วงมโหรีเกิดจากการประสมกันระหว่าง 1)วงบรรเลงพิณ (โบราณาจารย์เรียก การขับร้องเป็นลำนำพร้อมกับการดีดพิณน้ำเต้า ในคนๆเดียว แต่มีสองลำนำขึ้นไปประสานเสียงกันว่า "วง") และ 2) วงขับไม้ (ผู้สีซอสามสายเป็นลำนำ ร่วมกับผู้ไกวบัณเฑาะว์) เกิดขึ้นครั้งแรกไม่น้อยกว่าสมัยกรุงสุโขทัย ภายหลังจึงประสมเครื่องดนตรีเพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ เป็นวงมโหรีเครื่องสี่. หก. และประสมเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์ตามวิวัฒนาของวงปี่พาทย์เครื่องคู่. และเครื่องใหญ่แต่มีระเบียบวิธีที่เป็นข้อยึดถือเสมอมา คือ กำหนดให้ซอสามสาย และการขับร้องเป็นประธาน และยึดบันไดเสียงกลุ่มเสียงระดับเพียงออ ร่วมกับเน้นลักษณะการขับกล่อม เป็นสำคัญ แม้นเมื่อประสมด้วยเครื่องปี่พาทย์ตามยุคต่าง ๆ ก็ดี ดุริยางคศิลปิน มักจะสร้างสรรค์ให้เครื่องปี่พาทย์ปรับเข้าหาเครื่องสาย และใช้โทน รำมะนา ในการกำกับจังหวะ เนื่องจากเป็นวงประเภทการขับกล่อมเพื่อสุนทรีย์ ด้วยการปรับขนาดเครื่องดนตรีให้เล็กลงเพื่อให้เสียงกลมกลืนกันกับเครื่องสาย และกำหนดให้เสียงลูกยอดของระนาดเอกจะพอดีกับเสียงนิ้วก้อยสายเอกของซอด้วง ตลอดจนเมื่อขนาดของเครื่องดนตรีปี่พาทย์เล็กลงจะใช้ไม้นวมบรรเลง

วงมโหรีเครื่องสี่ แก้

เกิดจากการการประสมกันระหว่างการบรรเลงพิณและการขับไม้ ปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา มีเครื่องดนตรี 4 ชนิดดังนี้

วงมโหรีเครื่องหก แก้

ลักษณะคล้ายวงมโหรีเครื่องสี่ แต่ได้เพิ่มเครื่องดนตรีอีกสองอย่างคือ รำมะนา ขลุ่ยเพียงออ และใช้ ฉิ่ง แทน [[กรับพวง]

วงมโหรีเครื่องคู่ แก้

เหมือนกับวงมโหรีเครื่องเล็ก แต่ได้เพิ่มระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก ขลุ่ยหลิบ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และซอสามสายหลิบ ขลุ่ยเพียงออ อย่างละหนึ่ง


เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงมโหรีเครื่องคู่

ซอสามสาย 1

ซอสามสายหลิบ 1

ซอด้วง 2

ซออู้ 2

จะเข้ 2

ขลุ่ยเพียงออ 1

ขลุ่ยหลิบ 1

ระนาดเอก(มโหรี) 1

ระนาดทุ้ม(มโหรี) 1

ฆ้องกลาง 1

ฆ้องเล็ก 1

ฉิ่ง

ฉาบ

กรับพวง

โหม่ง

โทน-รำมะนา

โอกาสที่ใช้ แก้

ใช้บรรเลงขับกล่อมเพื่อความรื่นรมณ์ และงานมงคลเป็นหลัก เนื่องจากการเตรียมวงมโหรีนั้นยากกว่าการเตรียมวงปี่พาทย์และวงเครื่องสาย จึงจะสามารถพบได้ในงานมงคลหรืองานแสดงมหรสพที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น ในงานทั่วๆไปจึงสามารถพบเห็นวงเครื่องสายและวงปี่พาทย์มากกว่า