มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ
มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ (อังกฤษ: Maleficent) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวจินตนิมิตด้านมืดที่ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2014 กำกับโดยโรเบิร์ต สตรอมเบิร์ก จากบทภาพยนตร์โดยลินดา วูลเวอร์ตัน ร่วมอำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์และรอธฟิล์มส เป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดงที่สร้างจากภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา ของวอลต์ ดิสนีย์ ในปี ค.ศ. 1959 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเทพนิยายชื่อเดียวกันของชาร์ล แปโร ในปี ค.ศ. 1697 แต่ดำเนินเรื่องราวผ่านมุมมองของมาเลฟิเซนต์ นางฟ้าผู้ชั่วร้าย ว่าด้วยความสัมพันธ์อันขัดแย้งระหว่างนางกับกษัตริย์และเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมนุษย์ แสดงนำโดยแอนเจลีนา โจลี เป็นตัวละครหลัก ร่วมด้วยชาร์ลโต คอปเลย์, แอลล์ แฟนนิง, แซม ไรลีย์, อิเมลดา สตอนตัน, จูโน เทมเพิล, เลสลีย์ แมนวิลล์, เบรนตัน ทเวทส์ และเคนเนธ แครนแฮม ในบทบาทสมทบ
มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ | |
---|---|
ใบปิดประชาสัมพันธ์ | |
กำกับ | โรเบิร์ต สตรอมเบิร์ก |
บทภาพยนตร์ | ลินดา วูลเวอร์ตัน |
สร้างจาก | |
อำนวยการสร้าง | โจ รอธ |
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | ดีน เซมเลอร์ |
ตัดต่อ |
|
ดนตรีประกอบ | เจมส์ นิวตัน เฮาเวิร์ด |
บริษัทผู้สร้าง |
|
ผู้จัดจำหน่าย | วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์ โมชันพิกเชอส์ |
วันฉาย | 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 (ลอสแอนเจลิส) 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 (สหรัฐ) 12 มิถุนายน ค.ศ. 2014 (ไทย) |
ความยาว | 97 นาที |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 180–263 ล้านดอลลาห์สหรัฐ[1] |
ทำเงิน | 758.5 ล้านดอลลาห์สหรัฐ[2] |
ต่อจากนี้ | มาเลฟิเซนต์: นางพญาปีศาจ (2019) |
มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ เคยเตรียมสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันในปี ค.ศ. 2003 ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์คนแสดงในปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่ดิสนีย์เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์ เดิมทีทิม เบอร์ตัน รับหน้าที่กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ในที่สุดก็ถอนตัว และถูกแทนที่ด้วยสตรอมเบิร์กในการกำกับเรื่องแรกของเขา โจลีเซ็นสัญญารับบทนำในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2012 และยังรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับไมเคิล วิเอรา, ดอน ฮาห์น, ปาลัค พาเทล, แมตต์ สมิธและซาราห์ แบรดชอว์[3] มีประกาศรายชื่อนักแสดงหลักที่เหลือระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2012 โดยเริ่มการถ่ายภาพยนตร์ฉากสำคัญที่ไพน์วูดสตูดิโอส์ (Pinewood Studios) ในบักกิงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012
มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ ฉายรอบปฐมทัศน์ที่ลอสแอนเจลิสเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 และเข้าฉายในสหรัฐเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมโดยวอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์โมชันพิกเชอส์ ได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลายจากนักวิจารณ์ ซึ่งชื่นชมการแสดง วิชวลเอฟเฟกต์ และเครื่องแต่งกายของโจลี โดยมีการวิจารณ์ที่มุ่งเป้าไปที่บทและน้ำเสียงที่ไม่สอดคล้องกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในด้านรายได้โดยทำรายได้ทั่วโลกกว่า 578 ล้านดอลลาห์สหรัฐ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ประจำปี ค.ศ. 2014 และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของโจลีด้วย ในบรรดาภาพยนตร์ฉบับคนแสดงของดิสนีย์ มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 6 จนถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 87 ภาคต่อเรื่อง มาเลฟิเซนต์: นางพญาปีศาจ ออกฉายในปี ค.ศ. 2019
เนื้อเรื่อง แก้
หญิงชรานางหนึ่งเล่าความว่า ในเมืองทิพย์ชื่อ เดอะมัวร์ส (The Moors) ซึ่งประชิดติดเมืองมนุษย์ เทพธิดาผู้มากฤทธิ์องค์หนึ่งนามว่า มาเลฟิเซนต์ ได้พบและรักมนุษย์หนุ่มนาม สเตฟาน ผู้มีใจใคร่จะเป็นราชา แต่ยิ่งนานวัน ทั้งคู่ก็ยิ่งห่างกัน จนวันหนึ่งสเตฟานเลิกมาหานาง ขณะที่มาเลฟิเซนต์เติบใหญ่กลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งเมืองทิพย์
ต่อมา พระเจ้าเฮนรี กษัตริย์เมืองมนุษย์ ยกรี้พลมาตีเมืองทิพย์ แต่ทรงแพ้แก่มาเลฟิเซนต์ จึงทรงกริ้วโกรธเป็นกำลัง มีรับสั่งว่า ผู้ใดตามล้างผลาญนางเพื่อแก้แค้นแทนพระองค์ได้ จะให้ผู้นั้นสืบบัลลังก์ สเตฟานสบช่องขึ้นเป็นใหญ่ จึงกลับไปหามาเลฟิเซนต์ในคืนหนึ่ง เขาวางยาสลบนาง แต่หักใจปลิดชีวิตนางไม่ลง เขาจึงใช้เหล็กอันเป็นวัตถุมีอำนาจสังหารเทพธิดาตัดปีกนางออก แล้วแสดงปีกนั้นต่อพระเจ้าเฮนรีที่กำลังจะวายปราณเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า เขาได้ฆ่านางแล้ว มาเลฟิเซนต์หัวใจแหลกลาญ จึงหันไปสร้างดินแดนอนธการอยู่ในเมืองทิพย์นั้น แล้วรับเอานกกาชื่อ เดียวัล มาเป็นคนสนิท ให้มีฤทธิ์แปลงกายได้นานัปการ
วันหนึ่ง เดียวัลมาแจ้งว่า สเตฟานได้เสวยราชย์ในเมืองมนุษย์แล้ว บัดนี้ กำลังประกอบพิธีสมโภชพระราชธิดาที่เพิ่งประสูติมีพระนามว่า ออโรรา เพื่อแก้แค้นสเตฟาน มาเลฟิเซนต์จึงบุกไปงานสมโภชโดยมิได้รับเชิญ แล้วสาปพระกุมารีให้ทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีในวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่สิบหกและบรรทมไปตลอดกาล พระเจ้าสเตฟานทรงขอให้นางปรานี นางจึงทูลว่า คำสาปนี้แก้ได้ด้วยจุมพิตจากรักแท้ และไม่มีอำนาจอื่นใดในโลกลบล้างได้ แล้วนางก็จากไป พระเจ้าสเตฟานทรงเกรงมาเลฟิเซนต์จะเคียดแค้นพระองค์ยิ่งนัก จึงรับสั่งให้ริบเครื่องปั่นฝ้ายทั้งหมดในแว่นแคว้น แล้วให้นางฟ้าสามองค์ คือ น็อตกราสส์, ฟลิตเทิล และทิสเซิลวิต นำพระราชธิดาไปรับเลี้ยงไว้ในป่าจนกว่าจะลุวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่สิบหก
