การลุกไหม้ (อังกฤษ: deflagration) คือกระบวนการเผาไหม้ที่หน้าคลื่นของการเผาไหม้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าความเร็วเสียงซึ่งหน้าคลื่นการเผาไหม้แผ่ไปด้วยการถ่ายเทความร้อน วัสดุร้อนที่เผาไหม้ให้ความร้อนวัสดุเย็นที่อยู่ถัดไปแล้วก็จุดไฟมัน "ไฟ" ส่วนใหญ่ที่พบในชีวิต ตั้งแต่เปลวไฟจนถึงการระเบิดเช่นของดินปืน เป็นการลุกไหม้ทั้งสิ้น นี่แตกต่างจากการระเบิดรุนแรงซึ่งแผ่ออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียงด้วยคลื่นกระแทก และสารนั้นก็จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วยิ่งยวด

ท่อนไม้ในเตาไฟ

การประยุกต์ แก้

ในการประยุกต์ใช้ทางวิศวกรรม การลุกไหม้ควบคุมได้ง่ายกว่าการระเบิดรุนแรง ผลคือการลุกไหม้จึงเหมาะสมกว่าเมื่อมีจุดมุ่งหมายเพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุ (เช่นกระสุนในอาวุธปืน หรือลูกสูบในเครื่องยนต์สันดาปภายใน) ด้วยแรงของแก๊สที่ขยายตัว ตัวอย่างโดยปกติของการลุกไหม้ก็เช่นการเผาไหม้ของสารผสมอากาศ-แก๊สในเตาแก๊ส (gas stove) หรือสารผสมอากาศ-เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์สันดาปภายใน และการไหม้อย่างรวดเร็วของดินปืนในอาวุธปืนหรือส่วนผสมอัคนีศิลป์ในดอกไม้ไฟ การระเบิดแรงดันแก๊สซึ่งเป็นระบบและผลผลิตของการลุกไหม้ก็ถูกใช้ในเหมืองแร่เพื่อการทำลายและการขุดหินโดยเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์แทนการใช้วัตถุระเบิดแรงสูง

ไฟน้ำมัน/ขี้ผึ้งกับน้ำ แก้

การใส่น้ำลงในไฮโดรคาร์บอนที่ไหม้อยู่เช่นน้ำมันหรือขี้ผึ้งจะทำให้เกิดการลุกไหม้ขึ้น น้ำจะเดือดอย่างรวดเร็วและพ่นวัสดุที่ไหม้อยู่ออกกระเด็นเป็นละอองละเอียด การลุกไหม้จึงเกิดขึ้นเมื่อหมอกหยดน้ำมันละเอียดถูกจุดไฟและไหม้อย่างรวดเร็วยื่งยวด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะในไฟไหม้หม้อทอดมันฝรั่ง (chip pan) ซึ่งเป็นตัวการของหนึ่งในห้าของอัคคีภัยครัวเรือนทั้งหมดในสหราชอาณาจักร[1]

ฟิสิกส์เปลวไฟ แก้

เพื่อเข้าใจฟิสิกส์เบื้องหลังเปลวไฟ เราจะใช้ตัวแบบอุดมคติช่วยซึ่งประกอบไปด้วยท่อหนึ่งมิติเอกรูปที่มีเชื้อเพลิงแก๊สทั้งที่ไหม้แล้วและยังไม่ไหม้บรรจุอยู่และแยกจากกันด้วยพื้นที่เปลี่ยนผ่านบาง ๆ ความกว้าง   ซึ่งมีการเผาไหม้อยู่ พื้นที่ที่เผาไหม้มักจะถูกเรียกเป็นหน้าเปลวไฟ (flame front) การแพร่ความร้อนข้ามหน้าเปลวไฟถูกดุลโดยความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้ในสมดุล[2][3][4][5]

มีมาตราเวลาลักษณะเฉพาะที่สำคัญอยู่สองมาตรา มาตราแรกคือมาตราเวลาการแพร่ความร้อนแทนด้วย   ซึ่งเท่ากับประมาณ

 ,

โดย   เป็นสภาพแพร่ความร้อน (Thermal diffusivity) มาตราที่สองคือมาตราเวลาการไหม้   ซึ่งลดลงตามอุณหภูมิ โดยปกติเป็น

