ประกอบ หุตะสิงห์

ศาสตราจารย์ ประกอบ หุตะสิงห์ (5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 – 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2537) เป็นอดีตประธานศาลฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองนายกรัฐมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และองคมนตรีไทย

ประกอบ หุตะสิงห์
ประธานศาลฎีกา
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2510 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515
ก่อนหน้าสัญญา ธรรมศักดิ์
ถัดไปทองคำ จารุเหติ
รองนายกรัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 – 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518
นายกรัฐมนตรีสัญญา ธรรมศักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ดำรงตำแหน่ง
14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 – 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517
ก่อนหน้ากมล วรรณประภา
ถัดไปกิตติ สีหนนทน์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455
เมืองพระนคร ประเทศสยาม
เสียชีวิต28 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 (82 ปี)
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
คู่สมรสท่านผู้หญิงชวนชื่น หุตะสิงห์
อาชีพข้าราชการ นักการเมือง

ประวัติ แก้

ประกอบ หุตะสิงห์ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 เป็นบุตรของพระยาสรรพกิจเกษตรการ (เกียรติ หุตะสิงห์) กับคุณหญิง ศวง สรรพกิจเกษตรการ[1] เข้าศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม สำเร็จการศึกษาเป็น ธรรมศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็นนักเรียนไทยรุ่นแรก ๆ ที่ไปศึกษาด้านนิติศาสตร์ที่ประเทศเยอรมัน เมื่อ พ.ศ. 2471-72[2] และจบปริญญาเอกเมื่อ พ.ศ. 2480 ที่มหาวิทยาลัยเยนา (Friedrich-Schiller-Universität Jena) โดยทำวิทยานิพนธ์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในหัวข้อ "Die Verfassung des Königreichs Siam vom 10. Dezember 1932 und das parlamentarische Regierungssystem"

เขาสมรสกับท่านผู้หญิงชวนชื่น (สกุลเดิม: บุนนาค) (8 ตุลาคม พ.ศ. 2462 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556) ธิดาพระยาสุริยานุวงศ์ประวัติ (เต๋า บุนนาค) กับคุณหญิงเยื้อน (สกุลเดิม: ยุกตะนันทน์) มีบุตรธิดา 4 คน คือ สุประดิษฐ์ (ช.), ประตาป (ช.), ประมวล (ช.) และ กอบชื่น (ญ.)[1]

ประกอบมีศักดิ์เป็นหลานอาของพระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) อดีตนายกรัฐมนตรีไทย

การทำงาน แก้

ประกอบ หุตะสิงห์รับราชการศาลยุติธรรมจนดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา ระหว่าง พ.ศ. 2510 — 2515 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม[3] และรองนายกรัฐมนตรี[4][5] เมื่อ พ.ศ. 2516-2518 ในรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา

ศาสตราจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ ได้รับการแต่งตังเป็นศาสตราจารย์[6] และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2518 และเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[7] อยู่ในตำแหน่งจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2537[8]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 "สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 7 สายพระยาสุริยานุวงศ์ประวัติ (เต๋า บุนนาค) บุตรเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต)". ชมรมสายสกุลบุนนาค. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-28. สืบค้นเมื่อ 12 Nov 2014.
  2. "นักเรียนนายร้อยในในเยอรมันยุคไกเซอร์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-25. สืบค้นเมื่อ 2007-11-03.
  3. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-04. สืบค้นเมื่อ 2007-11-03.
  4. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (๓๐ ราย)
  5. "คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๔, ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๗ - ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-03. สืบค้นเมื่อ 2007-11-03.
  6. ได้รับการแต่งตังเป็นศาสตราจารย์
  7. คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ ๔๓/๒๕๑๙ เรื่อง แต่งตั้งนายกสภามหามหาวิทยาลัย อธิการบดีและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  8. จีรวัฒน์ ครองแก้ว. องคมนตรี ศักดิ์ศรีแผ่นดิน. กรุงเทพ : มูลนิธิทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ, พ.ศ. 2550. 269 หน้า. หน้า หน้าที่. ISBN 978-974-7362-09-1
  9. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๙๒ ตอนที่ ๙๕ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๒, ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๑๘
  10. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2015-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๘๔ ตอนที่ ๑๒๘ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๒๘, ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๐
  11. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๑ ตอนที่ ๑๑๘ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๓, ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๗
  12. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา, เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๔๙ ง หน้า ๗๐๐, ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๗
  13. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญจักรมาลาและเหรียญจักรพรรดิมาลา, เล่ม ๘๕ ตอนที่ ๑๒๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๒๔๙, ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๑
  14. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๙๖ ตอนที่ ๑๕๖ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๗, ๑๓ กันยายน ๒๕๒๒