ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์ หรือที่เรียกว่า มณฑลอียิปต์ที่ 2 เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิเปอร์เซียแห่งราชวงศ์อะคีเมนิด ระหว่าง 343 ถึง 332 ปีก่อนคริสตกาล สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตอียิปต์และขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ในเวลาต่อมา และราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดสิ้นสุดลงเมื่อกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชทรงพิชิตอียิปต์
ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์ (อียิปต์แห่งจักรวรรดิอะคีเมนิด) | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
มณฑลของจักรวรรดิอะคีเมนิด | |||||||||||
343 ปีก่อนคริสตกาล – 332 ปีก่อนคริสตกาล | |||||||||||
![]() ส่วนด้านตะวันตกของจักรวรรดิอะคีเมนิด และดินแดนอียิปต์[1][2][3][4] | |||||||||||
การปกครอง | |||||||||||
ฟาโรห์ | |||||||||||
• 343–338 ปีก่อนคริสตกาล | ฮาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 (พระองค์แรก) | ||||||||||
• 336–332 ปีก่อนคริสตกาล | ดาริอุสที่ 3 (พระองค์สุดท้าย) | ||||||||||
ยุคทางประวัติศาสตร์ | สมัยอะคีเมนิด | ||||||||||
• การพิชิตของกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 | 343 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
• การพิชิตของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช | 332 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
|
ช่วงเวลาของราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์เป็นครั้งที่สองที่ผู้ปกครองชาวเปอร์เซียปกครองอียิปต์ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า "มณฑลอียิปต์ที่ 2" ก่อนการสถาปนาราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด อียิปต์มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้รับเอกราช โดยราชวงศ์ของฟาโรห์ชาวพื้นเมืองจำนวน 3 ราชวงศ์ผลัดเข้ามาปกครอง (ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด, ยี่สิบเก้า และสามสิบ) ช่วงที่ชาวเปอร์เซียเข้ามาปกครองก่อนหน้านี้เรียกว่า "มณฑลอียิปต์ที่ 1" หรือราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์ (ระหว่าง 525–404 ปีก่อนคริสตกาล)
ประวัติราชวงศ์
แก้การดำเนินการทางทหารมายังอียิปต์ครั้งแรก
แก้ในราว 351 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสทรงได้เริ่มดำเนินการทหารเพื่อตีอียิปต์คืนกลับมา หลังจากการก่อจลาจลในรัชสมัยกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ ในเวลาเดียวกัน การก่อจลาจลได้ปะทุขึ้นในเอเชียไมเนอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธีบส์ ซึ่งจะกลายเหตุการณ์รุนแรง[5] กษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสทรงเคลื่อนทัพไปยังอียิปต์โดยระดมกองทัพจำนวนมหาศาลและไปรบกับฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 2 หลังจากนั้นหนึ่งปีแห่งการต่อสู้กับฟาโรห์แห่งอียิปต์ พระองค์ทรงพ่ายแพ้ให้กับฟาโรห์เนคทาเนโบด้วยการสนับสนุนของทหารรับจ้างที่นำโดยนายพลชาวกรีกดิโอฟานตุสและลามิอุส[6] กษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสทรงถูกบังคับให้ล่าถอยและเลื่อนแผนการพิชิตอียิปต์คืนออกไป
การดำเนินการทางทหารมายังอียิปต์ครั้งที่สอง