นางฟ้าทั้งสามนั้นสะเพร่า มิได้เอาใจใส่พระราชธิดาตามสมควร มาเลฟิเซนต์และเดียวัลจึงมาคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่าง แม้เดิมจะจงเกลียดจงชังมากก็ตาม ครั้นพระราชธิดาเจริญพระชันษาที่สิบห้า ก็เสด็จไปพบมาเลฟิเซนต์ ทรงให้รู้สึกเสมือนว่า มาเลฟิเซนต์เฝ้าคุ้มครองป้องกันพระองค์เสมอมา จึงทรงเชื่อว่า มาเลฟิเซนต์เป็น "นางฟ้าแม่ทูนหัว" ของพระองค์ มาเลฟิเซนต์เองเมื่อให้พระราชธิดาพำนักอยู่กับตนนานเข้า ก็เริ่มตระหนักว่า ตนรักพระราชธิดามากเพียงไร นางจึงพยายามเพิกถอนคำสาปให้ แต่ไร้ผล เพราะเดิมนางได้กล่าวไว้ว่า "ไม่มีอำนาจใดในโลกลบล้างได้"
ภายหลัง ออโรราพบเจ้าชายรูปงามพระนามว่า ฟิลลิป ที่กำลังเสด็จไปวังพระเจ้าสเตฟาน ทั้งสองมีใจปฏิพัทธ์กันในบัดดล เจ้าชายฟิลลิปทรงให้คำมั่นว่าจะเสด็จกลับมาหาออโรราให้จงได้ ต่อมาเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่สิบหกมาถึง ออโรรายังทรงพอพระทัยจะอยู่กับมาเลฟิเซนต์มากกว่าจะเสด็จกลับเมืองมนุษย์ มาเลฟิเซนต์เองก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น คิดว่า คงช่วยป้องปัดมิให้คำสาปสัมฤทธิ์ผลได้ ทว่า นางฟ้าทั้งสามรุดมาแถลงว่า เป็นมาเลฟิเซนต์ที่สาปออโรรามาแต่พระเยาว์ ออโรราทรงฟังแล้วก็พระทัยสลาย เสด็จหนีมาเลฟิเซนต์คืนสู่วังพระราชบิดา
พระเจ้าสเตฟานทรงขังออโรราไว้ในวังจนกว่าวันเฉลิมพระชนม์จะพ้นไป กระนั้น ออโรราเสด็จไปพบเครื่องปั้นฝ้ายที่ริบไว้แต่เดิม และทรงถูกเข็มตำนิ้วพระหัตถ์ คำสาปเป็นอันบรรลุผล มาเลฟิเซนต์เสียใจที่ไม่อาจปกป้องพระธิดาได้ จึงลอบพาเจ้าชายฟิลลิปมาสู่วัง หวังใจว่า ที่เจ้าชายและเจ้าหญิงได้ทรงพบกันในป่านั้น แม้จะเป็นเวลาอันสั้น ก็อาจช่วยให้บังเกิดรักแท้มาแก้คำสาปได้ เจ้าชายฟิลลิปทรงบรรจงจุมพิตออโรรา แต่ว่าไม่เป็นผล มาเลฟิเซนต์ก็เสียใจหนัก จึงปวารณาจะพิทักษ์รักษาพระราชธิดาจากเภทภัยทั้งหลายจนกว่าจะเสด็จจากบรรทม กล่าวแล้วก็จุมพิตพระนลาฏพระราชธิดาด้วยความรัก ฉับพลัน พระราชธิดาทรงตื่นจากพระบรรทม มาเลฟิเซนต์จึงเข้าใจว่า รักใดในโลกนี้ก็ไม่จริงแท้เท่ารักที่แม่มีให้ลูก พระราชธิดาทรงเรียกขานมาเลฟิเซนต์ว่า "แม่ทูนหัว" ด้วยทรงซาบซึ้งถึงความรักประหนึ่งมารดาที่มาเลฟิเซนต์มีให้ และทรงอภัยมาเลฟิเซนต์ในทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
เจ้าหญิงออโรรายังทรงปรารถนาจะกลับไปอยู่กับมาเลฟิเซนต์ในเมืองทิพย์ มาเลฟิเซนต์จึงพาเสด็จหนี ทว่า พระเจ้าสเตฟานเสด็จมาขวางและทรงใช้ข่ายเหล็กจับมาเลฟิเซนต์ไว้ได้ แล้วทหารของพระองค์พร้อมด้วยศัสตราวุธทำด้วยเหล็กกล้าจึงเตรียมฆ่านาง มาเลฟิเซนต์ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายจำแลงนกกาเดียวัลเป็นมังกรเพื่อช่วยให้นางกับพระราชธิดาหนีไป แต่ทัพมนุษย์กล้าแกร่งนัก มังกรเดียวัลถูกเหล่าทหารใช้โซ่ตรวนรัดจนสิ้นฤทธิ์ ในโมงยามที่มาเลฟิเซนต์กำลังจะถูกประหารนั้นเอง เจ้าหญิงออโรราถอดปีกของมาเลฟิเซนต์ที่รักษาไว้ในคุกออกมาคืนให้ มาเลฟิเซนต์จึงได้ฟื้นฤทธานุภาพโดยบริบูรณ์ และเอาชนะพระเจ้าสเตฟานได้ มาเลฟิเซนต์ละเว้นพระชนม์โดยขอให้เลิกรากันเท่านี้ ก่อนที่นางจะพาพระราชธิดาบินจากไป ทว่า พระเจ้าสเตฟานไม่ทรงยอมแพ้ ทรงโผนไปเกาะมาเลฟิเซนต์ไว้ มาเลฟิเซนต์ทรงตัวไว้ได้ แต่พระเจ้าสเตฟานนั้นทรงพลัดตกลงสู่เบื้องล่างถึงแก่พระชนมชีพ
ครั้นแล้ว มาเลฟิเซนต์ก็รวมเมืองทิพย์เมืองคนเข้าเป็นหนึ่ง และตั้งออโรราปกครอง ตอนท้ายปรากฏว่า หญิงเฒ่าผู้เล่าเรื่องนั้นคือออโรราในบั้นปลายพระชนม์
นักแสดง แก้
