ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เกาะนาแวสซา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Narutzy (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Nix Sunyata (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 9:
ลักษณะภูมิประเทศของเกาะนาแวสซาส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วย[[หินปูน]]และยอดของแนว[[ปะการัง]]ที่โผล่พ้นน้ำ โดยชายฝั่งของเกาะเป็นหน้าผาสูง 15 เมตร แต่บนเกาะเองก็มีทุ่งหญ้าที่ใหญ่พอที่จะให้ฝูง[[แพะ]]มาอาศัยอยู่ได้ นอกจากนี้บนเกาะยังมีต้นไม้ตระกูล[[มะเดื่อ]]และ[[กระบองเพชร]]ขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป โดยทั่วไปแล้วลักษณะภูมิประเทศและนิเวศวิทยาของเกาะนาแวสซาคล้ายคลึงกับ[[เกาะโมนา]] ซึ่งเป็นเกาะหินปูนขนาดเล็กอยู่ในช่องแคบโมนาที่ตั้งอยู่ระหว่าง[[เฮติ]]กับ[[สาธารณรัฐโดมินิกัน]] นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ของทั้งสองเกาะนี้ยังคล้ายคลึงกันมากอีกด้วย กล่าวคือ ทั้งสองเกาะเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกา เคยผ่านการทำเหมืองกัวโนมาแล้ว และปัจจุบันนี้ได้ถูกประกาศให้เป็นเขตคุ้มครองธรรมชาติเหมือนกัน นอกจากชาวประมงเฮติและคนอื่น ๆ ที่มักแวะเวียนมาพักบนเกาะนี้ เกาะนาแวสซาไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แต่อย่างใด ดังนั้นบนเกาะจึงไม่มีท่าเรืออยู่เลย ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวของเกาะ คือ [[ปุ๋ยขี้นก]] (guano) ที่นิยมมาใช้ทำปุ๋ย กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ประกอบไปด้วยการประมงขนาดเล็กและการลากอวนเชิงพาณิชย์เท่านั้น
 
== ประวัติ ==
== ประวัติศาสตร์ ==
ในปี ค.ศ. 1504 [[คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส]] ซึ่งในขณะนั้นติดอยู่บนเกาะ[[จาเมกา]] ได้ส่งลูกเรือไปยัง[[เกาะฮิสปันโยลา]]เพื่อขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางพวกเขาพบเกาะขนาดเล็ก และเมื่อทำการสำรวจก็พบว่าไม่มีน้ำจืดบนเกาะเลย ดังนั้นลูกเรือจึงขนานนามให้เกาะว่า "นาบาซา" (Navaza) มาจากคำว่า "นาบา" (<i lang="es" xml:lang="es">nava</i> ) ซึ่งในภาษาสเปนแปลว่าที่ราบ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ หลังจากนั้นเกาะแห่งนี้ก็ถูกหลีกเลี่ยงโดยชาวเรือต่อมาอีกกว่า 350 ปี
 
บรรทัด 16:
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปุ๋ยขี้นกฟอสเฟตเป็นเป็นปุ๋ยที่การเกษตรของอเมริกาใช้เป็นหลัก ดังกันได้โอนย้ายกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้ค้นพบไปยังนายจ้าง ซึ่งเป็นพ่อค้าปุ๋ยขี้นกชาวอเมริกันในจาเมกา ซึ่งได้ขายต่อให้กับบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งนามว่า บริษัทฟอสเฟตนาแวสซา (Navassa Phospate Company) ใน[[บอลทิมอร์]] ภายหลัง[[สงครามกลางเมืองอเมริกา]] บริษัทได้สร้างเหมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งประกอบไปด้วยค่ายสำหรับจุคนงานผิวดำจาก[[รัฐแมริแลนด์]]จำนวน 140 คน บ้านสำหรับหัวหน้างานผิวขาว ร้านช่างเหล็ก คลัง และโบสถ์ 1 หลัง<ref name="poop">{{cite web|author=Brennen Jensen|date=March 21, 2001|title=Poop Dreams|accessdate=November 16, 2012|work=Baltimore City Paper|url=http://www.webster.edu/~corbetre/haiti/misctopic/navassa/poop.htm|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121025151226/http://www2.webster.edu/~corbetre/haiti/misctopic/navassa/poop.htm|archivedate=October 25, 2012}}</ref> การทำเหมืองเริ่มขึนในปี ค.ศ. 1865 โดยคนงานจะขุดปุ๋ยขี้นกโดยใช้ระเบิดและพลั่วเจาะ (pickaxe) จากนั้นจะลำเลียงโดยรถรางไปยังอ่าวลูลู (Lulu) เพื่อลำเลียงปุ๋ยขี้นกลงเรือของบริษัทนามว่า เอสเอส โรแมนซ์ (SS Romance) ต่อไป โดยบริเวณที่พักอาศัยในอ่าวลูลูถูกเรียกว่า ลูลูทาวน์ ซึงเป็นเมืองที่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ในสมัยนั้น ต่อมาได้มีการขยายรางให้เข้าไปในเกาะมากยิ่งขึ้น
 
