เผือก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ไม่ได้จัดลำดับ: Angiosperms
ไม่ได้จัดลำดับ: Monocots
อันดับ: Alismatales
วงศ์: Araceae
วงศ์ย่อย: Aroideae
เผ่า: Colocasieae
สกุล: Colocasia
สปีชีส์: C.  esculenta
ชื่อทวินาม
Colocasia esculenta
(L.) Schott

เผือก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Colocasia esculenta) เป็นพืชล้มลุกอายุยืนในวงศ์ Araceae เช่นเดียวกับบอน ต้นตรง ไม่มีเนื้อไม้ มีหัวใต้ดินสะสมอาหาร ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ก้านดอกอวบใหญ่ สั้นกว่าก้านใบ ดอกตัวผู้และตัวเมียขนาดเล็กอยู่แยกกันบนแกนช่อ ดอกตัวเมียสีเขียวอยู่โคน ดอกตัวผู้สีขาวอยู่ปลาย ผลมีเนื้อเป็นกระจุกแน่น มี 1-10 เมล็ด

เผือกเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือตอนใต้ของเอเชียกลาง ปัจจุบันใช้ปลูกเป็นพืชอาหารในหมู่เกาะเวสต์อินดีส แอฟริกาและเอเชีย เป็นอาหารหลักในหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และปาปัวนิวกินี รวมทั้งชาวเกาะในอินโดนีเซีย เผือกรับประทานได้หลายส่วน โดยหัว หัวย่อย ไหล ใบและก้านใบเมื่อต้มสุกสามารถรับประทานได้เช่นเดียวกับบอน โดยส่วนใหญ่นิยมนำมาทำเป็นแกง แป้งจากเผือกรับประทานทั้งเป็นอาหารหลักและอาหารว่าง ใช้ใบเผือกห่อปลาเค็มหรืออาหารอื่นก่อนนำไปนึ่ง ในฮาวายนำหัวเผือกมาต้ม ตำให้ละเอียด ปล่อยให้เกิดการหมัก กลายเป็นอาหารที่เรียกโปย

สายพันธุ์ แก้

พันธุ์เผือกทั่วโลกมีความหลากหลายมาก เฉพาะที่พบในไทยแบ่งได้ 4 พันธุ์คือ[1]

  • เผือกหอม เป็นชนิดหัวใหญ่ มีหัวเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย ต้มรับประทานมีกลิ่นหอม กาบใบใหญ่สีเขียว
  • เผือกเหลือง หัวขนาดย่อม หัวสีเหลือง
  • เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ หัวมีขนาดเล็ก
  • เผือกตาแดง ตาของหัวมีสีแดงเข้ม มีหัวเล็ก ๆ ติดอยู่รอบหัวใหญ่ เป็นกลุ่มจำนวนมาก กาบใบและเส้นใบสีแดง

พิษ แก้

เผือกดิบกินไม่ได้เช่นเดียวกับบอน ซึ่งต้องทำให้สุกก่อนถึงจะรับประทานได้ เพราะมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต[2][3] ผลึกส่วนใหญ่เป็นรูปเข็ม ความเป็นพิษน้อยลงเมื่อสุก[4] แคลเซียมออกซาเลตไม่ละลายน้ำและทำให้เกิดนิ่วในไต จึงมีคำแนะนำให้กินนมหรืออาหารที่มีแคลเซียมสูงพร้อมกับเผือก[5]

คุณค่าทางโภชนาการ แก้

หัวเผือกสุก ไม่มีเกลือ
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน594 กิโลจูล (142 กิโลแคลอรี)
34.6 g
น้ำตาล0.49
ใยอาหาร5.1 g
0.11 g
0.52 g
วิตามิน
ไทอามีน (บี1)
(9%)
0.107 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(2%)
0.028 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(3%)
0.51 มก.
(7%)
0.336 มก.
วิตามินบี6
(25%)
0.331 มก.
โฟเลต (บี9)
(5%)
19 μg
วิตามินซี
(6%)
5 มก.
วิตามินอี
(20%)
2.93 มก.
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(2%)
18 มก.
เหล็ก
(6%)
0.72 มก.
แมกนีเซียม
(8%)
30 มก.
แมงกานีส
(21%)
0.449 มก.
ฟอสฟอรัส
(11%)
76 มก.
โพแทสเซียม
(10%)
484 มก.
สังกะสี
(3%)
0.27 มก.

ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA FoodData Central
ใบเผือกดิบ
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน177 กิโลจูล (42 กิโลแคลอรี)
6.7 g
น้ำตาล3 g
ใยอาหาร3.7 g
0.74 g
5 g
วิตามิน
วิตามินเอ
(30%)
241 μg
(27%)
2895 μg
1932 μg
ไทอามีน (บี1)
(18%)
0.209 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(38%)
0.456 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(10%)
1.513 มก.
วิตามินบี6
(11%)
0.146 มก.
โฟเลต (บี9)
(32%)
126 μg
วิตามินซี
(63%)
52 มก.
วิตามินอี
(13%)
2.02 มก.
วิตามินเค
(103%)
108.6 μg
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(11%)
107 มก.
เหล็ก
(17%)
2.25 มก.
แมกนีเซียม
(13%)
45 มก.
แมงกานีส
(34%)
0.714 มก.
ฟอสฟอรัส
(9%)
60 มก.
โพแทสเซียม
(14%)
648 มก.
สังกะสี
(4%)
0.41 มก.

ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA FoodData Central

ภาพ แก้

อ้างอิง แก้

  • พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ และคณะ. ทรัพยากรพืชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 9: พืชให้คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่เมล็ด. กทม. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. 2544.หน้า 88 - 90
  1. http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=5&chap=5&page=t5-5-infodetail04.html[ลิงก์เสีย]
  2. "Weird Foods from around the World". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-11. สืบค้นเมื่อ 2014-01-13.
  3. ASPCA: Animal Poison Control Center: Toxic Plant List
  4. The Morton Arboretum Quarterly, Morton Arboretum/University of California, 1965, p. 36.
  5. Hossain RZ, Ogawa Y, Morozumi M, Hokama S, Sugaya K (May 2003). "Milk and calcium prevent gastrointestinal absorption and urinary excretion of oxalate in rats". Frontiers in Bioscience. 8: a117-125. doi:10.2741/1083. PMID 12700095.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)