แก้ใน 343 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสนอกเหนือจากชาวเปอร์เซีย 330,000 คนของพระองค์แล้ว ตอนนี้มีกองกำลังชาวกรีก 14,000 คนโดยเมืองกรีกในเอเชียไมเนอร์: 4,000 คนในการควบคุมของเมนทอร์แห่งรอดส์ ซึ่งประกอบด้วยกองทหารที่นำมาช่วยเหลือของเทนเนสจากอียิปต์ ประกอบด้วย 3,000 คนส่งโดยอาร์กอส และอีก 1,000 คนจากธีบส์ โดยแบ่งกองทหารเหล่านี้ออกเป็นสามกอง และวางไว้แม่ทัพแต่ละฝ่ายเป็นชาวเปอร์เซียและชาวกรีก ผู้บัญชาการชาวกรีกคือ ลาคราเตสแห่งธีบส์, เมนทอร์แห่งรอดส์ และนิคอสตราตุสแห่งอาร์กอส ในขณะที่ชาวเปอร์เซียนำโดย รอสซาเซส, อริสตาซาเนส และบาโกอัส หัวหน้าขันทีของฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 2 ได้ต่อต้านด้วยกองทัพ 100,000 คนโดย 20,000 คนเป็นทหารรับจ้างชาวกรีก ฟาโรห์เนคทาเนโบทรงยึดครองแม่น้ำไนล์และสาขาต่าง ๆ ด้วยกองทัพเรือขนาดใหญ่ของพระองค์ ลักษณะของภูมิประเทศที่ตัดผ่านด้วยลำคลองมากมายและเต็มไปด้วยเมืองที่มีป้อมปราการแน่นหนาเป็นประโยชน์ของพระองค์ และฟาโรห์เนคทาเนโบอาจจะทรงได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อหากไม่ประสบความสำเร็จ แต่พระองค์ขาดนายพลที่ดีและมั่นใจในอำนาจการบังคับบัญชาของพระองค์เองมากเกินไป พระองค์พบว่าพระองค์เองทรงถูกขับไล่โดยนายพลทหารรับจ้างชาวกรีก กองกำลังของพระองค์ได้พ่ายแพ้โดยกองทัพเปอร์เซียที่รวมกันใกล้กับเปลูเซียม[11]
หลังจากพ่ายแพ้ ฟาโรห์เนคทาเนโบทรงรีบหนีไปยังเมืองเมมฟิสโดยทิ้งเมืองที่มีป้อมปราการให้กองทหารรักษาการณ์ปกป้อง กองทหารรักษาการณ์เหล่านี้ประกอบด้วยกองกำลังกรีกบางส่วนและกองทัพอียิปต์บางส่วน ชาวเปอร์เซียสามารถเอาชนะเมืองต่างๆ ทั่วอียิปต์ตอนล่างได้อย่างรวดเร็ว และกำลังบุกโจมตีเมืองเมมฟิส เมื่อฟาโรห์เนคทาเนโบทรงตัดสินพระทัยหนีออกจากอียิปต์และหนีลงใต้ไปยังเอธิโอเปีย[11] จากนั้นกองทัพเปอร์เซียก็ไล่ต้อนชาวอียิปต์จนหมดสิ้นและยึดครองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ตอนล่าง หลังจากที่ฟาโรห์เนคทาเนโบทรงหนีไปยังเอธิโอเปีย อียิปต์ทั้งหมดก็ยอมจำนนต่อกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีส ชาวยิวในอียิปต์ถูกส่งไปยังบาบิโลนหรือชายฝั่งทางใต้ของทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ชาวยิวในฟีนิเซียเคยถูกส่งไปก่อนหน้านี้
หลังจากชัยชนะเหนือชาวอียิปต์ กษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสทรงได้ทำลายกำแพงเมือง ทรงเริ่มการปกครองด้วยความหวาดกลัว และเริ่มปล้นวิหารทั้งหมด เปอร์เซียได้รับความมั่งคั่งจำนวนมากจากการปล้นครั้งนี้ พระองค์ยังทรงเก็บภาษีสูงและพยายามทำให้อียิปต์อ่อนแอลงมากพอที่จะไม่ก่อกบฏต่อเปอร์เซียอีก ในช่วง 10 ปีที่เปอร์เซียควบคุมอียิปต์ ผู้เชื่อในศาสนาพื้นเมืองถูกข่มเหงและหนังสือศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมย[13] ก่อนที่พระองค์จะกลับไปเปอร์เซีย พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ฟีเรนดาเรสเป็นผู้ว่าการมณฑลอียิปต์ ด้วยความมั่งคั่งที่ได้รับจากการพิชิตอียิปต์ กษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสทรงสามารถให้รางวัลแก่ทหารรับจ้างของพระองค์ได้อย่างเพียงพอ จากนั้นพระองค์ก็เสด็จกลับเมืองหลวง หลังจากสำเร็จการรุกรานและยึดครองอียิปต์แล้ว
การปกครองของผู้ว่าการมณฑลอียิปต์
แก้ไม่ทราบว่าใครเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหลังจากรัชสมัยกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 แต่เฟเรนดาเตสที่ 2 ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลในช่วงแรกๆ ของอียิปต์ ในรัชสมัยกษัตริย์ดาริอุสที่ 3 (ระหว่าง 336–330 ปีก่อนคริสตกาล) มีผู้ว่าการฯ นามว่า ซาบาเคส ซึ่งต่อสู้และเสียชีวิตที่อิสซูส และมาซาเคส ซึ่งเข้ามารั้งตำแหน่งต่อ ชาวอียิปต์ยังต่อสู้ที่อิสซูส เช่น ขุนนางซอมทูเทฟเนเคตแห่งเฮราคลีโอโพลิส ผู้เขียน "จารึกเนเปิลส์" ว่าเขาหลบหนีอย่างไรในระหว่างการต่อสู้กับชาวกรีกและ อาร์ซาเฟส เทพเจ้าประจำเมืองของเขา ปกป้องเขาและให้เขากลับบ้านได้อย่างไร
