การละทิ้งศาสนาอิสลาม

การละทิ้งศาสนาอิสลาม หรือ การสิ้นสภาพจากการเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม (อาหรับ: ردة, ริดดะฮ์ หรือ ارتداد, อิรดิดาด) หมายถึงการที่ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามได้ละทิ้งศาสนาอิสลามไปยึดมั่นในการปฏิเสธด้วยความเต็มใจ โดยสามารถเป็นการปฏิเสธทางกาย ทางจิตใจ หรือทางวาจา การละทิ้งศาสนาอิสลามมีชื่อเรียกตามภาษาอาหรับและศัพท์ในศาสนาอิสลามว่า มุรตัด (مرتدّ)[1][2][3][4][5] กรณีนี้ไม่ได้มีเพียงผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผยด้วยการเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอื่น[1] หรือไม่นับถือศาสนาเพียงเท่านั้น[1][6][7] แต่ยังรวมถึงการดูหมิ่นศาสนาหรือมิจฉาทิฐิ[8] ด้วยการกระทำหรือคำพูดใดที่ส่อให้เห็นถึงความไม่ศรัทธา ซึ่งรวมถึงบรรดาผู้ปฏิเสธ "หลักการพื้นฐานหรือความเชื่อ" ของศาสนาอิสลาม[9]

ในขณะที่นิติศาสตร์อิสลามแบบดั้งเดิมเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้ที่ไม่ขออภัยโทษจากการละทิ้งศาสนาอิสลาม[10] คำจำกัดความของการกระทำนี้และผู้ที่กระทำควรได้รับโทษหรือไม่นั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการอิสลาม[11][7][12] และได้รับเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงทั้งจากมุสลิมและผู้มิใช่มุสลิมที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและเสรีภาพทางศาสนา[13][14][Note 1]

ณ ค.ศ. 2021 มีประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นประชากรส่วนมาก 10 ประเทศที่มีโทษประหารชีวิตแก่ผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม[17] และอีก 13 ประเทศที่มีบทลงโทษทางแพ่ง เช่น จำคุก จ่ายค่าปรับ หรือสูญเสียสิทธิการดูแลเด็ก[18]

ศัพทมูลวิทยา แก้

การละทิ้งศาสนามีชื่อเรียกว่า อิรติดาด (หมายถึง กลับสภาพเดิม หรือ ถดถอย) หรือ ริดดะฮ์ ในศัพท์ทางศาสนาอิสลาม[19] การละทิ้งศาสนายังมีอีกชื่อเรียกว่า มุรตัด ซึ่งหมายถึง 'ผู้ที่หันหลัง' ให้กับอิสลาม[20] (Oxford Islamic Studies Online – ให้คำนิยาม มุรตัด ว่า "ไม่ใช่เพียงแค่กาฟิร (ผู้ปฏิเสธศรัทธา)" แต่เป็น "ประเภทที่เลวทรามเป็นพิเศษ")[21] ริดดะฮ์ ในทางการเมืองหมายถึง การแยกตัวออก[22]

อ้างอิงในหนังสือ แก้

อัลกุรอาน แก้

อัลกุรอานกล่าวถึงการละทิ้งศาสนาในหลายโองการ โดยแสดงความโกรธของพระเจ้า การลงโทษที่ใกล้เข้ามา และการปฏิเสธที่จะยอมรับการกลับใจต่อผู้ที่ละทิ้งศาสนา ตามธรรมเนียม โองการเหล่านี้ "ดูเหมือนจะให้ความชอบธรรมต่อการบีบบังคับและการลงโทษอย่างรุนแรง" สำหรับผู้ละทิ้งศาสนา (ตามรายงานจาก Dale F. Eickelman)[23] รวมทั้งโทษประหารชีวิตตามแบบดั้งเดิม มีดังนี้:[24]

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากัน แล้วยังได้ทวีการปฏิเสธศรัทธาขึ้นอีกนั้น การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาด และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่หลงทาง

อัลกุรอาน 3:90

พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด

อัลกุรอาน 9:66

ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว (เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์

อัลกุรอาน 16:106

...และการปฏิเสธการศรัทธาต่อพระองค์ และการกีดกัน อัล-มัสยิดิลฮะรอมตลอดจนการขับไล่ชาวอัล-มัสยิดิลฮะรอมออกไปนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์...

