วิลเลี่ยม เฮนรี เมเรดิธ หรือชื่อในวงการคือ บิลลี เมเรดิธ (30 กรกฎาคม ค.ศ. 1874 – 19 เมษายน ค.ศ. 1958) เป็นนักฟุตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์ในยุคแรก ๆ ได้รับรางวัลอย่างมากมายจากอาชีพนักฟุตบอล โดยเฉพาะตอนเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[2] และเป็นผู้ได้รับฉายาปีกพ่อมดคนแรก เขาเล่นให้ทีมชาติเวลส์ 48 นัด ยิงได้ 11 ประตู รวมถึงเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดในการลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์ (45 ปี 229 วัน)

บิลลี เมเรดิท
เมเรดิทตอนเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีใน ค.ศ. 1903
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม วิลเลียม เฮนรี เมเรดิท
วันเกิด 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1874(1874-07-30)
สถานที่เกิด เชิร์ก เดนบิเชอร์ ประเทศเวลส์
วันเสียชีวิต 19 เมษายน ค.ศ. 1958(1958-04-19) (83 ปี)
สถานที่เสียชีวิต วิททิงตัน แลงคาสเชอร์ ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง 5 ft 9 in (1.75 m)
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
แบล็กปาร์ก
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1890–1892 เชิร์ก
1892–1894 นอร์ธวิชวิกตอเรีย 11 (5)
1894 เร็กแซม
1894 เชิร์ก
1894–1906 แมนเชสเตอร์ซิตี 339 (129)
1906–1921 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 303 (35)
1921–1924 แมนเชสเตอร์ซิตี 28 (0)
รวม 681 (169)
ทีมชาติ
1895–1920 เวลส์ 48 (11[1])
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เมเรดิธจัดเป็นนักเตะระดับตำนานของทีมแมนเชสเตอร์ซิตีในตำแหน่งปีกขวาและเป็นนักฟุตบอลยุคแรกๆที่ย้ายข้ามฟากไปเล่นให้ทีมร่วมเมืองของสโมสรต้นสังกัด

ประวัติ แก้

บิลลี เมเรดิท เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1874 ที่ย่านแบล็กปาร์กในเมืองเชิร์กซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในเวลส์ ตอนอายุ 12 ขวบ อาชีพแรกของเขาเริ่มที่เหมืองถ่านหินแบล็ค ปาร์ค โดยเขาทำงานเป็นคนขี่ม้าสำหรับใช้ในเหมือง[3]

ช่วงเริ่มต้นกับแมนเชสเตอร์ซิตี แก้

บิลลี่เข้าร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตีในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1894 โดยไม่ทราบค่าตัวแน่ชัดและลงสนามนัดแรกพบทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในเดือนเดียวกันนั่นเอง แม้ทีมจะแพ้ 5-4 แต่อีกสัปดาห์ต่อมาเขาก็เริ่มฉายแววตำนานแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ด้วยการยิง2ประตูใส่ทีมนิวตัน ฮีธ(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)ในดาร์บี้แมตช์ครั้งแรกของเขา และเพียงไม่นานเขาก็เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลฝั่งซิตี้ด้วยลีลาการเล่นที่เน้นการใช้ความเร็วสูง และการล่อหลอกกองหลังฝั่งตรงข้าม และติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 1895

ฤดูกาล1898-1899 เขายิงได้29ประตู โดยเป็นแฮตทริกถึง4ครั้ง และพาสโมสรเลื่อนชั้นในฐานะแชมป์ดิวิชั่น2 (ปัจจุบันคือลีกแชมเปี้ยน ชิพ)ได้สำเร็จ ปีแรกในลีกสูงสุดของเขาและสโมสรไม่ง่ายนักเมื่อแมนเชสเตอร์ซิตีจบฤดูกาลด้วยอันดับ8 และตกไปอยู่ที่11ในฤดูกาล1900-1901 เมื่อจบฤดูกาลแซม โอเมร็อดผู้จัดการทีมก็ตัดสินใจขาย โจ แคสซิดี้ ดาวซัลโว14ประตู ของทีมให้มิดเดิลสโบรช์ไปในราคา 75ปอนด์

