ราชรัฐซีแลนด์ (อังกฤษ: Principality of Sealand) เป็นประเทศจำลองที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศโดยสมบูรณ์[5] ซึ่งอ้างสิทธิเอชเอ็ม ฟอร์ตรัฟส์ (มีอีกชื่อว่า รัฟส์ทาวเวอร์) แท่นนอกชายฝั่งในทะเลเหนือที่อยู่ห่างจากชายฝั่งเมืองซัฟฟอล์ก 12 กิโลเมตร (6 12 ไมล์ทะเล) เป็นดินแดนของตนเอง รัฟส์ทาวเวอร์เป็นป้อมทะเล Maunsell ที่ชาวบริติชสร้างขึ้นในน่านน้ำสากลช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นับตั้งแต่ ค.ศ. 1967 รัฟส์ทาวเวอร์ที่ปลดประจำการถูกครอบครองและอ้างสิทธิเป็นรัฐอธิปไตยโดยครอบครัวและสมาคมแพดดี รอย เบตส์ เบตส์ยึดครองรัฟส์ทาวเวอร์จากผู้กระจายเสียงทางวิทยุเถื่อนใน ค.ศ. 1967 โดยมีความประสงค์ที่จะตั้งสถานีของตนเองที่นั่น ทหารรับจ้างเข้ารุกรานซีแลนด์ใน ค.ศ. 1978 แต่สามารถต้านทานการโจมตีได้ เมื่อสหราชอาณาจักรขยายน่านน้ำอาณาเขตไปเป็น 12 ไมล์ทะเลใน ค.ศ. 1987 ทำให้แท่นนั้นอยู่ในดินแดนของบริติช

ราชรัฐซีแลนด์

ธงชาติซีแลนด์
ธงชาติ
ตราแผ่นดินของซีแลนด์
ตราแผ่นดิน
คำขวัญE Mare Libertas  (ละติน)
เสรีภาพจากท้องทะเล[1]
ที่ตั้งของซีแลนด์
ซีแลนด์จากข้างบนใน ค.ศ. 1999
ซีแลนด์จากข้างบนใน ค.ศ. 1999
โครงสร้างการเมืองราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[2]
เจ้าชาย 
• 1967–2012
แพดดี รอย เบตส์
• 2012–ปัจจุบัน
ไมเคิล เบตส์[2][3]
ก่อตั้ง
• ประกาศ
2 กันยายน 1967;
56 ปีก่อน
 (1967-09-02)[3]
พื้นที่อ้างสิทธิ
• รวม
0.004 ตารางกิโลเมตร (0.0015 ตารางไมล์)
(ประมาณ 1 เอเคอร์)
ประชากร
• ประมาณ
2 คน (2015)[4]
สกุลเงินที่อ้างดอลลาร์ซีแลนด์
เว็บไซต์
sealandgov.org

ประวัติศาสตร์ แก้

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. 1943 สหราชอาณาจักรได้สร้าง เอชเอ็ม ฟอร์ตรัฟส์ (บางครั้งเรียกเป็น รัฟส์ทาวเวอร์) เป็นหนึ่งในป้อมปราการ Maunsell[6] โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อป้องกันเส้นทางเดินเรือที่สำคัญในบริเวณปากแม่น้ำใกล้เคียงจากเครื่องบินวางทุ่นระเบิดของเยอรมนี ประกอบด้วยฐานทุ่นลอยน้ำที่มีโครงสร้างด้านบนเป็นหอคอยกลวง 2 หลังเชื่อมกันด้วยดาดฟ้าที่สามารถเพิ่มโครงสร้างอื่น ๆ ได้ จากนั้นจึงลากตัวป้อมไปยังตำแหน่งเหนือสันดอนทราย Rough Sands โดยทำให้ฐานท่วมเพื่อให้มันจมลงไป ตัวฐานอยู่ห่างจากชายฝั่งซัฟฟอล์กประมาณ 7 ไมล์ทะเล (13 กิโลเมตร) ซึ่งอยู่นอกเขตอ้างสิทธิของสหราชอาณาจักรในเวลานั้น 3 ไมล์ทะเล (6 กิโลเมตร) ทำให้อยู่ในน่านน้ำสากล[6] มีทหารราชนาวีเข้าประจำการ 150–300 นายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารประจำการนายสุดท้ายออกจากบริเวณนี้ใน ค.ศ. 1956[6] ส่วนป้อมปราการ Maunsell ถูกปลดประจำการในคริสต์ทศวรรษ 1950[7]