อัลกุรอาน 2:217

บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกจากศาสนาของพวกเขาไปอัลลอฮฺ ก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดามุมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา...

5:54

แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธาแล้วศรัทธา แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขั้นนั้น ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่ และใช่ว่าพระองค์จะทรงแนะนำทางใดให้แก่พวกเขาก็หาไม่

4:137

... และผู้ใดเปลี่ยนเอาการปฏิเสธไว้แทนการศรัทธาแล้วไซร้ แน่นอนเขาได้หลงทางอันเที่ยงตรงเสียแล้ว

2:108

เจ้ามิใช่ผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา นอกจากผู้ที่ผินหลังให้และปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น อัลลอฮฺจะทรงลงโทษเขาซึ่งการลงโทษอันมหันต์

88:22–24

แล้วหากพวกเขาสำนึกผิดกลับตัว และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาตแล้วไซร้ก็เป็นพี่น้องของพวกเจ้าในศาสนา และเราจะแจกแจงบรรดาโองการไว้แก่กลุ่มชนที่รู้ และถ้าหากพวกเขาทำลายคำมั่นสัญญาของพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ทำสัญญาไว้ และใส่ร้ายในศาสนา ของพวกเจ้าแล้วไซร้ ก็จงต่อสู้บรรดาผู้นำแห่งการปฏิเสธศรัทธา เถิด แท้จริงพวกเขานั้นหาได้มีคำมั่นสัญญาใด ๆ แก่พวกเขาไม่ เพื่อว่าพวกเขาจะหยุดยั้ง

9:11–12

พวกเขาชอบหากว่า พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธา ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ พวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นจงอย่าได้ยึดเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตร จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทางของอัลลอฮฺ แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงเอาพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ

อัลกุรอาน 4:89

นักวิชาการอีกกลุ่มชี้ให้เห็นว่า ในอัลกุรอานไม่มีการกล่าวถึงความจำเป็นในการบังคับผู้ละทิ้งศาสนาให้กลับมานับถือศาสนาอิสลาม หรือการลงโทษทางร่างกายเฉพาะใด ๆ ที่จะใช้กับผู้ละทิ้งศาสนาในโลกนี้[25][26][27][Note 2] – นับประสาอะไรกับคำสั่งให้สังหารผู้ละทิ้งศาสนา – ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือโดยนัยก็ตาม[29][30][31][32]

ความจริงแล้ว โองการอื่น ๆ เน้นความเมตตา และไม่มีการบังคับในหลักความเชื่อ:[33]

ไม่มีการบังคับใด ๆ (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัฎ-ฎอฆูต และศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ แท้จริง เราได้เตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกอธรรมซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา และถ้าพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงเดือดลวกใบหน้า มันเป็นน้ำดื่มที่ชั่วช้าและเป็นที่พำนักที่เลวร้าย

และหากพระเจ้าของเจ้าจงประสงค์แน่นอนผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ?

ดังนั้นจงตักเตือนเถิด เพราะแท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น เจ้ามิใช่ผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา

เขา (นูหฺ) กล่าวว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่า หากฉันมีหลักฐานอันแจ้งชัดจากพระเจ้าของฉัน และพระองค์ทรงประทานแก่ฉันซึ่งความเมตตาจากพระองค์ แล้วได้ถูกทำให้มืดมนแก่พวกท่าน3 เราจะบังคับพวกท่านให้รับมันทั้ง ๆ ที่พวกท่านเกลียดชังมันกระนั้นหรือ?

แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธาแล้วศรัทธา แล้วปฏิเสธศรัทธา แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขั้นนั้น ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่ และใช่ว่าพระองค์จะทรงแนะนำทางใดให้แก่พวกเขาก็หาไม่

ฮะดีษ แก้

หมายเหตุ แก้

  1. บทลงโทษในการสังหารผู้ละทิ้งศาสนาขัดแย้งกับบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ให้เสรีภาพทางศาสนา ดังปรากฏในตราสารสิทธิมนุษยชน เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา[15] [16]
  2. Wael Hallaq นักประวัติศาสตร์กฎหมาย เขียนว่า "ไม่มีข้อความใดในกฎหมายที่ว่าด้วยการละทิ้งความเชื่อ และการละทิ้งความเชื่อที่มาจากกฎหมาย" ของอัลกุรอาน[28]

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 Schirrmacher, Christine (2020). "Chapter 7: Leaving Islam". ใน Enstedt, Daniel; Larsson, Göran; Mantsinen, Teemu T. (บ.ก.). Handbook of Leaving Religion. Brill Handbooks on Contemporary Religion. Vol. 18. Leiden and Boston: Brill Publishers. pp. 81–95. doi:10.1163/9789004331471_008. ISBN 978-9004330924. ISSN 1874-6691.
  2. Adang, Camilla (2001). "Belief and Unbelief: choice or destiny?". ใน McAuliffe, Jane Dammen (บ.ก.). Encyclopaedia of the Qurʾān. Vol. I. Leiden: Brill Publishers. doi:10.1163/1875-3922_q3_EQCOM_00025. ISBN 978-9004147430.
  3. Frank Griffel, "Apostasy", in (Editor: Gerhard Bowering et al.) The Princeton Encyclopedia of Islamic Political Thought, ISBN 978-0691134840, pp. 40–41
  4. Diane Morgan (2009), Essential Islam: A Comprehensive Guide to Belief and Practice, ISBN 978-0313360251, pp. 182–183
  5. Ghali, Hebatallah (December 2006). "Rights of Muslim Converts to Christianity" (PhD Thesis). Department of Law, School of Humanities and Social Sciences. The American University in Cairo, Egypt. p. 2. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2014. Whereas an apostate (murtad) is the person who commits apostasy ('rtidad), that is the conscious abandonment of allegiance or ... renunciation of a religious faith or abandonment of a previous loyalty.
  6. "No God, not even Allah". The Economist. 24 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2017. สืบค้นเมื่อ 9 January 2018.
  7. 7.0 7.1 Peters, Rudolph; Vries, Gert J. J. De (1976). "Apostasy in Islam". Die Welt des Islams. 17 (1/4): 1–25. doi:10.2307/1570336. JSTOR 1570336. By the murtadd or apostate is understood as the Moslem by birth or by conversion, who renounces his religion, irrespective of whether or not he subsequently embraces another faith
  8. Hashemi, Kamran (2008). "Part A. Apostasy (IRTIDAD)". Religious Legal Traditions, International Human Rights Law and Muslim States. Brill. p. 21. ISBN 978-9047431534. สืบค้นเมื่อ 15 January 2021.
  9. Peters, Rudolph; Vries, Gert J. J. De (1976). "Apostasy in Islam". Die Welt des Islams. 17 (1/4): 2–4. doi:10.2307/1570336. JSTOR 1570336.
  10. Poljarevic, Emin (2021). "Theology of Violence-oriented Takfirism as a Political Theory: The Case of the Islamic State in Iraq and Syria (ISIS)". ใน Cusack, Carole M.; Upal, M. Afzal (บ.ก.). Handbook of Islamic Sects and Movements. Brill Handbooks on Contemporary Religion. Vol. 21. Leiden and Boston: Brill Publishers. pp. 485–512. doi:10.1163/9789004435544_026. ISBN 978-9004435544. ISSN 1874-6691.
  11. Abdelhadi, Magdi (27 March 2006). "What Islam says on religious freedom". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2017. สืบค้นเมื่อ 14 October 2009.
  12. Friedmann, Yohanan (2003). "Chapter 4: Apostasy". Tolerance and Coercion in Islam: Interfaith Relations in the Muslim Tradition. Cambridge University Press. pp. 121–159. ISBN 978-1139440790.
