London: Macmillan. ISBN 978-03-30439-83-1.
- Marr, Andrew (2009). The Making of Modern Britain. London: Macmillan. pp. 423–424. ISBN 978-03-30510-99-8.
- Montague Browne, Anthony (1995). Long Sunset: Memoirs of Winston Churchill's Last Private Secretary. Ashford: Podkin Press. ISBN 978-09-55948-30-5. *
- Moritz, Edward Jr. (1958). "Winston Churchill – Prison Reformer". The Historian. Hoboken, New Jersey: Wiley. 20 (4): 428–440. doi:10.1111/j.1540-6563.1958.tb01990.x. JSTOR 24437567.
- Mumford, Andrew (2012). The Counter-Insurgency Myth: The British Experience of Irregular Warfare. Abingdon: Routledge. ISBN 978-04-15667-45-6.
- Neiberg, Michael S. (2004). Warfare and Society in Europe: 1898 to the Present. London: Psychology Press. ISBN 978-04-15327-19-0.
- O'Brien, Jack (1989). British Brutality in Ireland. Dublin: The Mercier Press. ISBN 978-0-85342-879-4.
- Pelling, Henry (June 1980). "The 1945 General Election Reconsidered". The Historical Journal. Cambridge University Press. 23 (2): 399–414. doi:10.1017/S0018246X0002433X. JSTOR 2638675. S2CID 154658298.
- Price, Bill (2009). Winston Churchill : war leader (International ed.). Harpenden: Pocket Essentials. ISBN 978-1-306-80155-3. OCLC 880409116.
- Rasor, Eugene L. (2000). Winston S. Churchill, 1874–1965: A Comprehensive Historiography and Annotated Bibliography. Westport, Connecticut: Greenwood Press. ISBN 978-03-13305-46-7.
- Reagles, David; Larsen, Timothy (2013). "Winston Churchill and Almighty God". Historically Speaking. Boston, Massachusetts: Johns Hopkins University Press. 14 (5): 8–10. doi:10.1353/hsp.2013.0056. S2CID 161952924.
- Resis, Albert (April 1978). "The Churchill-Stalin Secret "Percentages" Agreement on the Balkans, Moscow, October 1944". The American Historical Review. 83 (2): 368–387. doi:10.2307/1862322. JSTOR 1862322.
- Rhodes James, Robert (1970). Churchill: A Study in Failure 1900–1939. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 978-02-97820-15-4.
- Roberts, Andrew (2018). Churchill: Walking with Destiny. London: Allen Lane. ISBN 978-11-01980-99-6.
- Robbins, Keith (2014) [1992]. Churchill: Profiles in Power. London and New York: Routledge. ISBN 978-13-17874-52-2.
- Sen, Amartya (1977). "Starvation and exchange entitlements: a general approach and its application to the Great Bengal Famine". Cambridge Journal of Economics. 1 (1): 33–59. doi:10.1093/oxfordjournals.cje.a035349.
- Shakespeare, Nicholas (2017). Six Minutes in May. London: Vintage. ISBN 978-17-84701-00-0.
- Soames, Mary (1990). Winston Churchill: His Life as a Painter. Boston, Massachusetts: Houghton Mifflin. ISBN 978-03-95563-19-9.
- Soames, Mary (1998). Speaking for Themselves: The Personal Letters of Winston and Clementine Churchill. London: Doubleday. ISBN 978-03-85406-91-8.
- Soames, Mary (2012). A Daughter's Tale: The Memoir of Winston and Clementine Churchill's Youngest Child. London: Transworld Publishers Limited. ISBN 978-05-52770-92-7.
- Sorrels, Roy W. (1984). "10 People Who Hated Portraits of Themselves". ใน Wallechinsky, David; Wallace, Irving; Wallace, Amy (บ.ก.). The People's Almanac Book of Lists. New York City: William Morrow & Co. ISBN 978-05-52123-71-6.
- Taylor, Frederick (2005). Dresden: Tuesday, 13 February 1945. London: Bloomsbury. ISBN 978-07-47570-84-4.
- Tolstoy, Nikolai (1978). The Secret Betrayal. New York City: Scribner. p. 360. ISBN 978-06-84156-35-4.
- Toye, Richard (2007). Lloyd George and Churchill: Rivals for Greatness. London: Macmillan. ISBN 978-14-05048-96-5.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- วินสตัน เชอร์ชิล ที่เว็บไซต์ Curlie
- Churchill's First World War from the Imperial War Museum.
- FBI files on Winston Churchill.
- Winston Churchill's Personal Manuscripts.
- วินสตัน เชอร์ชิล ที่ Nobelprize.org
- บรรณานุกรมและชุดสะสมออนไลน์
- ผลงานของ วินสตัน เชอร์ชิล ที่โครงการกูเทินแบร์ค
- แม่แบบ:FadedPage
- ผลงานเกี่ยวกับ/โดย วินสตัน เชอร์ชิล ที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
- ผลงานโดย วินสตัน เชอร์ชิล บนเว็บ LibriVox (หนังสือเสียง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ)
- บันทึกเสียง
- EarthStation1: Winston Churchill Speech Audio Archive.
- Amateur colour film footage of Churchill's funeral from the Imperial War Museum.
- พิพิธภัณฑ์, หอจดหมายเหตุ และห้องสมุด
- แม่แบบ:Npg name
- Hansard 1803–2005: ส่วนร่วมในรัฐสภาสหราชอาณาจักรของ Winston Churchill
- แม่แบบ:UK National Archives ID
- Records and images from the UK Parliament Collections.
- The International Churchill Society (ICS).
- Imperial War Museum: Churchill War Rooms. Comprising the original underground War Rooms preserved since 1945, including the Cabinet Room, the Map Room and Churchill's bedroom, and the new Museum dedicated to Churchill's life.
- War Cabinet Minutes (1942), (1942–43), (1945–46), (1946).
- Locations of correspondence and papers of Churchill at the UK National Archives.
- กฤตภาคจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ วินสตัน เชอร์ชิล ในหอจดหมายเหตุข่าวสารคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของ ZBW
ก่อนหน้า | วินสตัน เชอร์ชิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
โจเซฟ สตาลิน | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1940) |
แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ | ||
แฮร์รี เอส. ทรูแมน | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1949) |
ทหารอเมริกัน |