ครอบครองและจัดตั้ง แก้

ป้อมปราการแห่งนี้ถูกยึดครองโดยพันตรีแพดดี รอย เบตส์ อดีตนายทหารสื่อสารแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร เพื่อใช้ตั้งเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงเถื่อน ต่อมาได้ประกาศตัวเป็นอิสระจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1967[8]

ใน ค.ศ. 1978 ขณะที่เบตส์ไม่ได้อยู่ในซีแลนด์ อเล็กซานเดอร์ อาเคนบาค (Alexander Achenbach) ผู้กล่าวอ้างว่าเป็นนายกรัฐมนตรีซีแลนด์พร้อมด้วยประชากรสัญชาติเยอรมันและดัชต์จำนวนหนึ่งได้ก่อการยึดอำนาจด้วยกำลัง จับไมเคิล บุตรชายของเบตส์ไว้ แล้วหลายวันต่อมาจึงนำไปปล่อยไว้ที่เนเธอร์แลนด์ เบตส์จึงรวบรวมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์บุกยึดป้อมของตนคืนมาด้วยปฏิบัติการเฮลิคอปเตอร์ จับผู้ก่อการยึดอำนาจไว้เป็นเชลยศึก ผู้ก่อการส่วนใหญ่ถูกส่งกลับประเทศตนเมื่อสงครามจบสิ้น แต่อเล็กซานเดอร์ อาเคนบาค ทนายความชาวเยอรมันผู้ถือหนังสือเดินทางซีแลนด์ถูกตั้งข้อหากบฏต่อซีแลนด์และถูกคุมขังไว้จนกว่าจะได้จ่ายค่าเสียหายที่เรียกร้อง

รัฐบาลเยอรมันและเนเธอร์แลนด์เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรให้ความช่วยเหลือในการส่งคืนเชลยสงครามเหล่านี้กลับสู่ประเทศของตน แต่สหราชอาณาจักรปฏิเสธโดยอ้างอิงคำพิพากษาของศาลที่ได้ชี้ขาดสถานะของซีแลนด์ไปแล้ว เบตส์เลิกล้มข้อเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวหลังจากการต่อรองเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ก็กล่าวอ้างว่าการเจรจาทางการทูตที่เกิดขึ้นเป็นการยอมรับสถานภาพประเทศเอกราชของซีแลนด์โดยเยอรมนีไปโดยปริยาย เมื่ออเล็กซานเดอร์ อาเคนบาค ถูกส่งกลับประเทศแล้วกลับตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นและสถาปนาตนเองเป็นประธานองคมนตรี และสืบทอดตำแหน่งดังกล่าวให้โยฮันเนส ซีเกอร์ (Johannes Seiger) ใน ค.ศ. 1989 ตราบจนปัจจุบัน ซีเกอร์ยังยืนยันอ้างสิทธิ์การปกครองของตนเองเหนือซีแลนด์

ไฟไหม้ใน ค.ศ. 2006 แก้

 
ซีแลนด์หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่กี่เดือน

ณ ตอนบ่ายวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2006 พื้นที่ชั้นบนสุดของรัฟส์ทาวเวอร์เกิดเพลิงไหม้เนื่องจากไฟฟ้าขัดข้อง เฮลิคปเตอร์กู้ภัยของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรส่งบุคคลเดียวจากหอไปยังโรงพยาบาลอิปสวิช เรือกู้ภัยแฮริชยังคงอยู่ที่รัฟส์ทาวเวอร์จนกระทั่งหน่วยดับเพลิงดับไฟ[9] ความเสียหายทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006[10]