ฤดูกาล 1901-1902 แมนเชสเตอร์ซิตีก็ถึงคราวตกชั้นจากลีกสูงสุด แซม โอเมร็อดลาออกจากตำแหน่งและถูกแทนที่ด้วย ทอม มาลี่ย์อดีตผู้เล่นของเปรสตันซึ่งกลายมาเป็นกุนซือคนใหม่ ช่วงปรีซีซั่น มาลี่ย์ตัดสินใจสร้างทีมขึ้นใหม่โดยใช้ดาวเด่นของทีม คือบิลลี่ กิลเลสพีและบิลลี่ เมเรดิธและฤดูกาลนั้นแมนเชสเตอร์ซิตีคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2ได้อีกครั้งหลังจบฤดูกาล1902-1903 โดยทีมยิงประตูได้มากถึง95ประตูใน34นัด และบิลลี่ กิลเลสพีเป็นดาวซัลโวของทีมโดยยิง30ประตู ส่วนเมเรดิธยิงประตูในฤดูกาลนั้นจากตำแหน่งกองกลางถึง23ประตู

ฤดูกาล 1903-1904 หลังเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาแมนเชสเตอร์ซิตีสร้างผลงานอันน่าตื่นตะลึงเมื่อคว้าตำแหน่งรองแชมป์ลีกสูงสุด และคว้าแชมป์เอฟเอคัพหลังจากชนะโบลตัน วันเดอเรอร์สในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 โดยบิลลี่ เมเรดิธคือผู้ยิงประตูเดียวของเกมส์และเขายังเป็นกัปตันทีมในนัดดังกล่าวอีกด้วย

ฤดูกาล 1904-1905แมนเชสเตอร์ซิตีจัดเป็นหนึ่งในทีมตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ นัดสุดท้ายของฤดูกาลทีมต้องการชัยชนะเหนือแอสตันวิลลา แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อทีมแพ้ไป3-1 และได้เพียงอันดับ3 ตามหลังนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดทีมที่ได้แชมป์แค่2แต้ม

หลังจบเกมส์นัดดังกล่าวอเล็กซ์ ลีคผู้เล่นทีมชาติอังกฤษซึ่งเป็นกัปตันทีมของแอสตันวิลลากล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า บิลลี่ เมเรดิธจ้างวานเขาเป็นเงิน 10ปอนด์ในสมัยนั้นเพื่อล้มบอล และแม้บิลลี่จะต่อสู้ข้อกล่าวหาแต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษก็สั่งปรับเงินและแบนตัวเขาและสโมสรถึง18เดือน

ย้ายสู่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แก้

เมื่อพ้นข้อกล่าวหาบิลลี่ย้ายทีมอย่างช็อควงการฟุตบอลอังกฤษด้วยการย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคู่ปรับร่วมเมืองของแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยค่าตัว 500ปอนด์ภายใต้การคุมทีมของ เออร์เนสต์ มังก์นัลล์ ผู้จัดการทีมกิตติมศักดิ์คนแรกของสโมสร โดยลงสนามให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนัดแรกในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1907ซึ่งทีมชนะแอสตันวิลลา 1-0 จากประตูของแซนดี้ เทิร์นบูลล์ซึ่งมาจากลูกเปิดของบิลลี่ เมเรดิธ โดยทั้งฤดูกาลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแพ้ไปเพียงแค่4นัดเท่านั้นและจบฤดูกาล 1906-1907ด้วยอันดับ8 โดยเมเรดิธลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดฤดูกาลแรก16นัดและยิง5ประตู

ฤดูกาล1907-1908แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเริ่มต้นอย่างยอดเยี่ยมด้วยการชนะ3นัดรวด ก่อนจะมาแพ้มิดเดิลสโบรช์ 2-1อย่างไรก็ตามความพ่ายแพ้ในนัดนั้นตามมาด้วยชัยชนะอีก10นัด และถึงจะแพ้ลิเวอร์พูลในวันที่ 25มีนาคม 1908 ถึง7-4 แต่เมื่อจบฤดูกาลทีมก็คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกของสโมสร บิลลี่ยิงไป10ประตูในฤดูกาลนั้น และเขาสามารถสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมมากมายเช่นแซนดี้ เทิร์นบูลล์ยิงได้ถึง25ประตูและจอร์จ วอลล์ยิงไป19ประตู

ปี 1908 เมเรดิธต้องประสบปัญหาทางการเงิน เมื่อเกิดเพลิงใหม้ที่ร้านขายอุปกรณ์กีฬาของเขาซึ่งเขาไม่ได้รับเงินประกัน และต้องต่อสู้กับการล้มละลายอยู่นาน