 ,

โดย   เป็นอุปสรรคการกระตุ้นของปฏิกิริยาการไหม้และ   เป็นอุณหภูมิที่เกิดเป็นผลลัพธ์ของการไหม้ ซึ่งค่านี้ก็สามารถเรียกว่า "อุณหภูมิเปลวไฟ" และสามารถกำหนดหาได้โดยใช้กฎของอุณหพลศาสตร์

สำหรับหน้าคลื่นที่นิ่งของการลุกไหม้ที่เคลื่อนที่ มาตราเวลาทั้งสองนี้จะต้องเท่ากัน: ความร้อนที่ถูกผลิตโดยการไหม้มีค่าเท่ากับความร้อนที่นำออกไปโดยการถ่ายเทความร้อน ทำให้เราสามารถคำนวณความกว้างลักษณะเฉพาะ   ของหน้าเปลวไฟได้:

 ,

ดังนั้น

 .

แล้วหน้าเปลวไฟแพร่ด้วยความเร็วลักษณะเฉพาะ   ซึ่งก็เพียงเท่ากับความกว้างของเปลวไฟหารด้วยเวลาไหม้:

 .

ตัวแบบที่ถูกทำให้ง่ายนี้ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิซึ่งก็แปลว่าไม่ได้สนใจอัตราการไหม้ตลอดหน้าการลุกไหม้ ตัวแบบนี้ยังไม่สนใจอิทธิพลที่เป็นไปได้ของความปั่นป่วน (turbulence) ผลลัพธ์ก็คือการอนุพัทธ์นี้ให้เราแค่ความเร็วเปลวไฟแนวขนาน (laminar flame speed) ตัวแปรจึงมีตัว l อยู่แทนคำว่า laminar  .

เหตุการณ์เสียหาย แก้

ความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้าง เครื่องมือ และผู้คนสามารถอาจผลของการลุกไหม้ระยะเวลาสั้น ๆ และขนาดใหญ่ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยทั่วไปเป็นฟังก์ชันของปริมาณเชื้อเพลิงทั้งหมดที่ใหม้ไปในเหตุการณ์หนึ่ง (พลังงานทั้งหมดที่มีอยู่) ความเร็วเปลวเพลิงสูงสุดที่สัมฤทธิ์ และกิริยาของการกักการขยายตัวของแก๊ส

ในการลุกไหม้ในอากาศโล่ง ผลของการลุกไหม้เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเทียบกับความเร็วสูงสุดของเปลวไฟ เมื่อความเร็วช้าผลของการลุกไหม้คือการปลดปล่อยความร้อน ผู้เขียนบางคนใช้คำว่าไฟไหม้วาบ (flash fire) เพื่อพูดถึงการลุกไหม้ความเร็วต่ำ ที่ความเร็วใกล้ความเร็วเสียง พลังงานถูกปลดปล่อยในรูปของแรงดันและมีผลคล้ายกับการระเบิดรุนแรง ระหว่างจุดสุดขีดทั้งสองนี้ ก็จะมีการผลิตทั้งความร้อนและความดัน

เมื่อการลุกไหม้ความเร็วต่ำเกิดขึ้นภายในภาชนะหรือโครงสร้างที่ปิด ผลของความดันจะทำให้เกิดความเสียหายเนื่องมาจากการขยายตัวของแก๊สเป็นผลรอง ความร้อนที่ปลดปล่อยโดยการลุกไหม้ทำให้แก๊สเผาไหม้และอากาศเกินขยายตัวโดยความร้อน ผลลัพธ์สุทธิคือปริมาตรของภาชนะหรือโครงสร้างจะต้องขยายตัวเพื่อรองรับแก๊สเผาไหม้ร้อนหรือต้องแข็งแรงพอที่จะทนความดันภายในเพิ่มเติม ไม่เช่นนั้นก็จะล้มเหลวหรือพังแล้วปล่อยให้แก๊สหนีออกมาได้ ความเสี่ยงของการลุกไหม้ภายในถังเก็บของเสียเป็นความกังวลที่มีมากขึ้นในโกดัง

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. UK Fire Service advice on chip pan fires
  2. Williams, F. A. (2018). Combustion theory. CRC Press.
  3. Landau, L. D. (1959). EM Lifshitz, Fluid Mechanics. Course of Theoretical Physics, 6.
  4. Linan, A., & Williams, F. A. (1993). Fundamental aspects of combustion.
  5. Zeldovich, I. A., Barenblatt, G. I., Librovich, V. B., & Makhviladze, G. M. (1985). Mathematical theory of combustion and explosions.