ผู้ก่อตั้งเสียชีวิต แก้

รอย เบตส์เสียชีวิตด้วยอายุ 91 ปีในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2012 เขาประสพกับโรคอัลไซเมอร์เป็นเวลาหลายปี โดยไมเคิล ลูกชายของเขา เขาดำรงตำแหน่งของพ่อที่ซีแลนด์ต่อ[1][11] แม้ว่าเขายังคงอาศัยอยู่ที่ซัฟฟอล์กต่อ[12] ทั้งเขาและบรรดาลูกชายเปิดกิจการประมงครอบครัวชื่อ Fruits of the Sea[13] โจแอน เบตส์ ภรรยาของรอย เสียชีวิตที่บ้านพักคนชราเอสเซกซ์ด้วยอายุ 86 ปีในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016[14]

การให้สถานะยอมรับ แก้

Simon Sellars จาก The Australian และ Red Bull กล่าวถึงซีแลนด์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก[15][16] แต่ซีแลนด์ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐอธิปไตยใด ๆ อย่างเป็นทางการ ถึงกระนั้น รัฐบาลซีแลนด์อ้างว่า ประเทศเยอรมนีให้การยอมรับ โดยพฤตินัย เนื่องจากทางเยอรมนีเคยส่งทูตมายังซีแลนด์[17]

ลักษณะภูมิประเทศ แก้

ซีแลนด์ประกอบไปด้วยฐานซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเล เสาทรงกลมขนาดใหญ่สองต้น และดาดฟ้า ในส่วนเสากลมแบ่งเป็น 7 ชั้น (A-G) ชั้น A คือดาดฟ้าและเป็นที่วางเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชั้น B อยู่เหนือทะเล ส่วน C-G อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ในสมัยสงคราม ชั้น B-E เคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงอาหารและที่พัก ชั้น F เป็นคลังอาวุธ และชั้น G เป็นที่เก็บของอื่นๆ

เศรษฐกิจและการปกครอง แก้

 
เหรียญกษาปณ์ซีแลนด์ (จากซ้ายไปขวา) ครึ่งดอลลาร์ หนึ่งดอลลาร์ และหนึ่งส่วนสี่ดอลลาร์

เนื่องด้วยสถานภาพพิเศษที่ผู้ปกครองอ้างว่าตนเองเป็นประเทศเอกราชไปโดยปริยาย จึงนำพื้นที่ให้ HavenCo Limited ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับฝากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตเช่า โดยสถานของบริษัทในซีแลนด์ช่วยอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและภาษี นอกจากนี้ยังมีการให้ตำแหน่ง Lord, Lady, Baron และ Baroness กับผู้ที่บริจาคเงินสนับสนุนซีแลนด์

สถานภาพทางกฎหมาย แก้

 
แผนที่ซีแลนด์และสหราชอาณาจักร พร้อมกับบริเวณที่อ้างสิทธิบนผืนน้ำ 3 และ 12 ไมล์ทะเล (6 และ 22 กิโลเมตร)

ใน ค.ศ. 1987 สหราชอาณาจักรขยายน่านน้ำอาณาเขตจาก 3 ถึง 12 ไมล์ทะเล (6 ถึง 22 กิโลเมตร) ทำให้ซีแลนด์อยู่ในน่านน้ำอาณาเขตของบริติช[18] จอห์น กิบสัน นักวิชาการกฎหมาย ให้ความเห็นว่า ซีแลนด์มีโอกาสน้อยหรือไม่มีเลยที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศ เนื่องจากตัวประเทศเป็นโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น[18]

