ฟุตบอลทีมชาติสเปน

ฟุตบอลชายทีมชาติตัวแทนประเทศสเปน

ฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน: Selección Española de Fútbol) เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันระหว่างประเทศ ก่อตั้งทีมใน ค.ศ. 1920

สเปน
Shirt badge/Association crest
ฉายาLa Roja ("สีแดง")
La Furia Roja ("แดงเดือด")[1]
กระทิงดุ (ฉายาในประเทศไทย)
สมาคมราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (เอร์เรเฟฟ)
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนลุยส์ เด ลา ฟูเอนเต
กัปตันโรดริโก เอร์นันเดซ กัสกันเต
ติดทีมชาติสูงสุดเซร์ฆิโอ ราโมส (180)[2]
ทำประตูสูงสุดดาบิด บิยา (59)
สนามเหย้าหลายแห่ง
รหัสฟีฟ่าESP
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 8 Steady (4 เมษายน 2024)[3]
อันดับสูงสุด1 (กรกฎาคม ค.ศ. 2008 – มิถุนายน ค.ศ. 2009, ตุลาคม ค.ศ. 2009 – มีนาคม ค.ศ. 2010, กรกฎาคม ค.ศ. 2010 – กรกฎาคม ค.ศ. 2011, ตุลาคม ค.ศ. 2011 – กรกฎาคม ค.ศ. 2014)
อันดับต่ำสุด25 (มีนาคม ค.ศ. 1998)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติสเปน สเปน 1–0 เดนมาร์ก ธงชาติเดนมาร์ก
(บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม; 28 สิงหาคม ค.ศ. 1920)
ชนะสูงสุด
ธงชาติสเปน สเปน 13–0 บัลแกเรีย ธงชาติบัลแกเรีย
(มาดริด ประเทศสเปน; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1933)
แพ้สูงสุด
ธงชาติสเปน สเปน 1–7 อิตาลี ธงชาติอิตาลี
(อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์; 4 มิถุนายน ค.ศ. 1928)
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 7–1 สเปน ธงชาติสเปน
(ลอนดอน ประเทศอังกฤษ; 9 ธันวาคม ค.ศ. 1931)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม16 (ครั้งแรกใน 1934)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (2010)
ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เข้าร่วม11 (ครั้งแรกใน 1964)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (1964, 2008, 2012)
เนชันส์ลีกรอบสุดท้าย
เข้าร่วม1 (ครั้งแรกใน 2021)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ (2021)
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 2009)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ (2013)

สเปนเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรป โดยเป็นหนึ่งในแปดชาติที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และมีส่วนร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 16 ครั้งจากจำนวน 22 ครั้ง และเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องทุกครั้งตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1978 ถึงครั้งล่าสุด สเปนชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปสามสมัย นับเป็นสถิติสูงสุดเท่ากับเยอรมนี และมีส่วนร่วมในรายการดังกล่าว 11 ครั้งจากจำนวน 16 ครั้ง ถ้วยรางวัลล่าสุดของพวกเขาคือชนะเลิศยูฟ่าเนชันส์ลีก 2023 ทำให้สเปนกลายเป็นทีมที่สอง (ต่อจากฝรั่งเศส) ที่คว้าแชมป์สามรายการหลัก (ฟุตบอลโลก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และยูฟ่าเนชันส์ลีก)

สเปนประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปลายทศวรรษ 2000 โดยชนะเลิศการแข่งขันรายการใหญ่สามรายการติดต่อกัน ได้แก่ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008, ฟุตบอลโลก 2010 และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ซึ่งทีมชุดนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในทีมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันนานาชาติ[4][5][6][7][8] สเปนเป็นทีมแรกจากยุโรปที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกนอกทวีปยุโรปได้จากการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ พวกเขาได้รับการจัดอันดับโลกฟีฟ่าในฐานะทีมที่ดีที่สุดในโลกระหว่าง ค.ศ. 2008–2013 ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของฟีฟ่าเป็นรองเพียงบราซิล[9] สเปนยังเคยครองสถิติไม่แพ้ทีมใดติดต่อกันมากที่สุด 35 นัดตั้งแต่ ค.ศ. 2007 จนถึงการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 ซึ่งเคยเป็นสถิติสูงสุดเท่ากับบราซิล และสเปนเป็นหนึ่งในสองชาติ (ร่วมกับเยอรมนี) ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในประเภททีมชายและทีมหญิง

ประวัติ แก้

ก่อตั้งทีม และความสำเร็จในยุคแรก แก้

 
ทีมชาติสเปนในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ณ เมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม

สเปนเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) มาตั้งแต่ ค.ศ. 1904 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งฟีฟ่า แม้ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนจะมีประวัติก่อตั้งใน ค.ศ. 1909 (ในฐานะ สหพันธ์สโมสรฟุตบอลสเปน) ทว่าทีมชาติสเปนมีการก่อตั้งอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1920 โดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมผู้เล่นไปแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ณ เมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม การแข่งขันนัดแรกของสเปนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมพบทีมชาติเดนมาร์กซึ่งคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันสองครั้งหลังสุด สเปนเอาชนะไปด้วยผลประตู 1–0 และผลงานในครั้งนั้นคือคว้าเหรียญเงิน ต่อมา พวกเขาลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1934 แม้จะเริ่มต้นด้วยการชนะบราซิล แต่ต้องยุติเส้นทางไว้ที่รอบก่อนรองชนะเลิศโดยแพ้อิตาลี[10]

สงครามกลางเมืองสเปนและสงครามโลกครั้งที่สองทำให้สเปนไม่ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันใด ๆ จนกระทั่งถึงฟุตบอลโลก 1950 รอบคัดเลือก และสเปนมีผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกขณะนั้น พวกเขาจบอันดับหนึ่งของกลุ่มและคว้าอันดับสี่ในการแข่งขัน[11] ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดของสเปนมายาวนานหลายทศวรรษจนถึงฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์โลกครั้งแรก[12] สเปนประสบความสำเร็จในรายการสำคัญครั้งแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1964 ในฐานะเจ้าภาพ ด้วยการเอาชนะสหภาพโซเวียต 2–1 ผู้ทำประตูชัยในช่วงท้ายเกมได้แก่ มาร์เซลิโน มาร์ตีเนซสนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว ทว่าก็เป็นความสำเร็จเพียงรายการเดียวในศตวรรษที่ 20 และพวกเขาต้องรอถึง 44 ปีในการกลับมาคว้าแชมป์รายการนีอีกครั้งในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008

สเปนเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1982 แต่ตกรอบที่สอง และในฟุตบอลโลก 1986 สเปนเข้าถึงรอบแปดทีมสุดท้ายและแพ้จุดโทษเบลเยียม[13] สเปนเกือบจะคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1984 แต่พวกเขาแพ้ฝรั่งเศสในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 0–2 ณ ปาร์กเดแพร็งส์ สเปนเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศอีกครั้งในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ผ่านรอบแบ่งกลุ่มในฐานะทีมอันดับสองด้วยการมีห้าคะแนน ตามด้วยการชนะสวิตเซอร์แลนด์ในรอบต่อมา ก่อนจะแพ้อิตาลี 1–2 ในนัดนี้มีเหตุการณ์สำคัญเมื่อ เมาโร ทัสซ็อตตี กองหลังอิตาลีเจตนาเล่นนอกเกมด้วยการใช้ข้อศอกทำร้ายลุยส์ เอนริเกในกรอบเขตโทษ และเอนริเกได้รับบาดเจ็บโดยมีเลือดออกปากและจมูก แต่ผู้ตัดสินขางฮังการี ซานดอร์ พูล์ ไม่ได้ให้ฟาวล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ได้รับการวิจารณ์ถึงการตัดสินมากที่สุดในฟุตบอลโลก[14]

ถัดมาในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สเปนผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะสามนัดรวด และทำได้ถึงเก้าประตู จากการชนะสโลวีเนีย ปารากวัย และแอฟริกาใต้ ผู้เล่นตัวหลักในชุดนั้นคือ ราอุล กอนซาเลซ, อิเกร์ กาซิยัส และกัปตันทีมอย่างเฟร์นันโด อิเอร์โร ตามด้วยการเอาชนะไอร์แลนด์ในรอบต่อมาจากการดวลจุดโทษ (3–2) หลังจากเสมอกัน 1–1 แต่พวกเขาแพ้ต่อเกาหลีใต้ทีมเจ้าภาพในรอบต่อมา ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ได้รับการวิจารณ์ถึงความเป็นกลางในการตัดสินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้เล่นสเปนทำประตูได้ถึงสองครั้งแต่ถูกปฏิเสธ เกมจบลงโดยไม่มีประตูและสเปนเป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ (3–5)[15] สเปนไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 โดยตกรอบแบ่งกลุ่มแม้จะมีสี่คะแนนเท่ากับกรีซ และทั้งสองทีมยังมีจำนวนประตูได้-เสียเท่ากัน แต่สเปนยิงประตูได้น้อยกว่าจึงตกรอบ ถัดมาในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี สเปนเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ชนะรวดสามนัดรวมถึงชนะยูเครนในนัดแรกถึง 4–0 แต่พวกเขาตกรอบต่อมาโดยแพ้ฝรั่งเศส 1–3

ยุคทอง และหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ แก้

แชมป์เมเจอร์สามรายการ (2008–2012) แก้

 
สเปนฉลองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ถือเป็นแชมป์สมัยที่สอง ก่อนจะป้องกันแชมป์ได้ในปี 2012
 
สเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2010 เอาชนะเนเธอร์แลนด์ในรอบชิงชนะเลิศ ณ ประเทศแอฟริกาใต้

แม้จะทำผลงานครั้งแรก ๆ ได้ไม่ดีนักเมื่อเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี 2006 แต่สเปนก็สามารถผ่านเข้ามาในรอบแบ่งกลุ่มของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ได้สำเร็จ ในช่วงนี้เองเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้จัดการทีมลุยส์ อาราโกเนสกับสื่อมวลชนสเปน ครั้งแรกในเรื่องผลการแข่งขันที่ผ่านมาซึ่งย่ำแย่ และครั้งที่สองในเรื่อง "ข่าว" ความขัดแย้งกับอดีตกัปตันทีมชาติราอุล กอนซาเลซ[16]

ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม สเปนอยู่ในกลุ่มดีร่วมกับสวีเดน กรีซ และรัสเซีย ในนัดแรกที่พบกับรัสเซีย สเปนชนะไป 4–1 โดยได้ 3 ประตูจากดาบิด บิยา และอีก 1 ประตูจากแซ็สก์ ฟาบรากัส ในนัดที่สองที่พบกับสวีเดน สเปนเอาชนะได้ด้วยผลประตู 2–1 จากการยิงของเฟร์นันโด ตอร์เรสและบิยา และในนัดสุดท้ายที่พบกับแชมป์เก่ากรีซ สเปนเอาชนะได้เช่นกัน 2–1 โดยได้ประตูจากรูเบน เด ลา เรด และดานี กวีซา ด้วยชัยชนะทั้งสามครั้งรวดทำให้สเปนอยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่ม และต้องไปพบกับอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งสเปนสามารถยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ 4–2 หลังจากต่อเวลาพิเศษเสมอกัน 0–0

สเปนลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน และเอาชนะไป 3–0 ซึ่งเป็นประตูที่ยิงได้ในครึ่งหลังทั้งหมดจากชาบี อาร์นันดัส, ดานี กวีซา และดาบิด ซิลบา ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องขาดบิยากองหน้าคนสำคัญไปเพราะได้รับบาดเจ็บในนัดที่แข่งกับรัสเซีย ในวันที่ 29 มิถุนายน สเปนพบกับเยอรมนีซึ่งชนะตุรกีมาด้วยผลประตู 3–2 ในนัดนี้ เฟร์นันโด ตอร์เรสทำประตูให้สเปนขึ้นนำเยอรมนีได้ในนาทีที่ 33 โดยไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่ม ทำให้สเปนได้ครองแชมป์การแข่งขันใหญ่อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปถึง 44 ปี โดยเป็นแชมป์สมัยที่สอง

ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ก่อนการแข่งขันสเปนถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ได้ แต่เมื่อได้แข่งนัดแรกแล้ว สเปนกลับเป็นฝ่ายพลิกล็อกแพ้สวิตเซอร์แลนด์ไป 0–1 แต่หลังจากนั้นสเปนก็ทำผลงานดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ[17] ในรอบชิงชนะเลิศ สเปนเป็นฝ่ายเอาชนะเนเธอร์แลนด์ ที่ชนะมาทุกรอบได้ไป 1–0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอมาในเวลาปกติ 0–0 จากการยิงประตูของอันเดรส อีเนียสตา ในนาทีที่ 116 ทำให้สเปนได้ครองแชมป์โลกเป็นครั้งแรก และเป็นทีมจากทวีปยุโรปทีมแรกที่คว้าแชมป์โลกได้นอกทวีปของตนเอง และเป็นทีมแรกที่แพ้ก่อนในนัดแรกแต่พลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้ในที่สุด[18][19] ผู้รักษาประตูอย่างกาซียัสได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม โดยเสียไปเพียงสองประตูตลอดการแข่งขัน ดาบิด บิยา เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดในการแข่งขัน

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 สเปนลงแข่งขันในฐานะทีมเต็งแชมป์อีกครั้ง พวกเขาอยู่กลุ่มซีและเข้ารอบเป็นทีมอันดับหนึ่งด้วยผลงานชนะสองและเสมอหนึ่งนัด ตามด้วยการชนะฝรั่งเศสในรอบแปดทีมสุดท้ายด้วยผลประตู 2–0 และเอาชนะจุดโทษโปรตุเกส (4–2) หลังเสมอกันในช่วงต่อเวลา 0–0 และในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาเอาชนะอิตาลีขาดลอย 4–0 หลังจากทั้งสองทีมเสมอกัน 1–1 ในรอบแบ่งกลุ่ม โดยในนัดนี้สเปนยิงนำ 2–0 ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกจากดาบิด ซิลบา และ ฌอร์ดี อัลบา ตามด้วยสองประตูในครึ่งหลังจากเฟร์นันโด ตอร์เรส และ ฆวน มาตา คว้าแชมป์เป็นสมัยที่สาม เป็นสถิติสูงสุดของยุโรปเท่ากับเยอรมนี สเปนเข้ารอบชิงชนะเลิศฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 แต่แพ้ทีมเจ้าภาพอย่างบราซิล 0–3[20]

ความล้มเหลว (2014–2018) แก้

ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าอยู่กลุ่มบีซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อคราวที่แล้ว, ชิลี และออสเตรเลีย ในนัดแรก สเปนเป็นฝ่ายแพ้เนเธอร์แลนด์ไปถึง 1–5 ซึ่งนับเป็นผลการแข่งขันที่สเปนแพ้มากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ทีม[21] และในนัดถัดมา สเปนก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อชิลี 0–2 ทำให้ตกรอบแรกไปทันที โดยไม่ต้องรอผลการแข่งขันนัดสุดท้ายกับออสเตรเลีย ถือว่าสเปนเป็นทีมแชมป์เก่าที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกเป็นทีมที่ 4 ต่อจาก อิตาลี ในฟุตบอลโลก 1950, บราซิล ในฟุตบอลโลก 1966 และ ฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2002[22]

สเปนในฐานะแชมป์เก่าฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และแชมป์สองสมัยติดต่อกันลงแข่งขันในปี 2016 ได้ลงเล่นในกลุ่มดีร่วมกับโครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก และตุรกี โดยก่อนการแข่งขันถูกยกให้เป็นทีมเต็งสามที่จะได้แชมป์ในคราวนี้[23] ผลปรากฏว่าในรอบแรก สเปนได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือรอบที่ 2 ด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่ม เนื่องจากนัดสุดท้ายแพ้โครเอเชีย 1–2[24] แต่ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อแพ้อิตาลีซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อครั้งที่แล้ว 2–0[25] ทำให้ บีเซนเต เดล โบสเก หัวหน้าผู้ฝึกสอนประกาศลาออกจากตำแหน่ง[26] ซึ่งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนได้ประกาศแต่งตั้งยูเลน โลเปเตกี ที่เคยพาทีมชาติสเปนรุ่นอายุไม่เกิน 19 และ 21 ปีคว้าแชมป์ยุโรปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่[27] สเปนผ่านเข้ารอบที่สองในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการมีห้าคะแนน โดยเสมอโปรตุเกสในนัดแรกไปอย่างสนุก 3–3 แต่พวกเขาต้องแพ้จุดโทษเจ้าภาพรัสเซียในรอบต่อมา หลังจากเสมอกัน 1–1