- แอนเจลีนา โจลี รับบทเป็น มาเลฟิเซนต์ (Maleficent),[4] ผู้พิทักษ์ที่ดุร้ายและพยาบาทแห่งเมืองมัวร์ส ผู้แก้แค้นการทรยศของสเตฟาน อดีตคนรักของนาง ด้วยการสาปออโรรา พระราชธิดาของเขา[3] แตกต่างจากภาพยนตร์แอนิเมชันต้นฉบับ ตัวละครเวอร์ชันนี้แสดงความเห็นอกเห็นใจมากกว่า[5] ในขณะที่ภาพยนตร์ดำเนินไป มาเลฟิเซนต์ก็เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำกลายเป็นวายร้าย หลังจากการทรยศของสเตฟาน และในที่สุดก็กลายเป็นวีรสตรีเพราะความรู้สึกของความเป็นแม่ที่เธอมีต่อออโรรา[6][7]
- แอลล์ แฟนนิง รับบทเป็น ออโรรา (Aurora),[10] หรือที่รู้จักในชื่อ เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty),[11][12]
- วีเวียน โจลี-พิตต์ รับบทเป็น ออโรราเมื่อมีพระชนมายุ 5 พรรษา[13]
- เอเลนอร์ เวอร์ธิงตัน ค็อกซ์ ออโรราเมื่อมีพระชนมายุ 8 พรรษา[14]
- เจเน็ต แมคเทียร์ รับบทเป็น ออโรราเมื่อมีพระชนมายุมากแล้ว ซึ่งเป็นผู้บรรยายของภาพยนตร์[6]
- ชาร์ลโต คอปเลย์ รับบทเป็น สเตฟาน (Stefan),[15][16]
- เลสลีย์ แมนวิลล์, อิเมลดา สตอนตัน และจูโน เทมเพิล รับบทเป็น ฟลิตเทิล (Flittle), น็อตกราสส์ (Knotgrass) และทิสเซิลวิต (Thistlewit),[18][19][20]
- แซม ไรลีย์ รับบทเป็น เดียวัล (Diaval),[18][3]
การตอบรับ แก้
การตอบรับเชิงวิพากษ์ แก้
มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งชมเชยและตำหนิระคนกัน โดยส่วนมากชื่นชมด้านการแสดง วิชวลเอฟเฟกต์ และเครื่องแต่งกาย แต่ตำหนิด้านบทภาพยนตร์และการกำกับของสตรอมเบิร์ก ส่วนการแสดงของโจลีในบทมาเลฟิเซนต์นั้นได้รับคำชมเป็นอย่างมาก ในเว็บไซต์รอตเทนโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes) มีผู้ออกความเห็น 161 ราย ให้ภาพยนตร์ได้คะแนนร้อยละ 54 ต่อคำวิจารณ์ 273 รายการ เฉลี่ย 5.7 จากคะแนนเต็ม 10 และลงมติว่า "การแสดงอันน่าดึงดูดของแอนเจลีนา โจลี นั้นดีเด่นกว่าสเปเชียลเอฟเฟกต์มลังเมลืองในภาพยนตร์เป็นไหน ๆ แต่โชคไม่ดีที่ตัวภาพยนตร์ทำให้ความบากบั่นอันน่าประทับใจทั้งหลายต้องเสียเปล่า"[22] ส่วนในเว็บไซต์เมตาคริติก (Metacritic) มีผู้วิจารณ์ 44 ราย และให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คะแนน 56 เต็ม 100[23] โดยรวมคืออยู่ในระดับ "ปานกลาง" และจากการสำรวจผู้ชมของเว็บไซต์ซีนะมาสกอร์ (CinemaScore) ได้จัดอันดับให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในเกรด A จากเกรด A+ ถึง F[24]
แม้ภาพยนตร์มีคะแนนไม่ดี แต่การแสดงของโจลีกลับเป็นที่ชื่นชมในหมู่ผู้วิจารณ์ รอบ คอลลิน จากหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ (The Telegraph) ว่า "การที่ดิสนีย์เอา เจ้าหญิงนิทรา มาแปลงโฉมใหม่นี้ขาดเสน่ห์ที่แท้จริงไปหน่อย ดีที่แอนเจลีนา โจลี ช่วยกู้หน้าไว้ได้"[25] เบตซี ชาร์กีย์ จากหนังสือพิมพ์ ลอสแอนเจลิสไทมส์ (Los Angeles Times) ว่า "เรียกได้ว่าเป็นหนังของโจลีเพราะตัวละครมาเลฟิเซนต์ที่เธอแสดงเลยทีเดียว พอมีตัวนี้ ตัวละครอื่น ๆ แม้กระทั่งออโรรา ก็เลือนหายไปหมดสิ้น"[26] แอน ฮอร์นาเดย์ จากหนังสือพิมพ์ เดอะวอชิงตันโพสต์ (The Washington Post) ว่า "แม้มีข้อจำกัดต่าง ๆ นานา มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ ก็ยังดูได้สนุกดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้ ก็เพราะตัวละครหลักตัวเดียวเลย"[27] แดเนียล เอ็ม. คิมเมล ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ "ก้าวไปได้ก็เพราะพลานุภาพในการแสดงของแอนเจลีนา โจลี ถ้าจะให้พูดเป็นคำแล้วก็ เธอช่างล้ำเลิศ"[28] แมต ซอลเลอร์ ซีตซ์ เขียนลงเว็บไซต์ของโรเจอร์ อีเบิร์ต ว่า เขาชอบแก่นเรื่องและฝีมือของโจลี อย่างไรก็ดี เขาว่า ฉากที่มาเลฟิเซนต์รู้ว่าปีกหายไปนั้นเป็น "ภาพที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ ฮอลลีวูดนับตั้งแต่เรื่อง อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอน ราชสีห์ แม่มด กับตู้พิศวง เมื่อปี 2005 ที่เอาอัสลันไปบูชายัญเหมือนพระเยซู"[29] ขณะที่ริชาร์ด โรเปอร์ จากหนังสือพิมพ์ ชิคาโกซันไทมส์ (Chicago Sun-Times) ว่า "เนื้อเรื่องนี่ดูแล้วอาจรู้สึกมึนตึ้บอย่างเดียวกับที่นางเอกเป็น"[30]
แมรี คอสตา ผู้พากย์เสียงออโรราในภาพยนตร์แอนิเมชันต้นฉบับ กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เป็นหนังยอดเยี่ยมมาก" และกล่าวเสริมว่า "เป็นแนวคิดและมุมมองที่ต่างออกไปจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจ" เธอกล่าวถึงการแสดงของโจลีว่า "ไม่มีใครที่สามารถรับบทมาเลฟิเซนต์ได้เยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว" รวมทั้งว่า "เธอสง่างามมาก!"[31]
อ้างอิง แก้
- ↑ FilmL.A. (May 2015). "2014 Feature Film Study" (PDF). FilmL.A. Feature Film Study. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ May 20, 2023. สืบค้นเมื่อ November 11, 2017.
- ↑ "Maleficent (2014)". Box Office Mojo. IMDb. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 4, 2014. สืบค้นเมื่อ December 6, 2014.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 "Maleficent Press Kit" (PDF). Walt Disney Studios. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ June 9, 2014. สืบค้นเมื่อ June 6, 2014.
- ↑ Szalai, Georg; McClintock, Pamela (February 11, 2012). "Berlin 2012: Disney's 'Maleficent' Will Be Angelina Jolie's Next Starring Role". The Hollywood Reporter. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2022. สืบค้นเมื่อ December 19, 2022.
- ↑ Burk, Greg (June 12, 2014). "Op-Ed: Disney's 'Maleficent': Romancing the devil". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 10, 2023. สืบค้นเมื่อ November 30, 2023.
- ↑ 6.0 6.1 "The Differences Between 'Maleficent' and 'Sleeping Beauty'". Yahoo!. May 31, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2023. สืบค้นเมื่อ June 13, 2023.
- ↑ "Q & A with Angelina Jolie on Maleficent". Geek Ireland. May 28, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 23, 2024. สืบค้นเมื่อ February 23, 2024.
- ↑ Charalambous, Sophia (November 8, 2012). "Chelmsford schoolgirl stars in Disney movie with Angelina Jolie". Essex Chronicle. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 24, 2014. สืบค้นเมื่อ June 13, 2023.
- ↑ Stephens, Hallie (May 29, 2014). "Meet Young Angelina Jolie in 'Maleficent': Actress Ella Purnell". Yahoo!. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2022. สืบค้นเมื่อ December 19, 2022.