ฝ่ายบริหาร แก้

 
ไมเคิล เบตส์

ซีแลนด์ได้รับการบริหารจัดการโดยตระกูลเบตส์ เสมือนเป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการยอมรับและพวกเขาถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีการสืบทอดอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางกฎหมาย รอย เบตส์เรียกตนเองเป็น "เจ้าชายรอย" และภรรยาว่า "เจ้าหญิงโจแอน" ครอบครัวเบตส์เรียกบรรดาลูกชายเป็น "ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนกษัตริย์" ใน ค.ศ. 1999 จนกระทั่งรอยเสียชีวิตใน ค.ศ. 2012[19] ด้วยบทบาทนี้ ทำให้เขาทำหน้าที่เป็น "ประมุขแห่งรัฐ" รักษาการ และ "หัวหน้ารัฐบาล" ของซีแลนด์[20]

ซีแลนด์ถือครองสถิติ "พื้นที่เล็กที่สุดที่อ้างสิทธิเป็นชาติ" ของบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[21]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 Braun, Adee (30 August 2013). "From the Sea, Freedom". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2021. สืบค้นเมื่อ 1 November 2021. Roy Bates died in 2012, and was succeeded by Prince Michael
  2. 2.0 2.1 "Information on the Principality of Sealand including Bates Family, GDP, Constitution" (PDF). Artists' Association MUU. Amorph Summit of Micronations. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 15 October 2014. สืบค้นเมื่อ 13 November 2007.
  3. 3.0 3.1 MacEacheran, Mike. "Sealand: A peculiar 'nation' off England's coast". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2020. สืบค้นเมื่อ 23 September 2020.
  4. Eveleth, Rose. "'I rule my own ocean micronation'". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2020. สืบค้นเมื่อ 2021-05-13.
  5. MacEacheran, Mike. "Sealand: A peculiar 'nation' off England's coast". www.bbc.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2022. สืบค้นเมื่อ 2021-12-30.
  6. 6.0 6.1 6.2 Zumerchik, John (2008). Seas and Waterways of the World: An Encyclopedia of History, Uses, and Issues. ABC-CLIO Ltd. p. 563. ISBN 978-1-85109-711-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2021. สืบค้นเมื่อ 12 January 2021.
  7. "The Maunsell Sea Forts". HeritageDaily – Archaeology News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-05-20. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2020. สืบค้นเมื่อ 2021-05-13.
  8. "History of Sealand". Government of Sealand. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-17. สืบค้นเมื่อ 2007-11-11.
  9. "Blaze at offshore military fort". BBC. 23 มิถุนายน 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2012.
  10. "Church and East renovation completion". Church and East. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2014.
  11. Alexander, Michael (2 August 2013). "Prince Roy of Sealand Memorial Coin Launched". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2021. สืบค้นเมื่อ 1 November 2021. Prince Roy was succeeded by his only son, the Prince Regent – now Sovereign Prince Michael
  12. Ryan, John; Dunford, George; Sellars, Simon (2006). Micronations. Lonely Planet. pp. 9–12. ISBN 1-74104-730-7.
  13. Milmo, Cahal (March 18, 2016). "Sealand's Prince Michael on the future of an off-shore 'outpost of liberty'". Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 December 2017. สืบค้นเมื่อ 30 December 2017.
  14. Milmo, Cahal (14 March 2016). "'Princess Joan of Sealand' has died aged 86". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2 August 2020.
  15. "Skateboarding the World's Smallest Country: Red Bull All Access". YouTube. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2013.
  16. "JOURNEYS – THE SPIRIT OF DISCOVERY: Simon Sellars braves wind and waves to visit the unlikely North Sea nation of Sealand". The Australian. 10 พฤศจิกายน 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2007.
  17. Ryan, John; Dunford, George; Sellars, Simon (2006). Micronations. Lonely Planet. p. 11. ISBN 1-74104-730-7.
  18. 18.0 18.1 Ward, Mark (5 June 2000). "Offshore and offline?". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2009. สืบค้นเมื่อ 9 April 2009.
  19. "Information on Sealand's royal family". Sealand News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2007. สืบค้นเมื่อ 13 November 2007.
  20. Ryan, John; Dunford, George; Sellars, Simon (2006). Micronations. Lonely Planet. p. 8. ISBN 1-74104-730-7.
  21. Guinness World Records 2008. Guinness World Records. 2007. p. 131. ISBN 978-1-904994-18-3.

อ่านเพิ่ม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้