เนื่องจากการขนส่งปุ๋ยขี้นกเป็นงานที่ใช้แรงคนเพียงอย่างเดียว และยังเป็นการทำงานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ร้อนจัด ประกอบกับสภาวะแวดล้อมโดยทั่วไปของเกาะก็ไม่อำนวยต่อการอยู่อาศัย ทำให้ในที่สุดคนงานได้ก่อการจลาจลจราจลบนเกาะในปี ค.ศ. 1889 ส่งผลให้มีหัวหน้างานเสียชีวิตไป 5 คน ภายหลังการจลาจลเรือรบของสหรัฐอเมริกาได้ขนส่งคนงาน 18 คนกลับไปยังบอลทิมอร์เพื่อขึ้นศาลในข้อหาฆาตกรรมใน 3 คดี โดยสมาคมลับชาวผิวดำนามว่า The Order of Galilean Fisherman ได้ระดมทุนเพื่อช่วยเหลือคนงานในการต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยแก้ต่างว่าคนงานได้กระทำลงไปเพื่อเป็นการป้องกันตนเองหรือเกิดจากการบันดาลโทสะ และยังได้โต้แย้งว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีอำนาจตุลาการที่เหมาะสมในการตัดสินคดีความใด ๆ ที่เกิดขึ้นบนเกาะ<ref name='SOTUNI'>https://www.gutenberg.org/cache/epub/5030/pg5030.txt</ref><ref name='NIIncident'>{{cite web|author=John Pike|title=Navassa Island Incident 1889-1891|accessdate=November 16, 2012|publisher=GlobalSecurity.org|url=http://www.globalsecurity.org/military/ops/navassa-island.htm|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121102214107/http://www.globalsecurity.org/military/ops/navassa-island.htm|archivedate=November 2, 2012}}</ref> ท้ายที่สุดแล้วคดีก็ได้ไปถึงชั้นศาลสูงสุดในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1890 ซึ่งศาลมีคำตัดสินว่ารัฐบัญญัติกลุ่มเกาะปุ๋ยขี้นกนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และให้ประหารชีวิตคนงานเหมือง 3 คนในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1891 ภายหลังการตัดสินของศาล ได้มีการยื่นฎีกาโดยโบสถ์ชาวผิวดำทั่วประเทศและลูกขุนผิวขาวสามคนจากทั้งสามคดี ไปยังประธานาธิบดี[[เบนจามิน แฮร์ริสัน]] ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงคำตัดสินให้เหลือเพียงการจำคุกในที่สุด
 
หลังจากนั้นก็ได้มีการทำเหมืองปุ๋ยขี้นกบนเกาะนาแวสซาอีกครั้ง แต่ในขนาดที่เล็กลงมาก สงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1898 ส่งผลให้บริษัทต้องอพยพคนออกจากเกาะและเข้าสู่ภาวะล้มละลายในที่สุด เจ้าของใหม่ของเกาะตัดสินใจที่จะคืนเกาะให้กลับคืนสู่ธรรมชาติในปี ค.ศ. 1901
บรรทัด 25:
 
ภายหลังจากการสำรวจทางวิทยาศาสตร์โดยศูนย์อนุรักษ์ทางทะเล (Center of Marine Conservation) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เกาะนาแวสซาได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลแคริบเบียน ส่งผลให้ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1999 องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐได้เข้าควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้<ref name=InteriorNI /><ref name="USGS">{{cite web|author=US Geological Survey (August 2000)|publisher=US Geological Survey|title=Navassa Island: A Photographic Tour (1998–1999) |access-date=November 18, 2012|url=http://coastal.er.usgs.gov/navassa|archiveurl=https://web.archive.org/web/20121119101317/http://coastal.er.usgs.gov/navassa/|archivedate=November 19, 2012}}</ref> และได้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ในที่สุด
 
 
== อ้างอิง ==