ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ในชื่อรายการว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (European Nations Cup) จากแนวคิดของอ็องรี เดอโลแน เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรก [1] มีทีมชาติร่วมแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศ ต่อมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) มีทีมชาติเข้าแข่งรอบสุดท้าย เพิ่มเป็น 8 ประเทศ ส่วนการแข่งขันนัดชิงลำดับที่สาม ยกเลิกไปในครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศ ในรอบสุดท้าย การแข่งขันครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) จัดการแข่งขันใน 11 ประเทศเจ้าภาพทั่วทวีปยุโรป

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
ถ้วยรางวัลแชมป์ยุโรป
ก่อตั้ง1958; 66 ปีที่แล้ว (1958)
ภูมิภาคยุโรป (ยูฟ่า)
จำนวนทีม24 (รอบสุดท้าย)
54 (รอบคัดเลือก)
ทีมชนะเลิศปัจจุบันธงชาติอิตาลี อิตาลี (สมัยที่ 2)
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดธงชาติเยอรมนี เยอรมนี
ธงชาติสเปน สเปน
(3 สมัย)
เว็บไซต์เว็บไซต์ทางการ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024

ประวัติ แก้

 
แผนที่ของทีมประเทศต่าง ๆ กับผลงานที่ดีที่สุด

ยุคแรกเริ่ม 4 ทีม แก้

เริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกขึ้นมาในปี 1960 ในชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ โดยเริ่มต้นรูปแบบการแข่งขันยังเป็นระบบการเล่นเหย้า-เยือนในรอบต้นๆ ก่อนที่จะเล่นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ บุคคลที่ผลักดันให้มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในชาติเป็นกลางขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และ ทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกมีขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่งผลลงเอยด้วยชัยชนะของทีมจากแดนหลังม่านเหล็กในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในปี 1964 ได้มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในเกมกีฬา เมื่อ กรีซ ปฏิเสธที่จะเล่นกับ แอลเบเนีย หลังมีสงครามระหว่างประเทศ โดยการเล่นรอบชิงชนะเลิศ จัดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแชมป์ก็ตกเป็นของเจ้าภาพที่เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-1

เพิ่มเป็น 8 ทีม แก้

จากนั้นในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันจากฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยมี 8 สาย และแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ต้องแข่ง 2 นัด ก่อนเข้ารอบตัดเชือก โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่เอาชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังเกมแรกเสมอกัน 0-0 ฟุตบอลยูโร 1972 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเบลเยียม ยังคงใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา โดยแชมป์ตกเป็นของ เยอรมัน ตะวันตก ที่ถล่ม สหภาพโซเวียต ไปอย่างขาดลอย 3-0 จากการทำประตูของ แกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 2 ลูก จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นที่ยูโกสลาเวีย โดยที่ เชโกสโลวะเกีย เสมอ เยอรมัน 2-2 ก่อนที่จะมีการดวลจุดโทษครั้งแรก และแชมป์ก็ตกเป็นของ ขุนพลเช็กในที่สุด

มาถึงศึกยูโร 1980 ได้เริ่มใช้ระบบการแข่งแบบใหม่ โดย 8 ทีมจะต้องมาเล่นรอบสุดท้าย ที่ประเทศอิตาลี และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 กลุ่ม นำแชมป์ของแต่ละกลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ไปครองหลังเฉือนชนะ เบลเยียม 2-1 จนกระทั่งในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้ง 2 กลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบ ตัดเชือก และในที่สุดเจ้าบ้านซึ่งนำทีมโดย มิเชล พลาตินี่ ก็ชนะ สเปน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม จาก

นั้นในปี 1988 เยอรมันตะวันตก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้างโดยใช้รูปแบบเหมือนครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แฟนบอลเมืองเบียร์ต้องอกหัก ปล่อยให้ ฮอลแลนด์ ที่มีนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิท คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ มาถึงปี 1992 ที่สวีเดน ได้เกิดตำนานเทพนิยายเดนส์ขึ้นมา หลังจากทีมชาติเดนมาร์ก ได้เข้าร่วมการแข่งขันกะทันหัน เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยขุนพลเมือง "โคนม" สร้างผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่มีเวลา เตรียมตัวไม่นานนัก

เพิ่มเป็น 16 ทีม แก้

ถึงศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยมี 16 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และ 2 อันดับแรกของแต่ละสายจะได้เข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนั้น ยังมีการนำกฎ โกลเด้นโกล์มาใช้ครั้งแรกอีกด้วย และกฎนี้ก็ได้ใช้ตัดสินในรอบชิงชนะเลิศทันที โดยที่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ หัวหอกเยอรมัน ซัดดับชีพ สาธารณรัฐเช็ก 2-1

จากนั้นในปี 2000 ก็เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมโดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ รับหน้าเสื่อคู่กัน จุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน ครั้งนี้อยู่ที่การทำประตูโกลเด้นโกล์ของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่พาฝรั่งเศส เอาชนะ อิตาลี พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม การชิงชัย 11 สมัยที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลพูดกันว่าเพียงเติมบราซิล และอาร์เจนตินาลงไปในบรรดาทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรแต่ละครั้ง เราก็จะพบกับฟุตบอลโลกอีกเวอร์ชันดีๆ นี่เอง

เพิ่มเป็น 24 ทีม แก้

ในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีมชาติ จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์และประเทศยูเครน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด)

