กบฏพระยาทรงสุรเดช

กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือ กบฏ 18 ศพ หรือ กบฏ พ.ศ. 2481 เป็นเหตุการณ์กบฏอีกครั้งหนึ่งในประเทศไทย หลังจากการเปลี่ยนแปลงปกครอง พ.ศ. 2475

กบฏพระยาทรงสุรเดช

พันเอกพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในกลุ่ม "4 ทหารเสือ" ผู้มีบทบาทอย่างสูงในการปฏิวัติสยาม ผู้ที่ถูกต้องข้อหาว่าเป็นตัวการในการกบฏครั้งนี้
วันที่16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 (85 ปีที่แล้ว)
สถานที่
ผล

รัฐบาลชนะอย่างเด็ดขาด

  • พระยาทรงสุรเดชและพันธมิตรลี้ภัยทางการเมือง
  • มีการกวาดล้างพันธมิตรทางการเมืองของพระยาทรงสุรเดช เช่น ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต
คู่สงคราม
รัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ฝ่ายกบฏ
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
พันเอก หลวงพิบูลสงคราม
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
พันเอก พระยาทรงสุรเดช
ร้อยโท ณเณร ตาละลักษณ์

สาเหตุ แก้

กบฏพระยาทรงสุรเดช เป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2482 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างตัวของพันเอกหลวงพิบูลสงครามกับพันเอกพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การสนับสนุนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา, กรณีกบฏบวรเดช และเหตุการณ์พยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามติดต่อกันหลายครั้งก่อนหน้านั้น คือ การลอบยิง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 โดย นายพุ่ม ทับสายทอง ขณะที่เป็นประธานพิธีการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ, ครั้งที่ 2 ที่บ้านพักของตนเอง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดย นายลี บุญตา คนรับใช้ที่สนิท ขณะที่หลวงพิบูลสงครามกำลังจะแต่งกายไปร่วมงานเลี้ยง และวางยาพิษ 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ขณะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับครอบครัว

เริ่มต้นเหตุการณ์ แก้

เมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พันเอกพระยาทรงสุรเดชขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่จังหวัดราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ท.ส. ประจำตัว

ได้มีการกวาดล้างโดย หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จับตายนายทหารคนสนิทของพระยาทรงสุรเดช 3 คน จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเวลาเช้ามืดของวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 ประกอบด้วย [1][2][3][4]

รายชื่อผู้ต้องหา แก้

  1. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
  2. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) - อดีตแม่ทัพไทยในสงครามโลกครั้งที่ 1 อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร
  3. พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (หม่อมราชวงศ์ประยูร อิศรศักดิ์) - อดีตรัฐมนตรี
  4. พระวุฑฒิภาคภักดี (หอมจันทร์ สรวงสมบูรณ์)
  5. นายพันเอก พระสิทธิเรืองเดชพล (แสง พันธุประภาส) - อดีตรัฐมนตรี
  6. นายพันโท พระสุวรรณชิต (วอน กังสวร)
  7. นายร้อยโท ณเณร ตาละลักษณ์ - นายทหารกองหนุน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร ผู้เคยอภิปรายโจมตีพระยาพหลพลพยุหเสนาในสภา อย่างรุนแรง
  8. นายร้อยเอก หลวงภักดีภูมิวิภาค (ตุ้ม รัตนภาณุ)
  9. นายร้อยโท ชิต ไทยอุบล
  10. หลวงสิริราชทรัพย์ (ไชย โมรากุล)
  11. นายดาบ ผุดพันธ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา - บุตรชายพระยาเทพหัสดิน
  12. นายร้อยโท เผ่าพงศ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา - บุตรชายพระยาเทพหัสดิน
  13. นายดาบ พวง พลนาวี - ข้าราชการกรมรถไฟ พี่เขยพระยาทรงสุรเดช
  14. นายพันเอก หลวงมหิทธิโยธี (สุ้ย ยุกติวิสาร) - ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกราชบุรี
  15. นายร้อยตรี บุญมาก ฤทธิ์สิงห์ - นายทหารประจำการ
  16. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์ (เชย รมยะนันท์) - อดีตรัฐมนตรี
  17. นายร้อยเอก ขุนคลี่พลพฤนท์ (คลี่ สุนทราชุน) - นายทหารประจำกองบังคับการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่
  18. นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาท (นาม ประดิษฐานนท์) - นายตำรวจประจำการ
  19. นายพันตรี หลวงไววิทยาศร (เสงี่ยม ไววิทย์) - นายทหารประจำการ
  20. นายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ลูกศิษย์พระยาทรงสุรเดช
    1. นายร้อยเอก จรัส สุนทรภักดี
    2. นายร้อยโท แสง วัณณะศิริ
    3. นายร้อยโท สัย เกษจินดา
    4. นายร้อยโท เสริม พุ่มทอง
    5. นายร้อยโท บุญลือ โตกระแสร์
  21. นายร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ - หลานชาย พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ 1 ใน 4 ทหารเสือ
  22. นายพลตรี หม่อมเจ้าวงศ์นิรชร เทวกุล
  23. นายโชติ คุ้มพันธ์ - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร
  24. พระยาวิชิตสรไกร (เอี่ยม ขัมพานนท์)