ใน 332 ปีก่อนคริสตกาล มาซาเซสได้ให้อียิปต์ให้กับกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชโดยไม่มีการต่อสู้ ซึ่งจักรวรรดิอะคีเมนิดได้ล่มสลายไปแล้วนั้น ในขณะที่อียิปต์ได้กลายมาเป็นมณฑลหนึ่งในอาณาจักรของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ต่อมาทอเลมีและโรมันได้ปกครองลุ่มแม่น้ำไนล์อย่างต่อจากนั้น
วัฒนธรรม
แก้บางครั้งชาวอียิปต์สวมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับจากต่างประเทศ รสนิยมของแฟชั่นที่ไม่ใช่ของอียิปต์เกิดขึ้นในช่วงที่มีการค้ากว้างขวางหรือมีการติดต่อทางการทูตกับราชสำนักที่อยู่ห่างไกล หรือเมื่ออียิปต์ถูกควบคุมโดยอำนาจต่างชาติ ชาวเปอร์เซียซึ่งรุกรานลุ่มแม่น้ำไนล์สองครั้งจากถิ่นฐานในเอเชียตะวันตก เข้ามาปกครองอียิปต์ในช่วงราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์ (ระหว่าง 525–404 ปีก่อนคริสตกาล) และราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์ (ระหว่าง 342–332 ปีก่อนคริสตกาล) รูปสลักนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยหลังการปกครองของเปอร์เซียในอียิปต์[14]
จากการอ้างอิงจากพิพิธภัณฑ์บรูคลิน "กระโปรงยาวที่แสดงรอบร่างของรูปสลักนี้และซ่อนไว้ที่ขอบด้านบนของเสื้อผ้าโดยทั่วไปแล้วเป็นแบบเปอร์เซีย สร้อยคอที่เรียกว่า ทอร์ก ซึ่งประดับด้วยรูปตัวไอเบ็กซ์ สัญลักษณ์แห่งความว่องไวในเปอร์เซียโบราณ และความกล้าหาญทางเพศ ซึ่งรูปสลักนี้แสดงให้เห็นถึงขุนนางผู้นี้ในชุดเปอร์เซียอาจจะเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองพระองค์ใหม่”[14]
เหรียญกษาปณ์
แก้เหรียญกษาปณ์อียิปต์แห่งราชวงศ์อะคีเมนิด
แก้-
เหรียญของผู้ว่าการมณฑล ซาบาเคส ซึ่งเลียนแบบเหรียญของเอเธนส์ ประมาณ 340-333 ปีก่อนคริสตกาล จากสมัยอียิปต์แห่งราชวงศ์อะคีเมนิด
-
เหรียญของผู้ว่าการมณฑล ซาบาเคส จากสมัยอียิปต์แห่งราชวงศ์อะคีเมนิด ประมาณ 335-333 ปีก่อนคริสตกาล
เหรียญกษาปณ์ซิลีเซียกับผู้ปกครองราชวงศ์อะคีเมนิดในฐานะฟาโรห์
แก้-
เหรียญแห่งซิลิเซีย ราว 343-332 ปีก่อนคริสตกาล คาดว่าเป็นรูปของกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 (ด้านหน้า) และกษัตริย์อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 4 ยุวกษัตริย์ (ด้านหลัง) โดยที่ทั้งสองพระองค์ทรงสวมมงกุฎฟาโรห์[15][7]
รายพระนามฟาโรห์
แก้พระนาม | รูปภาพ | รัชสมัย | พระนามครองราชย์ | คำอธิบาย |
---|---|---|---|---|
อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 | 343–338 ปีก่อนคริสตกาล | ทรงผนวกอียิปต์ให้อยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซียเป็นครั้งที่สอง | ||
อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 4 | 338–336 ปีก่อนคริสตกาล | ทรงปกครองเฉพาะในอียิปต์ล่าง | ||
คาบาคาช | 338–335 ปีก่อนคริสตกาล | เซเนน-เซเตปุ-นิ-พทาห์ | ทรงนำการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของเปอร์เซียในอียิปต์บนประกาศ และทรงตั้งตนเป็นฟาโรห์ | |
ดาริอุสที่ 3 | 336–332 ปีก่อนคริสตกาล | ทรงทำให้อียิปต์บนกลับสู่การควบคุมของเปอร์เซียอีกครั้งเมื่อ 335 ปีก่อนคริสตกาล |
เส้นเวลาของราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด
แก้
ผู้ว่าการมณฑลของราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด
แก้รายนาม | ช่วงเวลาปกครอง | รัชสมัย | คำอธิบาย |
---|---|---|---|
เฟเรนดาเตสที่ 2 | 343–335 ปีก่อนคริสตกาล[16] | อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 | |
ซาบาเคส | 335-333 ปีก่อนคริสตกาล[16] | ดาริอุสที่ 3 | ถูกสังหารในยุทธการที่อิสซูส |
มาซาเคส | 333–332 ปีก่อนคริสตกาล[16] | ดาริอุสที่ 3 |