สร้างทีมใหม่ (2020–ปัจจุบัน) แก้

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 สเปนมีผลงานไม่สู้ดีนักในรอบแบ่งกลุ่ม โดยชนะเพียงนัดเดียว แต่พวกเขายังผ่านเข้ารอบต่อไปและเอาชนะโครเอเชีย ตามด้วยการชนะจุดโทษทีมม้ามืดอย่างสวิตเซอร์แลนด์ แต่ต้องยุติเส้นทางไว้ที่รอบรองชนะเลิศโดยแพ้จุดโทษอิตาลีหลังเสมอกัน 1–1[28] ต่อมาในยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021 รอบชิงชนะเลิศ สเปนแพ้ต่อฝรั่งเศสด้วยผลประตู 1–2[29] และพวกเขาล้มเหลวในฟุตบอลโลก 2022 อีกครั้งโดยแพ้จุดโทษโมร็อกโกในรอบที่สอง ถือเป็นการตกรอบการแข่งขันรายการใหญ่ด้วยการแพ้จุดโทษสามรายการติดต่อกันตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018

ปัจจุบันสเปนมีการเปลี่ยนแปลงทีม เมื่อผู้เล่นแกนหลักที่อายุมากหลายรายเลิกเล่นอาชีพ สเปนภายใต้ผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันอย่างลุยส์ เด ลา ฟูเอนเต สร้างทีมใหม่โดยเน้นผู้เล่นอายุน้อย เช่น เฟร์รัน ตอร์เรส, กาบิ, อูไน ซิมอน และ อันซู ฟาตี มีผลงานคือการคว้าแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2023 เอาชนะจุดโทษโครเอเชียในรอบชิงชนะเลิศ ในส่วนของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก กลุ่มเอ สเปนผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายจากผลงานชนะ 7 และ แพ้ 1 นัด ยิงไปถึง 25 ประตู สเปนจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ร่วมกับโปรตุเกสและโมร็อกโก ถือเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก

ภาพลักษณ์ทีม แก้

สเปนเป็นที่รู้จักกันในฉายา "La Furia Española"[30] และฉายาซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าคือ "La Furia Roja" มาจากคำที่ชาวอิตาลีเป็นผู้คิดขึ้น และนำมาใช้เรียกทีมชาตินี้ว่า "Furia Rossa"[31] คำว่า "ฟูเรีย" (ความดุเดือด, ความโมโหร้าย) มาจากรูปแบบการเล่นที่รุนแรงของนักฟุตบอลสเปน ต่อมาก็ถูกนำมาใช้เรียกเหตุการณ์การปล้นเมืองแอนต์เวิร์ปของสเปนในสงครามแปดสิบปี ซึ่งเป็นตำนานมืดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารของสเปนด้วย ส่วน "รอสซา" (สีแดง) มาจากสีเสื้อทีม สำหรับในประเทศไทยสเปนมีฉายาว่า "กระทิงดุ"

ผู้เล่น แก้

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน แก้

รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[32]

ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับโปรตุเกส

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK โรเบร์ต ซันเชซ (1997-11-18) 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (26 ปี) 1 0   ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน
13 1GK ดาบิด รายา (1995-09-15) 15 กันยายน ค.ศ. 1995 (28 ปี) 1 0   เบรนต์ฟอร์ด
23 1GK อูไน ซิมอน (1997-06-11) 11 มิถุนายน ค.ศ. 1997 (26 ปี) 27 0   อัตเลติกบิลบาโอ

2 2DF เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา (1989-08-28) 28 สิงหาคม ค.ศ. 1989 (34 ปี) 41 1   เชลซี
3 2DF เอริก การ์ซิอา (2001-01-09) 9 มกราคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 18 0   บาร์เซโลนา
4 2DF เปา ตอร์เรส (1997-01-16) 16 มกราคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 21 1   บิยาร์เรอัล
14 2DF โฆเซ กายา (1995-05-25) 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 (28 ปี) 18 3   บาเลนเซีย
15 2DF อูโก กิยามอน (2000-01-31) 31 มกราคม ค.ศ. 2000 (24 ปี) 3 1   บาเลนเซีย
18 2DF ฌอร์ดี อัลบา (รองกัปตัน) (1989-03-21) 21 มีนาคม ค.ศ. 1989 (35 ปี) 86 9   บาร์เซโลนา
20 2DF ดานิ การ์บาฆัล (1992-01-11) 11 มกราคม ค.ศ. 1992 (32 ปี) 30 0   เรอัลมาดริด
24 2DF แอมริก ลาปอร์ต (1994-05-27) 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 (29 ปี) 15 1   แมนเชสเตอร์ซิตี

