ราเม็ง (ญี่ปุ่น: ラーメン หรือ らーめんโรมาจิrāmen) เป็นบะหมี่น้ำของญี่ปุ่น ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ราเม็งมักจะทานกับเนื้อหมู สาหร่าย คามาโบโกะ ต้นหอม และบางครั้งจะมีข้าวโพด ราเม็งมีการปรุงรสแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น เช่นในเกาะคีวชู ต้นกำเนิดของราเม็งทงกตสึ (ราเม็งซุปกระดูกหมู) หรือในเกาะฮกไกโด ต้นกำเนิดของราเม็งมิโซะ (ราเม็งเต้าเจี้ยว)

ในประเทศตะวันตก คำว่า Ramen ยังเป็นคำที่ใช้เรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย

ประวัติ แก้

ในประวัติศาสตร์เท่าที่ทราบ ราเม็ง เดิมมีที่มาจากประเทศจีนและถูกนำเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นโดยชาวจีนอพยพในศตวรรษที่ 19[1][2] หรือช่วงต้นศตวรรษที่ 20[3][4] คำว่า "ราเม็ง" มาจากภาษาจีน "ลาเมี่ยน" (拉麺)[5][6] ที่มีความหมายถึง เส้นบะหมี่ที่ใช้มือนวดให้มีความเหนียวนุ่ม ที่ได้รับความนิยมบริโภคไปทั่วเอเชียตะวันออก แต่อาจจะมีที่มาจากคำอื่น ๆ ที่ออกเสียงใกล้กัน เช่น 拉麺 老麺 鹵麺 撈麵. จากบันทึกของพิพิธภัณฑ์ราเม็งแห่งโยโกฮาม่า ราเม็งถูกนำเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นในราวปี ค.ศ. 1859 และโทกูงาวะ มิตสึกูนิ ขุนนางใหญ่ในยุคเมจิได้รับประทานราเม็ง.

ราเม็งเริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายในญี่ปุ่นเมื่อต้นศตวรรษที่ 20. ในระยะแรก ราเม็งถูกเรียกว่า "ชินาโซบะ" (支那そば) ซึ่งแปลว่า "โซบะเจ๊ก" ("ชินา" เป็นคำเรียกเชิงดูหมิ่นชนชาติจีนในภาษาญี่ปุ่น)[7] ต่อมาชาวจีนได้เริ่มมีการขายราเม็งตามรถเข็นพร้อมกับขายเกี๊ยวซ่าพร้อมกัน และมีการเป่าชารูเมระเพื่อเรียกลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการอัดเป็นเทปเปิดแทน

ชนิดของราเม็ง แก้

ราเม็งมีหลากหลายชนิดแตกต่างกันตามภูมิภาค โดยชนิดของราเม็งจะแบ่งตาม เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อ และซุป สามอย่างนี้เป็นหลัก ตัวอย่างของราเม็ง ได้แก่

  • ราเม็งโชยุ (ราเม็งซีอิ๊ว)
  • ราเม็งมิโซะ (ราเม็งซุปเต้าเจี้ยว)
  • ราเม็งชิโอะ (ราเม็งซุปเกลือ)
  • ราเม็งบันชู
  • ราเม็งทากายามะ
  • ราเม็งโอโนมิจิ
  • ราเม็งชาชู

รวมภาพ แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

  1. Shin-Yokohama Raumen Museum
  2. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ao2018
  3. Okuyama, Tadamasa (2003). 文化麺類学・ラーメン篇 [Cultural Noodle-logy;Ramen] (ภาษาญี่ปุ่น). Akashi Shoten. ISBN 4750317926.
  4. Kosuge, Keiko (1998). にっぽんラーメン物語 [Japanese Ramen Story] (ภาษาญี่ปุ่น). Kodansha. ISBN 4062563029.
  5. "Unearth the secrets of ramen at Japan's ramen museum". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-28. สืบค้นเมื่อ 2018-11-05.
  6. Kodansha encyclopedia of Japan, Volume 6 (1st ed.). Tokyo: Kodansha. 1983. p. 283. ISBN 978-0-87011-626-1.
  7. Cwiertka, Katarzyna Joanna (2006). Modern Japanese cuisine: food, power and national identity. Reaktion Books. p. 144. ISBN 1-86189-298-5. However, Shina soba acquired the status of 'national' dish in Japan under a different name - rāmen. The change of name from Shina soba to rāmen took place during the 1950s and '60s. The word Shina, used historically in reference to China, acquired a pejorative connotation through its association with Japanese imperialist association in Asia and was replaced with the word Chūka, which derived from the Chinese name for the People's Republic. For a while, the term Chūka soba was used, but ultimately the name rāmen caught on, inspired by the chicken-flavored instant version of the dish that went on sale in 1958 and spread nationwide in no time.