- ↑ "Elle Fanning on the spell of 'Maleficent'". The Columbus Dispatch. June 4, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 23, 2024. สืบค้นเมื่อ February 23, 2024.
- ↑ Fleming, Mike Jr. (March 3, 2012). "Elle Fanning To Join Angelina Jolie In 'Maleficent'". Deadline Hollywood. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2022. สืบค้นเมื่อ December 19, 2022.
- ↑ Desowitz, Bill (May 30, 2014). "Director Robert Stromberg Talks 'Maleficent': Cutting Edge Virtual Cinema and Age-Old Emotional Storytelling". IndieWire. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 25, 2023. สืบค้นเมื่อ February 25, 2023.
- ↑ Duboff, Josh (March 5, 2014). "Vivienne Jolie-Pitt Scored Maleficent Role Because All Other Children Were Terrified of Angelina Jolie". Vanity Fair. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 13, 2016. สืบค้นเมื่อ March 20, 2014.
- ↑ Miles, Tina (October 4, 2012). "Young Formby actress to play Sleeping Beauty in Angelina Jolie's Disney movie Maleficent". Liverpool Echo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2013. สืบค้นเมื่อ January 2, 2023.
- ↑ Patten, Dominic (May 3, 2012). "Sharlto Copley In Talks To Join Angelina Jolie in Disney's 'Maleficent'". Deadline Hollywood. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 6, 2023. สืบค้นเมื่อ January 6, 2023.
- ↑ Cornet, Roth (May 26, 2014). "Sharlto Copley's Done Playing Villains After Maleficent". IGN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 12, 2020. สืบค้นเมื่อ February 23, 2024.
- ↑ "Bellshill schoolboy wins role opposite Hollywood star Angelina Jolie in new Disney film". Daily Record. September 18, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 18, 2012. สืบค้นเมื่อ June 15, 2023.
- ↑ 18.0 18.1 Kit, Borys (May 7, 2012). "Imelda Staunton, Miranda Richardson Joining Angelina Jolie in 'Maleficent' (Exclusive)". The Hollywood Reporter. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2023. สืบค้นเมื่อ June 15, 2023.
- ↑ Kit, Borys (May 17, 2012). "Juno Temple Joins Angelina Jolie's 'Maleficent' (Exclusive)". The Hollywood Reporter. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 3, 2023. สืบค้นเมื่อ June 15, 2023.
- ↑ Powell, Emma (October 2, 2014). "Imelda Staunton, Juno Temple, and Lesley Manville talk dressing up as fairies for Maleficent". Evening Standard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 13, 2022. สืบค้นเมื่อ June 15, 2023.
- ↑ Acuna, Kirsten (May 28, 2014). "Angelina Jolie Is The Best Part Of 'Maleficent'". Business Insider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2022. สืบค้นเมื่อ February 14, 2024.
- ↑ "Maleficent (2014)". Rotten Tomatoes (Flixster). สืบค้นเมื่อ June 5, 2014.
- ↑ "Maleficent". Metacritic. สืบค้นเมื่อ May 31, 2014.
- ↑ Bahr, Lindsey (June 1, 2014). "Box office report: 'Maleficent' reigns; 'A Million Ways' disappoints". Entertainment Weekly. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 7, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2024.
- ↑ Collin, Robbie (May 28, 2014). "Maleficent, review". The Telegraph. สืบค้นเมื่อ 29 May 2014.
- ↑ Sharkey, Betsy (May 29, 2014). "Review: Angelina Jolie is wickedly good in the not-quite-classic 'Maleficent'". The Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ May 30, 2014.
- ↑ Hornaday, Ann (May 30, 2014). "Angelina Jolie stars in 'Maleficent,' a feminist-revisionist take on Sleeping Beauty". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ May 30, 2014.
- ↑ Kimmel, Daniel M. (May 29, 2014). "Review – Maleficent". NorthShoreMovies.net. สืบค้นเมื่อ May 30, 2014.
- ↑ Seitz, Matt (May 29, 2014). "Maleficent Movie Review & Film Summary (2014)". RogerEbert.com. Ebert Digital LLC. สืบค้นเมื่อ June 3, 2014.
- ↑ Roeper, Richard (June 2, 2014). "Maleficent (2014)". RichardRoeper.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-06. สืบค้นเมื่อ June 3, 2014.
- ↑ California Institute of the Arts: Mary Costa, Awake and Sing, California Institute of the Arts, 2015