ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย (อังกฤษ: Communism in Thailand) ประเทศสยามเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 7 โดยแก้ไขกฎหมายลักษณะอาญาให้ "การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเกิดความเกลียดชังระหว่างชนชั้น" เป็นความผิด ปัญหาภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ค่อยรุนแรงขึ้นเป็นลำดับและหมดไปแล้วในปัจจุบัน หลังการยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ใน พ.ศ. 2543
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
แก้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 104 โดย พระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลักษณอาญา พ.ศ. 2470 ให้เพิ่ม "การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเกิดความเกลียดชังระหว่างชนชั้น" เป็นความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งต่อมาได้ถูกยกเลิกไปโดยการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499
"สมุดปกเหลือง" พ.ศ. 2476-2489
แก้เมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2476 สมัยรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในคณะราษฎร ได้เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจที่มีการปฏิรูปที่ดินและรัฐสวัสดิการแก่ประชาชน หรือที่เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" มีผู้วิจารณ์อย่างกว้างขวางและกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เกิดความแตกแยกในสภา รัฐบาลจึงกำหนดให้ปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และยังได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 จนปรีดีต้องลี้ภัยออกนอกประเทศเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2476[1] ภายหลังรัฐประหารโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2476 จึงได้เชิญปรีดีกลับมา ตั้งกรรมการสอบสวน และให้ปรีดีพ้นผิด แล้วได้มีการปรับแก้กฎหมายคอมมิวนิสต์ฉบับนี้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2478 ปรีดีปฏิเสธเสมอว่าตนเองไม่ใช่คอมมิวนิสต์แต่เป็น "radical socialist" (นักสังคมนิยมสุดขั้ว) ปรีดีชี้แจงไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่เป็น สังคมนิยมผสมทุนนิยม[2]
ได้ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ไปในสมัยรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2489[3]
กฎหมายคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495
แก้ภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการออกกฎหมายคอมมิวนิสต์ฉบับใหม่ มีบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเดิม และมีนิยามที่กว้างขวางมากขึ้น ได้มีการแก้ไขเรื่อยมาตลอดยุคเผด็จการทหาร ให้อำนาจในการจับกุม ปราบปราม กักขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาได้นานกว่าปรกติ การใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐนอกจากจะเป็นไปในทางปราบปรามคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ยังเป็นเครื่องมือในการควบคุมกดขี่ประชาชนได้ตามอำเภอใจ และปิดกั้นไม่ให้มีการใช้สิทธิเสรีภาพโดยเฉพาะในการเขียนและแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน (รู้จักกันในนาม กฎหมายปราบประชาธิปไตย)[4]
วันเสียงปืนแตก
แก้วันเสียงปืนแตก คือ วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508[5] ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก กองกำลังของพรรคได้เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ทั้งนี้ได้ประกาศยุทธศาสตร์ "ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง" หลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐบาลไทยมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 รัฐบาลยื่นข้อเสนอและเจรจา เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันทางรัฐสภาแทน[6][7][8]
ยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู พ.ศ. 2516
แก้ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นยุคสั้น ๆ ที่ประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย ได้มีผลงานของนักคิดนักเขียนต่างๆ ออกมาอย่างเสรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ เข้าพบประธานเหมา เจ๋อตุง ในปี พ.ศ. 2518 เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดสัมพันธไมตรีกับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์อีกครั้ง และขบวนการนักศึกษายังได้กดดันให้รัฐบาลไทยมีคำสั่งให้สหรัฐอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหลังสงครามเวียดนาม[9]
นโยบายขวาจัด พ.ศ. 2519