5 3MF เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ (กัปตัน) (1988-07-16) 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1988 (35 ปี) 139 2   บาร์เซโลนา
6 3MF มาร์โกส โยเรนเต (1995-01-30) 30 มกราคม ค.ศ. 1995 (29 ปี) 17 0   อัตเลติโกเดมาดริด
8 3MF โกเก (1992-01-08) 8 มกราคม ค.ศ. 1992 (32 ปี) 67 0   อัตเลติโกเดมาดริด
9 3MF กาบิ (2004-08-05) 5 สิงหาคม ค.ศ. 2004 (19 ปี) 12 1   บาร์เซโลนา
16 3MF โรดริ (1996-06-22) 22 มิถุนายน ค.ศ. 1996 (27 ปี) 34 1   แมนเชสเตอร์ซิตี
19 3MF การ์โลส โซเลร์ (1997-01-02) 2 มกราคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 11 3   ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
26 3MF เปดริ (2002-11-25) 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 (21 ปี) 14 0   บาร์เซโลนา

7 4FW อัลบาโร โมราตา (1992-10-23) 23 ตุลาคม ค.ศ. 1992 (31 ปี) 57 27   อัตเลติโกเดมาดริด
10 4FW มาร์โก อาเซนซิโอ (1996-01-21) 21 มกราคม ค.ศ. 1996 (28 ปี) 29 1   เรอัลมาดริด
11 4FW เฟร์รัน ตอร์เรส (2000-02-29) 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 (24 ปี) 30 13   บาร์เซโลนา
12 4FW นีโก วิลเลียมส์ (2002-07-12) 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 (21 ปี) 2 0   อัตเลติกบิลบาโอ
17 4FW เยเรมิ ปิโน (2002-10-20) 20 ตุลาคม ค.ศ. 2002 (21 ปี) 6 1   บิยาร์เรอัล
21 4FW ดานิ โอลโม (1998-05-07) 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 (25 ปี) 24 4   แอร์เบ ไลพ์ซิช
22 4FW ปาโบล ซาราเบีย (1992-05-11) 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (31 ปี) 24 9   ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
25 4FW อันซู ฟาตี (2002-10-31) 31 ตุลาคม ค.ศ. 2002 (21 ปี) 4 1   บาร์เซโลนา

สถิติ แก้

ผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด แก้

 
เซร์ฆิโอ ราโมส เจ้าของสถิติลงสนามในนามทีมชาติสเปนมากที่สุด 180 นัด

ข้อมูลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2022

# ชื่อ ปี ลงเล่น ประตู
1 เซร์ฆิโอ ราโมส 2005–21 180 23
2 อิเกร์ กาซิยัส 2000–16 167 10
3 เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ 2009–22 143 2
4 ชาบี อาร์นันดัส 2000-2014 133 12
5 อันเดรส อีเนียสตา 2006–18 131 13
6 อันโดนี ซูบีซาร์เรตา 1985–98 126 0
7 ดาบิด ซิลบา 2006–18 125 35
8 ชาบี อาลอนโซ 2003–14 114 16
9 แซ็สก์ ฟาบรากัส

เฟร์นันโด ตอร์เรส

2006–16 110 15
9 2003–14 110 38

ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด แก้

 
ดาบิด บิยา ผู้ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติสเปนจำนวน 59 ประตู

ข้อมูลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023

# ชื่อ ปี ประตู (ลงเล่น) เฉลี่ย/เกม
1 ดาบิด บิยา 2005–17 59 (98) 0.6
2 ราอุล 1996–2006 44 (102) 0.43
3 เฟร์นันโด ตอร์เรส 2003–14 38 (110) 0.35
4 ดาบิด ซิลบา 2006–18 35 (125) 0.28
5 อัลบาโร โมราตา 2014– 34 (69) 0.49
6 เฟร์นันโด อิเอร์โร 1989–2002 29 (89) 0.33
7 เฟร์นานโด โมริเอนเตส 1998–2007 27 (47) 0.57
8 เอมิลิโอ บูตราเกนโญ 2003– 26 (69) 0.38
9 อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน

เซร์ฆิโอ ราโมส

1957–61 23 (31) 0.74
9 2005–21 23 (180) 0.13

สถิติโลกใหม่ ชนะรวด 15 นัด ทำลายสถิติโลกมากที่สุด แก้

เป็นสถิติชนะมากกว่าสถิติเดิมที่บราซิล ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ทำไว้ คือ ชนะติดต่อกัน 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ฟีฟ่า (FIFA) บันทึกไว้

  • นัดที่ 1 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ รัสเซีย 3-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบรองชนะเลิศ
  • นัดที่ 2 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ เยอรมนี 1-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบชิงชนะเลิศ
  • นัดที่ 3 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 สเปน ชนะ เดนมาร์ก 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 4 วันที่ 6 กันยายน 2551 สเปน ชนะ บอสเนีย 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 5 วันที่ 10 กันยายน 2551 สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 6 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เอสโตเนีย 3-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 7 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เบลเยียม 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 8 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 สเปน ชนะ ชิลี 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 9 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 สเปน ชนะ อังกฤษ 2-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 10 วันที่ 28 มีนาคม 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 11 วันที่ 1 เมษายน 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 12 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 13 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 14 วันที่ 17 มิถุนายน 2552สเปน ชนะ อิรัก 1-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 15 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้

สถิติโลกใหม่ เทียบเท่าทีมชาติบราซิล ไม่แพ้ทีมใด 35 นัดติดต่อกัน แก้

  • นัดที่ 1 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 (2007) อังกฤษ ชนะ สเปน 0 - 1 กระชับมิตร
  • นัดที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ เดนมาร์ก 2-1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 3 วันที่ 28 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอซ์แลนด์ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 4 วันที่ 2 มิถุนายน 2550 (2007) ลิทัวเนีย แพ้ สเปน 0-2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 5 วันที่ 6 มิถุนายน 2550 (2007) ลิกเตนสไตน์ แพ้ สเปน 0 - 2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 6 วันที่ 22 สิงหาคม 2550 (2007) กรีซ แพ้ สเปน 2 - 3 กระชับมิตร
  • นัดที่ 7 วันที่ 8 กันยายน 2550 (2007) ไอซ์แลนด์ เสมอ สเปน 1 - 1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 8 วันที่ 12 กันยายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ลัตเวีย 2 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม 2550 (2007) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 1 - 3 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 10 วันที่ 17 ตุลาคม 2550 (2007) ฟินแลนด์ เสมอ สเปน 0 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 11 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ สวีเดน 3 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 12 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอร์แลนด์เหนือ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 13 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 (2008) สเปน ชนะ ฝรั่งเศส 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 14 วันที่ 26 มีนาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ อิตาลี 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 15 วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ เปรู 2 - 1 กระชับมิตร
  • นัดที่ 16 วันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สหรัฐอเมริกา 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 17 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 4 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 18 วันที่ 14 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สวีเดน 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 19 วันที่ 18 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ กรีซ 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 20 วันที่ 22 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน เสมอ อิตาลี 0 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 21 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 3 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 22 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ เยอรมนี 1 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ ชิงชนะเลิศ
  • นัดที่ 23 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 (2008) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 0 - 3 กระชับมิตร
  • นัดที่ 24 วันที่ 6 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 25 วันที่ 10 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 26 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 (2008) เอสโตเนีย แพ้ สเปน 3 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 27 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 (2008) เบลเยียม แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 28 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 (2008) สเปน ชนะ ชิลี 3 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 29 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 (2009) สเปน ชนะ อังกฤษ 2 - 0 ฟุตบอลกระชับมิตร
  • นัดที่ 30 วันที่ 28 มีนาคม 2552 (2009) สเปน ชนะ ตุรกี 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 31 วันที่ 1 เมษายน 2552 (2009) ตุรกี แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 32 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6 - 0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 33 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 34 วันที่ 17 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อิรัก 1 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 35 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ แก้