  13. Ibrahim, Hassan (2006). Abu-Rabi', Ibrahim M. (บ.ก.). The Blackwell Companion to Contemporary Islamic Thought. Blackwell Publishing. pp. 167–169. ISBN 978-1405121743.
  14. Human Rights Diplomacy. Psychology Press. 1997. p. 64. ISBN 978-0415153904.
  15. Wood, Asmi (2012). "8. Apostasy in Islam and the Freedom of Religion in International Law". ใน Paul Babie; Neville Rochow (บ.ก.). Freedom of Religion under Bills of Rights. University of Adelaide Press. p. 164. ISBN 978-0987171801. JSTOR 10.20851/j.ctt1t3051j.13. สืบค้นเมื่อ 9 January 2021.
  16. Brems, Evams (2001). Human Rights : Universality and Diversity. Springer. p. 210. ISBN 978-9041116185. สืบค้นเมื่อ 11 December 2020.
  17. "Death sentence for apostasy in nearly a dozen countries, report says". National Secular Society (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-11-16. สืบค้นเมื่อ 2022-12-16.
  18. Marshall, Paul; Shea, Nina. 2011. Silenced. How Apostasy & Blasphemy Codes are Choking Freedom Worldwide. Oxford: Oxford University Press. p. 61 แม่แบบ:ISBN?
  19. Schirrmacher, Christine (2020). "Leaving Islam". ใน Enstedt, Daniel; Larsson, Göran; Mantsinen, Teemu T. (บ.ก.). Handbook of Leaving Religion (PDF). Brill. p. 81. สืบค้นเมื่อ 6 January 2021.
  20. Heffening, W. (1993). "Murtadd". ใน C.E. Bosworth; E. van Donzel; W.P. Heinrichs; และคณะ (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam. Vol. 7. Brill Academic Publishers. pp. 635–636. doi:10.1163/1573-3912_islam_SIM_5554. ISBN 978-9004094192.
  21. Adams, Charles; Reinhart, A. Kevin. "Kufr". Oxford Islamic Studies Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-22. สืบค้นเมื่อ 2 January 2021.
  22. Lindholm, Charles. The Islamic Middle East. p. xxvi.
  23. Dale F. Eickelman (2005). "Social sciences". ใน Jane Dammen McAuliffe (บ.ก.). Encyclopaedia of the Qurʾān. Vol. 5. p. 68. Other verses nonetheless appear to justify coercion and severe punishment for apostates, renegades and unbelievers...
  24. O'Sullivan, Declan (2001). "The Interpretation of Qur'anic Text to Promote or Negate the Death Penalty for Apostates and Blasphemers". Journal of Qur'anic Studies. 3 (2): 63–93. doi:10.3366/jqs.2001.3.2.63. JSTOR 25728038. สืบค้นเมื่อ 21 January 2021.
  25. McAuliffe, Jane Dammen (2004). Encyclopaedia of the Qur'an, Vol. 1. Leiden: Brill Academic Publishers. p. 120. ISBN 978-9004123557.
  26. Campo, Juan Eduardo (2009). Encyclopedia of Islam. Infobase Publishing. pp. 48, 174. ISBN 978-0816054541.
  27. Asma Afsaruddin (2013), Striving in the Path of God: Jihad and Martyrdom in Islamic Thought, p. 242. Oxford University Press. ISBN 0199730938. Quote: "He [Al-Banna] notes that the Qur'ān itself does not mandate any this-worldly punishment for religious apostasy but defers punishment until the next (cf. Qur'ān 2:217)."
  28. Wael Hallaq (2004). "Apostasy". ใน Jane Dammen McAuliffe (บ.ก.). Encyclopaedia of the Qur'an. Vol. 1. Leiden: Brill Academic Publishers. p. 122. ISBN 978-9004123557.
  29. Jabir Alalwani 2011, pp. 32–33.
  30. A.C. Brown, Jonathan (2014). Misquoting Muhammad: The Challenge and Choices of Interpreting the Prophet's Legacy. Oneworld Publications. pp. 186–89. ISBN 978-1780744209.
  31. Taha Jabir Alalwani (2003), La 'ikraha fi al-din: 'ichkaliyat al-riddah wa al-murtaddin min sadr al-Islam hatta al-yawm, pp. 93–94. ISBN 9770909963.
  32. Jabir Alalwani 2011, pp. 35–39.
  33. Safi, Louay M. (31 March 2006). "Apostasy and Religious Freedom". Islamicity. สืบค้นเมื่อ 13 December 2020.

อ่านเพิ่ม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้