แก้ภายใต้รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้มีการดำเนินนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด แก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ กำหนดเขตแทรกซึมของคอมมิวนิสต์และกำหนดมาตรการรุนแรงในการปราบปราม แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มโทษข้อหาหมิ่นประมาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และตั้งศาลพิเศษดำเนินคดีกับนักศึกษาและประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลา มีการใช้อำนาจตาม คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 ปิดสื่อ หนังสื่อพิมพ์ โดย สมัคร สุนทรเวช เป็นผู้พิจารณาการอนุญาตสิ่งพิมพ์[10][11]
ด้วยนโยบายขวาจัดนี้จึงทำให้นักศึกษาและปัญญาชนหลบหนีเข้าป่าเพราะเกรงกลัวการจับกุม โดยไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย[12]
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
แก้เนื่องจากสงครามประชาชนยืดเยื้อนานหลายปี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งดั่งกล่าวเมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2523[13] ใจความสำคัญคือใช้การเมืองนำการทหาร มุ่งเน้นขจัดความไม่เป็นธรรมในสังคม และ "ปฏิบัติต่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือผู้หลงผิดที่เข้ามอบตัว หรือที่จับได้อย่างเพื่อนประชาชนร่วมชาติ ชี้แจงเพื่อให้ได้เข้าใจถึงนโยบายของรัฐบาลในปัญหานี้อย่างถ่องแท้ช่วยเหลือให้ใช้ชีวิตใหม่ร่วมกันต่อไปในสังคมอย่างเหมาะสม"
คำสั่งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากนโยบายขวาจัดของรัฐบาลก่อนหน้ามาสู่การประนีประนอม อย่างไรก็ตามการปฏิบัติให้เป็นผลนั้นกินระยะเวลาหลายปี[14] ทั้งนี้ บรรดาคนของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ออกจากป่าหลายคนได้กลายมาเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” รวมทั้งแสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
การยกเลิกกฎหมายคอมมิวนิสต์ พุทธศักราช 2543
แก้สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย รัฐสภาได้เห็นชอบให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 – พ.ศ. 2543 เป็นผลให้การกระทำเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ไม่เป็นความผิดในประเทศไทยอีกต่อไป และหน่วยงานภาครัฐไม่ต้องมีคณะกรรมการเฝ้าระวังและหมดอำนาจพิเศษในการจับกุมปราบปรามผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์[15]
สรุปความผิดและบทลงโทษตามกฎหมายคอมมิวนิสต์
แก้ข้อหา | โทษจำคุก | โทษปรับ | กฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
---|---|---|---|
กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์
มีบทบังคับอื่นๆ ครอบคลุมถึงการควบคุมผู้ต้องหาไว้เป็นเวลานานโดยไม่ส่งฟ้อง การชันสูตรพลิกศพผู้ต้องสงสัยอย่างไม่โปร่งใส และการจำกัดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน |
10 ปีขึ้นไป จนถึงตลอดชีวิต | ไม่มี |
(มีการแก้ไขต่อมาถึงฉบับที่ 3 พ.ศ. 2522)
(มีการแก้ไขต่อมาอีก 3 ฉบับแล้วจึงถูกยกเลิกไปโดยการนำไปรวมกับพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512)
|
อ้างอิง
แก้- ↑ "จากลูกชาวนาสู่ผู้อภิวัฒน์ 2475 ผู้นำเสรีไทยแต่สุดท้ายเป็นคนดีที่เมืองไทยไม่ต้องการ". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2002-02-07. สืบค้นเมื่อ 2002-02-07.
- ↑ ย้อนรอย ‘เค้าโครงเศรษฐกิจ’ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกที่ไม่ได้ใช้ของปรีดี พนมยงค์ ประชาไท สืบค้นเมื่อ 20–07–2020
- ↑ พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2489
- ↑ พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๙๕ และอื่น ๆ. (ม.ป.ป.). เชียงใหม่: วัฒนาการพิมพ์.
- ↑ "7 สิงหา วันเสียงปืนแตก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-12. สืบค้นเมื่อ 2012-02-06.
- ↑ "วันเสียงปืนแตก ยุทธศาสตร์การรบ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-23. สืบค้นเมื่อ 2012-02-06.
- ↑ ปฏิบัติการก่อนวันเสียงปืนแตกของ พคท.
- ↑ 7 สิงหา วันมหาประชาหาญ
- ↑ "พระบรมราชโองการ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญํติแห่งชาติ" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2022-04-26.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Interview with Samak Sundaravej เก็บถาวร 2013-10-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (recovered 8:06 PM 2/22/2008)
- ↑ Bryce Beemer, Forgetting and Remembering "Hok Tulaa", the October 6 Massacre
- ↑ ย้อนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในการเปิดตัวครั้งแรกหลังสงบนิ่งกว่า 30 ปี บีบีซีไทย สืบค้นเมื่อ 31 มีนาคม 2018
- ↑ "คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-01. สืบค้นเมื่อ 2009-05-01.
- ↑ Bunbongkarn, Suchit (2004). "The Military and Democracy in Thailand". ใน R.J. May & Viberto Selochan (บ.ก.). The Military and Democracy in Asia and the Pacific. ANU E Press. pp. 52–54. ISBN 1920942017. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
- ↑ พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๕๙๕. พ.ศ. ๒๕๔๓ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนที่ 51 ก 2 มิถุนายน 2543 หน้า 1-2