6,731
การแก้ไข
ใน ค.ศ. 1922 ไฮดริชได้เข้าร่วมในกองทัพเรือเยอรมัน ([[ไรชส์มารีเนอ]]) เพื่อใช้ผลประโยชน์จากความมั่นคง โครงสร้าง และเงินบำนาญที่ได้เสนอมาให้ เขากลายเป็นนักเรียนนายร้อยทหารเรือที่[[คีล]] ฐานทัพเรือหลักของเยอรมนี เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1924 เขาได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นว่าที่นายเรืออาวุโส (Oberfähnrich zur See) และถูกส่งไปฝึกอบรมเจ้าหน้าที่นายทหารที่โรงเรียนนายเรือแห่ง Mürwik เขาได้ก้าวขึ้นยศตำแหน่งนายธง (Leutnant zur See) และได้รับมอบฟหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณบนเรือรบประจัญบานอย่าง[[เรือหลวงชเลวิก-ฮ็อลชไตน์]] เรือธงของกองเรือทะเลเหนือของเยอรมนี ด้วยการเลื่อนตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น เขาได้รับการประเมินที่ดีจากผู้บังคับบัญชาของเขาและมีปัญหาเพียงเล็กน้อยกับลูกเรือคนอื่น ๆ เขาได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็น เรือตรี (''Oberleutnant zur See'') ยศตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความเย่อหยิงของเขา{{sfn|Gerwarth|2011|pp=37, 38}}
ไฮดริชกลายเป็นที่ฉาวโฉ่สำหรับเรื่องเชิงชู้สาวของเขามานับไม่ถ้วน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1930 เขาได้เข้าร่วมสโมสรพายเรือ และพบกับ[[ลีนา ไฮดริช|ลีนา ฟ็อน ออสเทิน]] พวกเขาเริ่มมีความสัมพันธ์ทางโรแมนติกและในไม่ช้าก็ได้ประกาศหมั้นหมายกัน ลีนาเป็นสาวกผู้ติดตามพรรคนาซีอยู่แล้ว เธอได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1929{{sfn|Gerwarth|2011|pp=39–41}} ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1931 ไฮดริชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า "ประพฤติตนไม่เหมาะสมในฐานะเจ้าหน้าที่นายทหารและสุภาพบุรุษ" ในความผิดฐาน[[การผิดสัญญาการหมั้น]] ซึ่งได้หมั้นหมายว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนที่เขารู้จักกันเป็นเวลาหกเดือนก่อนที่จะหมั้นหมายกับลีนา ฟ็อน ออสเทิน{{sfn|Gerwarth|2011|pp=43, 44}} พลเรือเอก [[เอริช เรเดอร์]] ได้สั่งปลดไฮดริชออกจากกองทัพเรือในเดือนเมษายน เขาได้รับเงินค่าชดเชยจำนวน 200 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับจำนวนเงิน 697 ยูโรในปี ค.ศ. 2017) ต่อเดือนในอีกสองปีข้างหน้า{{sfn|Gerwarth|2011|pp=44, 45}} ไฮดริชได้เข้าพิธีแต่งงานกับลีนาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931{{sfn|Calic|1985|p=51}}
== อาชีพในหน่วยเอ็สเอ็ส ==
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1931 คำสั่งปลดออกจากกองทัพเรือของไฮดริชมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย{{sfn|Padfield|1990|p=110}} และในวันรุ่งขึ้นต่อมา{{sfn|Padfield|1990|p=110}} หรือวันที่ 1 มิถุนายน เขาได้เข้าร่วมพรรคนาซีในฮัมบวร์ค{{sfn|Gerwarth|2011|p=48}}{{sfn|Dederichs|2009|p=45}} หกสัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม เขาได้เข้าร่วมหน่วยเอ็สเอ็ส{{sfn|Gerwarth|2011|p=53}} หมายเลขประจำตัวของพรรคคือ 544,916 และหมายเลขประจำตัวของหน่วยเอ็สเอ็สคือ 10,120{{sfn|Dederichs|2009|p=12}} เหล่าบรรดาผู้ที่เข้าร่วมพรรคภายหลัง[[มัคท์แอร์ไกรฟุง|การขึ้นสู่อำนาจ]]ของฮิตเลอร์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1933 ต้องเผชิญกับการถูกตั้งข้อสงสัยจาก ''Alter Kämpfer'' (นักสู้เก่า, สมาชิกพรรคคนแรกสุด) ว่าพวกเขามาเข้าร่วมด้วยเหตุผลของความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าที่จะมีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงต่อโครงการนาซี วันที่เกณฑ์ทหารของไฮดริชใน ค.