ผลการแข่งขัน แก้

ปีที่จัด เจ้าภาพ ชิงชนะเลิศ ชิงอันดับ 3
ชนะเลิศ ผลการ
แข่งขัน
รองชนะเลิศ อันดับ 3 ผลการ
แข่งขัน
อันดับ 4
ฟุตบอลยูโร 1960
(2503)
  ฝรั่งเศส   สหภาพโซเวียต 2 - 1
ต่อเวลา
  ยูโกสลาเวีย   เชโกสโลวาเกีย 2 - 0   ฝรั่งเศส
ฟุตบอลยูโร 1964
(2507)
  สเปน   สเปน 2 - 1   สหภาพโซเวียต   ฮังการี 3 - 1
ต่อเวลา
  เดนมาร์ก
ฟุตบอลยูโร 1968
(2511)
  อิตาลี   อิตาลี 1 - 1
ต่อเวลา
2 - 0
แข่งใหม่
  ยูโกสลาเวีย   อังกฤษ 2 - 0   สหภาพโซเวียต
ฟุตบอลยูโร 1972
(2515)
  เบลเยียม   เยอรมนีตะวันตก 3 - 0   สหภาพโซเวียต   เบลเยียม 2 - 1   ฮังการี
ฟุตบอลยูโร 1976
(2519)
  ยูโกสลาเวีย   เชโกสโลวาเกีย 2 - 2
(5 - 3)
ดวลลูกโทษ
  เยอรมนีตะวันตก   เนเธอร์แลนด์ 3 - 2
ต่อเวลา
  ยูโกสลาเวีย
ฟุตบอลยูโร 1980
(2523)
  อิตาลี   เยอรมนีตะวันตก 2 - 1   เบลเยียม   เชโกสโลวาเกีย 1 - 1
(9 - 8)
ดวลลูกโทษ
  อิตาลี
 
ปีที่จัด เจ้าภาพ ชนะเลิศ ผลการแข่งขัน รองชนะเลิศ เข้ารอบรองชนะเลิศ (ไม่มีชิงที่ 3)
ฟุตบอลยูโร 1984
(2527)
  ฝรั่งเศส   ฝรั่งเศส 2 - 0   สเปน   เดนมาร์ก และ   โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 1988
(2531)
  เยอรมนีตะวันตก   เนเธอร์แลนด์ 2 - 0   สหภาพโซเวียต   เยอรมนีตะวันตก และ   อิตาลี
ฟุตบอลยูโร 1992
(2535)
  สวีเดน   เดนมาร์ก 2 - 0   เยอรมนี   เนเธอร์แลนด์ และ   สวีเดน
ฟุตบอลยูโร 1996
(2539)
  อังกฤษ   เยอรมนี 2 - 1
โกลเดนโกล
  เช็กเกีย   ฝรั่งเศส และ   อังกฤษ
ฟุตบอลยูโร 2000
(2543)
  เบลเยียม และ
  เนเธอร์แลนด์
  ฝรั่งเศส 2 - 1
โกลเดนโกล
  อิตาลี   เนเธอร์แลนด์ และ   โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 2004
(2547)
  โปรตุเกส   กรีซ 1 - 0   โปรตุเกส   เช็กเกีย และ   เนเธอร์แลนด์
ฟุตบอลยูโร 2008
(2551)
  ออสเตรีย และ
  สวิตเซอร์แลนด์
  สเปน 1 - 0   เยอรมนี   ตุรกี และ   รัสเซีย
ฟุตบอลยูโร 2012
(2555)
  โปแลนด์ และ
  ยูเครน
  สเปน 4 - 0   อิตาลี   เยอรมนี และ   โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 2016
(2559)
  ฝรั่งเศส   โปรตุเกส 1 - 0
ต่อเวลา
  ฝรั่งเศส   เยอรมนี และ   เวลส์
ฟุตบอลยูโร 2020
(2564)
  ทั่วยุโรป
(ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ)
  อังกฤษ (ตั้งแต่รอบรองชนะเลิศ)
  อิตาลี 1 - 1
ต่อเวลา
(3 - 2)
ดวลลูกโทษ
  อังกฤษ   เดนมาร์ก และ   สเปน
ฟุตบอลยูโร 2024
(2567)
  เยอรมนี
ฟุตบอลยูโร 2028
(2571)
  อังกฤษ
  ไอร์แลนด์เหนือ
  สาธารณรัฐไอร์แลนด์
  สกอตแลนด์
  เวลส์
ฟุตบอลยูโร 2032
(2575)
  อิตาลี และ
  ตุรกี

ความสำเร็จในฟุตบอลยูโร แก้

 
ภาพแผนที่ทวีปยุโรป แสดงจำนวนการชนะเลิศ ของทีมชาติแต่ละประเทศ
ทีมชาติ ชนะเลิศ รองชนะเลิศ เข้าชิงชนะเลิศ
  เยอรมนี 3 (19721, 19801, 1996) 3 (19761, 1992, 2008) 6
  สเปน 3 (1964*, 2008, 2012) 1 (1984) 4
  อิตาลี 2 (1968* 2020) 2 (2000, 2012) 4
  ฝรั่งเศส 2 (1984*, 2000) 1 (2016*) 3
  รัสเซีย 1 (19603) 3 (19643, 19723, 19883) 4
  เช็กเกีย 1 (19762) 1 (1996) 2
  โปรตุเกส 1 (2016) 1 (2004*) 2
  เนเธอร์แลนด์ 1 (1988)
1
  เดนมาร์ก 1 (1992)
1
  กรีซ 1 (2004)
1
  ยูโกสลาเวีย
2 (1960, 1968) 2
  เบลเยียม
1 (1980) 1
  อังกฤษ
1 (2020) 1
* เจ้าภาพ
1 เยอรมนีตะวันตก

อ้างอิง แก้

  1. "2005/2006 season: final worldwide matchday to be 14 May 2006". FIFA.com. Fédération Internationale de Football Association. 19 December 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-12. สืบค้นเมื่อ 13 January 2012.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้