สมเด็จพระราชินีนาถฌานที่ 1 แห่งนาวาร์

สมเด็จพระราชินีนาถฌานที่ 1 แห่งนาวาร์ (ฝรั่งเศส: Jeanne Ire de Navarre) (14 มกราคม ค.ศ. 1273 – 12 เมษายน ค.ศ. 1305) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งนาร์วาตั้งแต่ ค.ศ. 1274 และสมเด็จพระราชินีคู่สมรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศสตั้งแต่ ค.ศ. 1285 สมเด็จพระราชินีนาถฌานที่ 1 แห่งนาวาร์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 14 มกราคม ค.ศ. 1273 เป็นพระราชธิดาใน พระเจ้าอ็องรีที่ 1 แห่งนาวาร์กับบล็องช์แห่งอาร์ตัว พระบิดาของพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งนาวาร์ เมื่อพระราชบิดาของพระองค์สวรรคตในปี 1274 พระองค์จึงทรงครองราชย์บัลลังก์นาวาร์[1]โดยมีพระมารดาของพระองค์จึงเป็นผู้สำเร็จราชการ[2]

ฌานที่ 1 แห่งนาวาร์
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งนาวาร์
เคาน์เตสแห่งช็องปาญ
ครองราชย์22 กรกฎาคม ค.ศ. 1274 – 2 เมษายน ค.ศ. 1305
ก่อนหน้าอ็องรีที่ 1
ถัดไปหลุยส์ที่ 1
ผู้ร่วมในราชสมบัติพระเจ้าฟีลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (1284–1305)
สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส
ระหว่าง5 ตุลาคม ค.ศ. 1285 – 2 เมษายน ค.ศ. 1305
ราชาภิเษก5 มกราคม ค.ศ. 1286
พระราชสมภพ14 มกราคม ค.ศ. 1273
สวรรคต2 เมษายน ค.ศ. 1305
พระสวามีพระเจ้าฟีลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส
พระบิดาพระเจ้าอ็องรีที่ 1 แห่งนาวาร์
พระมารดาบล็องช์แห่งอาร์ตัว

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1284 ทำให้พระองค์ได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส พระองค์กับพระเจ้าฟิลิปที่ 4 มีพระโอรส - พระธิดา ด้วยกัน ดังนี้

พระราชประวัติ แก้

ฌานที่ 1 แห่งนาวาร์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1273 ทรงเป็นพระธิดาของพระเจ้าอ็องรีที่ 1 แห่งนาวาร์กับพระราชินีบล็องช์แห่งอาร์ตัว ทรงเป็นพระโอรสคนธิดาคนที่สองของทั้งคู่โดยมีพระเชษฐาหนึ่งคน คือ ธิโบต์ที่สิ้นพระชนม์ในวัยทารกหลังตกลงมาจากหน้าต่างปราสาท พระเจ้าอ็องรี พระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์หลังพระองค์สมภพได้หนึ่งปีครึ่ง เนื่องจากราชอาณาจักรนาวาร์อนุญาตให้สตรีสืบทอดบัลลังก์ได้หากไม่มีทายาทเพศชาย ฌานจึงกลายเป็นพระราชินีผู้ปกครองคนแรกของราชอาณาจักร ในตอนแรกพระมารดาทำหน้าที่สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ แต่ทั้งคู่ถูกบีบให้หนีไปฝรั่งเศสที่ลูกพี่ลูกน้องของพระนางเป็นกษัตริย์อยู่เพื่อความปลอดภัย เพื่อรักษาราชอาณาจักรไว้ฌานวัยทารกต้องแต่งงานกับผู้ทรงอำนาจ ทรงหมั้นหมายครั้งแรกกับเฮนรี พระโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ แต่คู่หมั้นของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกับที่หมั้นหมาย สุดท้ายกษัตริยฝรั่งเศส ลูกพี่ลูกน้องผู้ทรงอำนาจก็จับพระองค์หมั้นหมายกับหลุยส์หรือฟิลิป พระโอรสคนใดคนหนึ่งของพระองค์ได้ด้วยสนธิสัญญาออร์เลย็องส์ หลุยส์สิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรจึงเหลือเพียงฟิลิป

ในขณะเดียวกันอนาคตพระสสุระของฌานได้ปกครองนาวาร์ในนามของฌาน ดูได้จากเอกสารที่มักกล่าวถึงฌานโดยระบุอย่างชัดเจนว่าทรงเป็นพระราชินีโดยสิทธิ์อันชอบธรรม ฌานกับฟิลิปแต่งงานกันในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1284 ซึ่งฌานยังคงมีพระชนมายุเพียง 11 ปี การแต่งงานได้นำนาวาร์และเคาน์ตีช็องปาญกับเคาน์ตีบรีมาอยู่ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ปีต่อมาทรงกลายเป็นพระราชินีแห่งฝรั่งเศสเมื่อพระสสุสระสิ้นพระชนม์ พระองค์ยังเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารปกครองมากขึ้น ทว่าสถานการณ์ในราชอาณาจักรของพระองค์ยังคงไม่ชัดเจน

ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระสวามีดูแน่นแฟ้นดี เอกสารจากยุคเดียวกันกล่าวว่ากษัตริย์ "มักต้องการที่จะอยู่ใกล้พระมเหสี" ทั้งคู่มีพระโอรสที่มีชีวิตรอดสามคนกับพระธิดาที่มีชีวิตรอดหนึ่งคน พระโอรสทั้งสามคนของพระองค์ต่อมาจะขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ส่วนพระธิดาจะกลายเป็นพระราชินีแห่งอังกฤษในฐานะพระมเหสีของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1304 ปรากฏชัดเจนว่าฌานล้มป่วยหนัก พินัยกรรมของพระนางถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลานั้นทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าพระนางจะรอด พินัยกรรมของพระนางได้กล่าวถึงชื่อผู้รับมรดกเก้าสิบชื่อ ทรงก่อตั้งวิทยาลัยนาวาร์ในมหาวิทยาลัยปารีส แต่กลับไม่ได้ทิ้งมรดกใดๆ ไว้ในราชอาณาจักรนาวาร์ซึ่งเป็นของพระองค์ ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1305 ที่ชาโตเดอแว็งซ็องส์ในฝรั่งเศส ร่างของพระองค์ถูกฝังที่สถาบันนิกายฟรานซิสกันในปารีสตามที่พระนางได้ขอไว้ แม้ต่อมาพระสวามีได้ย้ายร่างของพระนางมาฝังที่มหาวิหารแซ็งต์เดอนีส์ ซึ่งสุดท้ายแล้วร่างของพระนางถูกฝังอยู่เคียงข้างร่างของพระสวามี ฌานมีพระชนมายุเพียง 32 พรรษา

หลังทรงสิ้นพระชนม์ สิทธิ์ในราชอาณาจักรนาวาร์และเคาน์ตีช็องปาญกับเคาน์ตีบรีของพระองค์ตกเป็นของพระโอรส คือ อนาคตพระเจ้าหลุยส์ที่ 10

อ้างอิง แก้

  1. Herreros Lopetegui, Susana (1993). Navarra en la órbita francesa. Historia Ilustrada de Navarra, Pamplona.
  2. Universal Historical Dictionary: Or Explanation of the Names of Persons and Places, Volumen 2