ฤดูกาล1910-1911 เออร์เนสต์ มังก์นัลล์ ผู้จัดการทีมคว้าตัว อีนอค เวสต์มาจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเวสต์เป็นนักเตะที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับแซนดี้ เทิร์นบูลล์เพื่อนสนิทของบิลลี่ เมเรดิธ และเมเรดิธก็สนับสนุนทั้ง2เป็นอย่างดี เมื่อเขาสร้างสรรค์การทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมอย่างมากมายโดยฤดูกาลนั้นเวสต์ยิงไป20ประตูและเทิร์นบูลยิงไป19ประตู ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องแย่งแชมป์กับแอสตันวิลลา ซึ่งทั้ง2ทีมมีแต้มห่างกันแค่แต้มเดียว แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ดพบกับทีมอันดับ3อย่างซันเดอร์แลนด์ ขณะที่แอสตันวิลลาต้องพบกับลิเวอร์พูล

หลังจบเกมส์แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะไป5-1 และกองเชียร์ก็พากันลงมาในสนามเพื่อรอลุ้นผลที่แอนด์ฟิลด์ และในที่สุดกองเชียร์ปีศาจแดงก็ได้ดีใจกันจนตัวลอยเมื่อรู้ว่าทีมได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง เพราะวิลล่าออกไปแพ้ 3-1 ทำให้สโมสรเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่2ในรอบ4ปี และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่2ของบิลลี่ เมเรดิธ

ปีค.ศ.1915 ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1ได้ส่งผลกระทบต่อวงการฟุตบอลทำให้การแข่งขันฟุตบอลในประเทศต้องหยุดลง และบิลลี่ต้องหยุดเล่นฟุตบอลเนื่องจากภัยสงคราม เมื่อสงครามสงบลงบิลลี่ เมเรดิธในวัยล่วงเลย40ปีก็กลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งในปี 1919 แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้ฟอร์มของเขาไม่สุดยอดเหมือนเมื่อก่อน

กลับแมนเชสเตอร์ซิตี แก้

ปีค.ศ. 1921 บิลลี่ เมเรดิธในวัย47ปี ย้ายกลับมาแมนเชสเตอร์ซิตีอีกครั้งเพื่อที่จะยุติการค้าแข้งของเขาที่นั่น โดยก่อนหน้านั้นเขาได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้เล่นทีมชาติเวลส์ที่มีอายุมากที่สุดที่ 45 ปีและเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุมากที่สุดตลอดกาลของเอฟเอ คัพเมื่อลงเล่นในรอบรองชนะเลิศขณะมีอายุถึง49ปี 245วัน ในแมตช์ที่พบกับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดและถือเป็นแมตช์สุดท้ายของเขา โดยเขาตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการเมื่อจบฤดูกาล 1923-1924 ทีมของเขาจบด้วยอันดับที่11ของตาราง และเขาทำสถิติลงสนามให้แมนเชสเตอร์ซิตีเกินกว่า390นัด ยิงได้เกือบ150ประตู เอกลักษณ์เฉพาะตัวของบิลลี่ที่คนพูดถึงมากก็คือการที่เขาชอบคาบไม้จิ้มฟันลงไปในสนามอยู่เสมอ

เสียชีวิต แก้

บิลลี่ เมเรดิธเสียชีวิตที่บ้านของตัวเองในเมืองแมนเชสเตอร์ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1958ที่ ขณะมีอายุ 83ปี

ผลงาน แก้

อ้างอิง แก้

  1. Alpuin, Luis Fernando Passo (20 February 2000), Wales – Record International Players, Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation, สืบค้นเมื่อ 10 March 2009
  2. Legends: Billy Meredith Player Profile, Stretford-end.com, สืบค้นเมื่อ 25 February 2009
  3. Harding 1998, p. 7

บรรณานุกรม

  • Brandon, Derek (1978). A–Z of Manchester Football: 100 Years of Rivalry. Boondoggle.
  • Harding, John (1998). Football Wizard: The Billy Meredith Story. Robson Books. ISBN 1-86105-137-9.
  • James, Gary (2005). The Official Manchester City Hall of Fame. Hamlyn. ISBN 0-600-61282-1.
  • James, Gary (2006). Manchester City – The Complete Record. Breedon. ISBN 1-85983-512-0.
  • James, Gary (2008). Manchester – A Football History. James Ward.
  • Joyce, Michael (2004). Football League Players' Records 1888–1939. Tony Brown. ISBN 1-899468-67-6.
  • Kent, Jeff (1996). Port Vale Personalities. Witan Books. ISBN 0-9529152-0-0.
  • Penney, Ian (1995). The Maine Road Encyclopaedia. Mainstream. ISBN 1-85158-710-1.
  • Ward, Andrew (1984). The Manchester City Story. Breedon. ISBN 0-907969-05-4.