ต่อมามีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 20 กว่าคน เช่น นายเลียง ไชยกาล, นายมังกร สามเสน และนายทหารจากโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่

นักโทษประหาร แก้

หลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะ มีหลวงพรหมโยธี เป็นประธาน ศาลพิเศษนี้ได้ตัดสินว่า มีการเตรียมการยึดอำนาจโดย พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้นำ และตัดสินลงโทษประหารชีวิตนักโทษ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 จำนวน 21 คน คือ

  1. นายลี บุญตา - คนรับใช้ในบ้านหลวงพิบูลสงคราม ที่เคยใช้ปืนไล่ยิงหลวงพิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481
  2. นายพันโท พระสุวรรณชิต
  3. นายร้อยโท ณเณร ตาละลักษณ์
  4. นายดาบ พวง พลนาวี
  5. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน
  6. นายดาบ ผุดพันธ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
  7. นายร้อยโท เผ่าพงศ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
  8. นายร้อยตรี บุญมาก ฤทธิ์สิงห์
  9. นายทง ชาญช่างกล
  10. นายพันเอก หลวงมหิทธิโยธี
  11. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
  12. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์
  13. นายร้อยเอก ขุนคลี่พลพฤนท์
  14. นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาท
  15. นายพันตรี หลวงไววิทยาศร
  16. นายพันเอก พระสิทธิเรืองเดชพล
  17. จ่านายสิบตำรวจ แม้น เลิศนาวี
  18. นายร้อยเอก จรัส สุนทรภักดี
  19. นายร้อยโท แสง วัณณะศิริ
  20. นายร้อยโท สัย เกษจินดา
  21. นายร้อยโท เสริม พุ่มทรง

ศาลพิเศษตัดสินปล่อยตัวพ้นข้อหาจำนวน 7 คน จำคุกตลอดชีวิตจำนวน 25 คน โทษประหารชีวิตจำนวน 21 คน แต่ให้เว้นการประหาร คงเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต 3 คน เนื่องจากเคยประกอบคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ คือ

  1. นายพันโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
  2. นายพลโท พระยาเทพหัสดิน
  3. นายพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์

การลงโทษ แก้

นักโทษการเมืองทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกองมหันตโทษ โดยนักโทษประหารชีวิต ถูกทยอยนำตัวออกมาประหารด้วยการยิงเป้าวันละ 4 คน (วันสุดท้ายยิงเป้านักโทษ 6 คน) ในเวลาเช้ามืด ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม พ.ศ. 2482 จนครบจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ กบฏ 18 ศพ จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด มีผู้ใดกระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพิเศษ ที่บรรดาผู้พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่มีทนายจำเลยตามหลักยุติธรรม กบฏพระยาทรงสุรเดช คือการกบฏที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดกับหลวงพิบูลสงคราม 3 ครั้งดังกล่าวข้างต้น จึงมีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่าน่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น

นักโทษการเมืองที่เหลือได้รับอภัยโทษ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2487 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากหลวงพิบูลสงครามที่หมดอำนาจลงก่อนจะสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนพระยาทรงสุรเดชถึงแก่กรรมอย่างยากไร้ในเขมร ก่อนหน้านั้นไม่นาน

การสร้างเป็นภาพยนตร์ แก้

เหตุการณ์ของกบฏครั้งนี้และการลงโทษประหารชีวิต ได้มีความคิดที่จะนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อ พ.ศ. 2531 ในชื่อเรื่อง "2482 นักโทษประหาร" กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท โดยมีการวางตัวนักแสดงไว้แล้วมากมาย ได้แก่ ฉัตรชัย เปล่งพานิช (หลวงพิบูลสงคราม), สปัน เสลาคุณ (คุณหญิงละเอียด พิบูลย์สงคราม), ศรัณยู วงศ์กระจ่าง (ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์), สันติสุข พรหมศิริ (ร.ท.ณเณร ตาละลักษณ์ ), นพพล โกมารชุน (หลวงวิจิตรวาทการ), เกรียงไกร อุณหะนันทน์ (พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา), สหัสชัย ชุมรุม (หลวงอดุลเดชจรัส), ส.อาสนจินดา (พระยาเทพหัสดิน), ตฤณ เศรษฐโชค (ร.ท.เผ่าพงศ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา), จรัล มโนเพชร (ร.ท.แสง วัณณะศิริ), จินตหรา สุขพัฒน์, สินจัย หงษ์ไทย, ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, วัชระ สิทธิกุล แต่ทว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้มีการสร้างต่อแต่อย่างใด[5]

อ้างอิง แก้

  1. วินทร์ เลียววาริณ, ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน, สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, 2540
  2. "Songsuradet rebellion". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2006-11-02.
  3. "Songsuradet rebellion". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-17. สืบค้นเมื่อ 2007-10-17.
  4. "Songsuradet rebellion". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2006-11-02.
  5. 2482 นักโทษประหาร- - - หนังดีที่คนไทยไม่ได้ดู ผลงานของยุทธนา มุกดาสนิท[ลิงก์เสีย]

แหล่งข้อมูลอื่น แก้