น็อกติลูเซนต์
น็อกติลูเซนต์ หรือ เมฆทีปราตรี[1] (อังกฤษ: noctilucent) หรือ เมฆโพลาร์มีโซสเฟียร์ (polar mesospheric clouds)[2] เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศของโลกชั้นบน เป็นเมฆลักษณะเป็นริ้วคล้ายคลื่น ไม่มีรูปร่างแน่นอน[3] โดยทั่วไปมีสีขาวถึงน้ำเงินอ่อน[4] แต่บางครั้งมีสีแดงหรือเขียว[5] เมฆชนิดนี้มักพบในพื้นที่ละติจูดระหว่าง 50° และ 70° เหนือและใต้เส้นศูนย์สูตร สามารถพบเห็นได้ในช่วงฤดูร้อนและดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าของผู้สังเกตการณ์ แต่ยังคงมีแสงอาทิตย์สะท้อนบนก้อนเมฆอยู่ น็อกติลูเซนต์เป็นคำในภาษาละติน แปลว่า ส่องสว่างตอนกลางคืน[6] มีอักษรย่อคือ NLC หรือ PMC[7]
น็อกติลูเซนต์เป็นเมฆที่อยู่สูงที่สุดในชั้นบรรยากาศของโลก ก่อตัวในชั้นมีโซสเฟียร์ที่ระดับความสูง 76,000–85,000 เมตร (250,000–280,000 ฟุต) เมฆชนิดนี้เกิดจากผลึกน้ำแข็งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 100 นาโนเมตร[8] เมฆชนิดนี้ต่างจากเมฆในชั้นโทรโพสเฟียร์ตรงที่ก่อตัวจากไอน้ำโดยตรงร่วมกับอนุภาคของฝุ่น[9][10] ที่มาของฝุ่นและไอน้ำยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าฝุ่นมาจากสะเก็ดดาวขนาดเล็กหรือมาจากชั้นโทรโพสเฟียร์ ในขณะที่ไอน้ำอาจมาจากช่องว่างของโทรโพพอสหรือเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างมีเทนกับอนุมูลอิสระไฮดรอกซิลในชั้นสตราโทสเฟียร์ เนื่องจากชั้นมีโซสเฟียร์มีความชื้นน้อยมาก[11] สาเหตุที่น็อกติลูเซนต์มักพบในช่วงฤดูร้อนเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ชั้นมีโซสเฟียร์จะมีอากาศเย็นที่สุด ทำให้ไอน้ำเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า −120 °ซ[7] ในซีกโลกเหนือมักเกิดช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม และกลางเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ในซีกโลกใต้[4] และพบเห็นได้ช่วงสนธยาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นและตก โดยจะมองเห็นได้ดีที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าประมาณ 6° ถึง 16°[12]
น็อกติลูเซนต์เป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจน มีการบันทึกถึงการพบเห็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1885 สองปีต่อมา ออตโต เจสเซอทำการศึกษาเมฆชนิดนี้และตั้งชื่อว่า noctilucent clouds[13] และเชื่อว่าเกิดจากฝุ่นภูเขาไฟกรากะตัวที่ปะทุเมื่อสี่ปีก่อน[14] อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ถูกหักล้างในปี ค.ศ. 1926[15] ช่วงทศวรรษ 1960 มีการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างอากาศเย็นจัดกับการก่อตัวของเมฆเมื่อมีการใช้จรวจในการศึกษาชั้นมีโซเฟียร์[16] การศึกษาปัจจุบันพบว่าการปล่อยแก๊สมีเทนที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดเมฆน็อกติลูเซนต์มากขึ้น[17]
อ้างอิง แก้
- ↑ ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ. "รื่นรมย์...ชมเมฆ การจัดจำแนกเมฆบนฟากฟ้า" (PDF). วารสารเทคโนโลยีวัสดุ ฉบับที่ 61 (ตุลาคม–ธันวาคม 2553). p. 60. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-29. สืบค้นเมื่อ October 26, 2020.
- ↑ "Noctilucent clouds (polar mesospheric clouds) - International Cloud Atlas". World Meteorological Organization. สืบค้นเมื่อ September 17, 2019.
- ↑ Gadsden (1995), pp.8–10.
- ↑ 4.0 4.1 Cowley, Les. "Noctilucent Clouds, NLCs". Atmospheric Optics. สืบค้นเมื่อ 2008-10-18.
- ↑ Gadsden (1995), p.13.
- ↑ Petersen, Carolyn Collins (July 3, 2019). "Understanding the Glow of Noctilucent Clouds". ThoughtCo. สืบค้นเมื่อ September 17, 2019.
- ↑ 7.0 7.1 "Noctilucent clouds - Polar Mesospheric Clouds". Atmospheric Optics. สืบค้นเมื่อ September 17, 2019.
- ↑ Phillips, Tony (August 25, 2008). "Strange Clouds at the Edge of Space". NASA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2010.
- ↑ Murray, B.J.; Jensen, E.J. (2000). "Homogeneous nucleation of amorphous solid water particles in the upper mesosphere". Journal of Atmospheric and Solar-Terrestrial Physics. 72 (1): 51–61. Bibcode:2010JASTP..72...51M. doi:10.1016/j.jastp.2009.10.007.
- ↑ Chang, Kenneth (2007-07-24). "First Mission to Explore Those Wisps in the Night Sky". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-10-05.
- ↑ "Noctilucent clouds". Met Office. สืบค้นเมื่อ September 18, 2019.
- ↑ Gadsden (1995), p.11.
- ↑ Schröder, Wilfried. "On the Diurnal Variation of Noctilucent Clouds". German Commission on History of Geophysics and Cosmical Physics. สืบค้นเมื่อ 2008-10-06.
- ↑ Schröder (2001), p.2457
- ↑ Bergman, Jennifer (2004-08-17). "History of Observation of Noctilucent Clouds". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-28. สืบค้นเมื่อ 2008-10-06.
- ↑ Schröder (2001), p.2464
- ↑ "Climate Change Is Responsible for These Rare High-Latitude Clouds". Smithsonian. 2018.