ระบอบทักษิณ
ระบอบทักษิณ (อังกฤษ: Thaksinocracy) เป็นคำที่นักวิชาการบางส่วนนิยามการปกครองประเทศไทยในสมัยที่ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพื้นฐานเป็นประชานิยม และการควบคุมเสียงข้างมากได้อย่างเบ็ดเสร็จในรัฐสภา บ้างก็เรียกแบบการปกครองนี้ว่า "ทักษิณาธิปไตย" "ระบบเผด็จการโดยเสียงข้างมาก" และ "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์จากการเลือกตั้ง" ซึ่งบางส่วนมาจากคำจำกัดความของระบอบทักษิณ[1] อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความต่าง ๆ ยังมีความไม่ชัดเจน และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้เพิ่มความชอบธรรมให้กับการขับไล่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2548–2549 ตลอดจนการต่อต้านพันธมิตรทางการเมืองของทักษิณในเวลาต่อมา
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับ |
พรรคการเมืองหลักที่เกี่ยวข้อง
|
การเมืองไทย • ประวัติศาสตร์ไทย |
คำจำกัดความ
เกษียร เตชะพีระเป็นผู้ให้นิยามคำว่าระบอบทักษิณ โดยนิยามว่าเป็นระบอบอาญาสิทธิทุนนิยมจากการเลือกตั้ง (elected capitalist absolutism) โดยคำนิยามดังกล่าวสามารถแยกอธิบายองค์ประกอบออกเป็นสองส่วนคือ
- มีลักษณะสมบูรณาญาสิทธิทุนในแง่การใช้อำนาจการเมือง
- มีหัวหน้าฝ่ายบริหารทางการเมืองของชนชั้นนายทุน[2]
หลังจากนั้นได้มีการพยายามให้นิยามกับคำว่าระบอบทักษิณอีกหลายแบบ เช่น ในความคิดของแก้วสรร อติโพธิได้ให้คำจำกัดความไว้ 4 ข้อ ดังนี้
- ยักยอกรัฐธรรมนูญ ยึดครองประชาธิปไตย การแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้มีความสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวพันธ์หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงเพื่อหมู่คณะของตนเอง
- หลงใหลทุนนิยมใหม่จนลืมประเทศชาติ สร้างกระแสระบบทุนนิยมโดยลืมความเป็นรากเหง้าความเป็นไทย
- ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงจำนวนมากมายไม่ได้แก้ไข ทำผลธุรกิจแอบแฝง
- ทำให้บ้านเมืองสิ้นความสงบสุข เป็นตัวการในการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในประเทศชาติ[3]
นักวิชาการบางคนเรียกระบอบทักษิณว่าเป็นระบบเผด็จการโดยเสียงข้างมาก เนื่องจากเป็นลักษณะการบริหารประเทศที่มีแนวโน้มรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ[1]
การระบุองค์ประกอบ
มีข้อกล่าวหาว่าต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบของระบอบทักษิณ เช่น
- การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแปรรูปของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ ขณะนั้นโดยปัจจุบันเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และความพยายามจะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
- การแก้สัมปทานสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
- กรณีการควบรวมพรรคชาติพัฒนา พรรคเสรีธรรม เข้ากับพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้เกิดเผด็จการรัฐสภาเนื่องจากสมาชิกสภาราษฎรไม่กล้าโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องทำตามมติพรรคไทยรักไทย[4]จึงส่งผลให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาลมักได้เสียงไว้วางใจเนื่องจากผู้ไม่ทำตามมติพรรคโดยโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจะถูกลงโทษ
- การกระจายเงินงบประมาณ ให้ประชาชนในต่างจังหวัด ผ่านโครงการหรือนโยบาย ต่าง ๆ เพื่อรักษาความนิยมในพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการซื้อเสียงระยะยาว ตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท[5]
- สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาว่า ความพยายามต้องการพาทักษิณกลับประเทศ โดยให้นักการเมืองที่เป็นพันธมิตรชนะการเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณ[6]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, พระผู้ทรงปกเกล้าฯ ประชาธิปไตย : ๖๐ ปีสิริราชสมบัติกับการเมืองการปกครองไทย, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549, หน้า 202
- ↑ เกษียร เตชะพีระ, "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุนจากการเลือกตั้ง", มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2546. อ้างอิงตาม เกษียร เตชะพีระ, "ระบอบทักษิณ", ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มค-มีค 2547.
- ↑ "คำจำกัดความและรายละเอียดของระบอบทักษิณ โดย อ.แก้วสรร อติโพธิ" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-08-20. สืบค้นเมื่อ 2006-09-05.
- ↑ คาดการณ์ลงคะแนนมติ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 158
- ↑ "นโยบายสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างเป็นรูปธรรม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-13. สืบค้นเมื่อ 2016-06-10.
- ↑ "ล้ม "ชัชชาติ" เชิงยุทธศาสตร์ "ไม่เลือกเราเขามาแน่" ภาค 2". กรุงเทพธุรกิจ. 7 May 2022. สืบค้นเมื่อ 15 May 2022.
แหล่งข้อมูลอื่น
- แก้วสรร อติโพธิ หยุดระบอบทักษิณ เก็บถาวร 2006-08-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Painter, Martin (2005). "Thaksinocracy or Managerialization? Reforming the Thai Bureaucracy" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). Southeast Asia Research Centre, City University of Hong Kong. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2006-09-22.