อ้างอิง
แก้- ↑ O'Brien, Patrick Karl (2002). Atlas of World History (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. pp. 42–43. ISBN 9780195219210.
- ↑ Philip's Atlas of World History. 1999. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-17. สืบค้นเมื่อ 2023-06-02.
- ↑ Davidson, Peter (2018). Atlas of Empires: The World's Great Powers from Ancient Times to Today (ภาษาอังกฤษ). i5 Publishing LLC. ISBN 9781620082881.
- ↑ Barraclough, Geoffrey (1989). The Times Atlas of World History (ภาษาอังกฤษ). Times Books. p. 79. ISBN 0723003041.
- ↑ "Artaxerxes III PersianEmpire.info History of the Persian Empire". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2023-06-02.
- ↑ Miller, James M. (1986). A History of Ancient Israel and Judah. John Haralson Hayes (photographer). Westminster John Knox Press. pp. 465. ISBN 0-664-21262-X.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Kovacs, Frank L. (2002). "Two Persian Pharaonic Portraits". Jahrbuch für Numismatik und Geldgeschichte (ภาษาอังกฤษ). R. Pflaum. pp. 55–60.
- ↑ "a Persian hero slaughtering an Egyptian pharaoh while leading four other Egyptian captives" Hartley, Charles W.; Yazicioğlu, G. Bike; Smith, Adam T. (2012). The Archaeology of Power and Politics in Eurasia: Regimes and Revolutions (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. p. ix, photograph 4.6. ISBN 9781139789387.
- ↑ "Victor, apparently wearing the tall Persian headdress rather than a crown, leads four bareheaded Egyptian captives by a rope tied to his belt. Victor spears a figure wearing Egyptian type crown." in Root, Margaret Cool (1979). The king and kingship in Achaemenid art: essays on the creation of an iconography of empire (ภาษาอังกฤษ). Diffusion, E.J. Brill. p. 182. ISBN 9789004039025.
- ↑ "Another seal, also from Egypt, shows a Persian king, his left hand grasping an Egyptian with an Egyptian hairdo (pschent), whom he thrusts through with his lance while holding four prisoners with a rope around their necks." Briant, Pierre (2002). From Cyrus to Alexander: A History of the Persian Empire (ภาษาอังกฤษ). Eisenbrauns. p. 215. ISBN 9781575061207.
- ↑ 11.0 11.1 "Artaxerxes III Ochus ( 358 BC to 338 BC )". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อFK3
- ↑ "Persian Period II". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 17, 2008. สืบค้นเมื่อ March 6, 2008.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 "The long skirt shown wrapped around this statue’s body and tucked in at the upper edge of the garment is typically Persian. The necklace, called a torque, is decorated with images of ibexes, symbols in ancient Persia of agility and sexual prowess. The depiction of this official in Persian dress may have been a demonstration of loyalty to the new rulers." "Egyptian Man in a Persian Costume". www.brooklynmuseum.org. Brooklyn Museum.
- ↑ CNG: CILICIA, Myriandros. Mazaios. Satrap of Cilicia, 361/0-334 BC. AR Obol (10mm, 0.64 g).
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Stewart, John (2006). African States and Rulers (Third ed.). London: McFarland. p. 83. ISBN 0-7864-2562-8.