อ้างอิง แก้

  1. ""La Roja"". 17 June 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2019. สืบค้นเมื่อ 30 June 2010.
  2. "Statistics – Most-capped players". European football database. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2019. สืบค้นเมื่อ 9 January 2016.
  3. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 4 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2024.
  4. "Are Spain the best team of all time?". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.
  5. "Spain can become team of century". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.
  6. "The greatest team of all time: Brazil 1970 v Spain 2012". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2012-07-03.
  7. "Euro 2012: Why this Spain side is all-time best | Live football and soccer news | ESPNFC.com". web.archive.org. 2012-07-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-06. สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  8. "Spain have reached end of an era, but their gift will not be forgotten - they forced all countries to raise their game". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). 2014-04-19.
  9. UEFA.com. "Season 2020 | UEFA EURO 2020". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  10. "Delight for the Azzurri as home advantage tells - FIFA.com". web.archive.org. 2015-09-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-05. สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  11. "Uruguay triumph brings heartbreak for Brazil - FIFA.com". web.archive.org. 2017-12-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-17. สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  12. "Xavi: The greatest midfielder of a generation". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). 2015-05-21.
  13. [https://www.marca.com/reportajes/2010/04/mexico_1986/2010/04/26/seccion_01/1272300745.html "M�xico 1986 en MARCA.com | Los penaltis cerraron las puertas de las 'semis' a La Roja"]. www.marca.com. {{cite web}}: replacement character ใน |title= ที่ตำแหน่ง 2 (help)
  14. [https://www.marca.com/reportajes/2010/05/estados_unidos_1994/2010/05/03/seccion_01/1272883990.html "Estados Unidos 1994 en MARCA.com | El perd�n de Luis Enrique a Tassotti que nunca lleg�"]. www.marca.com. {{cite web}}: replacement character ใน |title= ที่ตำแหน่ง 43 (help)
  15. "Korean miracle spoilt by refereeing farce". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). 2002-06-23.
  16. El Mundo. "Aragonés pierde los nervios por Raúl" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  17. "ล็อกถล่ม สเปนแพ้ สวิสฯ 0-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-20. สืบค้นเมื่อ 2010-07-11.
  18. รายงานผล
  19. น ซิวแชมป์โลกสมัยแรก 'อิเนียสตา' ซัดประตูชัย 1-0 น.116จากไทยรัฐ
  20. Bagchi, Rob (2013-06-30). "Brazil v Spain: Confederations Cup final – as it happened | Rob Bagchi". the Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2023-12-04.
  21. "เกปา คัมแบ็ก, เด เคอา ยังไร้ชื่อ! เด ลา ฟวนเต้ แบโผ 26 แข้งทีมชาติสเปนคัดยูโร". SIAMSPORT.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  22. "โหดตั้งแต่เด็ก! ลามีน ยามาล ทุบสองสถิติใหญ่ทีมชาติสเปน". SIAMSPORT.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  23. "จัดอันดับทีมเต็งแชมป์ยูโร 2016". fun78. May 24, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.[ลิงก์เสีย]
  24. "สเปน แชมป์เก่าพลาดท่าแพ้ โครเอเชีย 2-1 ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 2 บอลยูโร". ช่อง 7. June 22, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.[ลิงก์เสีย]
  25. "อิตาลีโชว์เหนือ! ชนะสเปน แชมป์เก่า 2-0 ลิ่ว 8 ทีมสุดท้าย ยูโร2016". เนชั่นทีวี. June 28, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
  26. "ทางการ!เยอรมนี ตั้ง ยูเลียน นาเกลส์มันน์ คุมทัพลุยยูโร 2024". SIAMSOPRT.
  27. "ในนามของสตรี! โค้ชทีมชาติหญิงอังกฤษอุทิศรางวัลให้ทีมชาติสเปน". SIAMSPORT.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  28. "Italy beat Spain on penalties in epic Euro 2020 semi-final". France 24 (ภาษาอังกฤษ). 2021-07-06.
  29. "France 2-1 Spain (Oct 10, 2021) Game Analysis". ESPN (ภาษาอังกฤษ).
  30. El Mundo. "El inspirador de la "furia española" fue un vasco" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  31. "Nace la Furia Roja" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  32. "OFICIAL | Lista de convocados para la Copa Mundial de Fútbol de la FIFA Catar 2022". sefutbol (ภาษาสเปน). 11 November 2022.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้