ศ. 1931 ซึ่งรวดเร็วพอที่จะระงับข้อสงสัยว่าเขามาเข้าร่วมเพียงเพื่อการงานอาชีพของเขาเท่านั้น แต่ว่ายังเร็วไม่พอสำหรับเขาที่จะถูกยอมรับว่าเป็นนักสู้เก่า{{sfn|Gerwarth|2011|p=48}}
ใน ค.ศ. 1931 [[ไฮน์ริช ฮิมเลอร์]]ริเริ่มก่อตั้งกองพลต่อต้านข่าวกรองแห่งเอ็สเอ็ส ซึ่งได้เข้ามารับหน้าที่ตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานของเขาอย่าง[[คาร์ล ฟ็อน อีเบอร์สไตน์]]
แม้ว่าเงินเเดือนจะเริ่มต้นอยู่ที่ 180 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับ 40 ดอลลาร์สหรัฐ)(เทียบเท่ากับ 628 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) ซึ่งถือว่าน้อย ไฮดริชตัดสินใจรับงานนี้เพราะครอบครัวของลีนาให้การสนับสนุนขบวนการนาซีและด้วยลักษณะกึ่งทหารและการปฏิวัติของตำแหน่งงานซึ่งได้ดึงดูดความสนใจของเขา{{sfn|Gerwarth|2011|p=52}} ในช่วงแรก
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1931 ไฮดริชได้เริ่มต้นงานของเขาในฐานะหัวหน้าแห่งหน่วยข่าวกรองแห่งใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น{{sfn|Longerich|2012|p=125}} เขาได้ก่อตั้งสำนักงานที่[[ทำเนียบน้ำตาล (มิวนิก)|ทำเนียบน้ำตาล]] เป็นสำนักงานใหญ่แห่งชาติของพรรคนาซีในมิวนิก ในเดือนตุลาคม เขาได้สร้างเครือข่ายสายลับและผู้แจ้งข่าวสารเพื่อวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข่าวกรอง และได้รับข้อมูลเพื่อใช้เป็น[[การรีดเอาทรัพย์|การแบล็กเมลล์]]ต่อเป้าหมายทางการเมืองต่อไป{{sfn|Gerwarth|2011|pp=56, 57}} ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนนับพันคนถูกบันทึกไว้ในบัตรดัชนีและเก็บไว้ที่ทำเนียบน้ำตาล{{sfn|Calic|1985|p=72}} เพื่อเป็นการฉลองครบรอบการแต่งงานในเดือนธันวาคมของไฮดริช ฮิมเลอร์ได้เลื่อนยศตำแหน่งเป็นเอ็สเอ็ส-[[ชตวร์มบันน์ฟือเรอร์]] (พันตรี){{sfn|Gerwarth|2011|p=58}}
ใน ค.ศ. 1932 ข่าวลือได้ถูกแพร่กระจายออกไปโดยศัตรูของไฮดริช ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาว่า ต้นตระกูลของเขามาจากชาวยิว{{sfn|Gerwarth|2011|p=61}} [[วิลเฮ็ล์ม คานาริส]] ได้กล่าวว่า เขาได้รับสำเนาเอกสารที่พิสูจน์ถึงต้นตระกูลเชื้อสายชาวยิวของไฮดริช แต่สำเนาฉบับนี้ไม่เคยปรากฏเลย<ref name="auschwitz.dk"/> นาซี [[เกาไลเทอร์]] [[รูด็อล์ฟ จอร์แดน (นักการเมือง)|รูด็อล์ฟ จอร์แดน]] ได้กล่าวอ้างว่า ไฮดริชไม่ใช่ชาวอารยันอันบริสุทธิ์{{sfn|Gerwarth|2011|p=61}} ภายในองค์กรนาซี การเสียดสีดังกล่าวอาจจะเป็นการประณามสาปแช่ง แม้แต่กระทั่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของไรชก็ตาม [[เกรกอร์ ชตรัสเซอร์]]ได้ส่งข้อกล่าวหาไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อชาติของพรรคนาซี [[อาคิม แกเคอ]](Achim Gercke) เป็นผู้ตรวจสอบการลำดับวงศ์ตระกูลของไฮดริช{{sfn|Gerwarth|2011|p=61}} แกเคอได้รายงานว่า ไฮดริช เป็น "ชาวเยอรมันมาแต่โดยกำเนิด และปราศจากสายเลือดที่ไม่ใช่คนผิวขาวแต่อย่างใดและสายเลือดชาวยิวอีกด้วย"{{sfn|Williams|2001|p=38}} เขายืนยันว่าข่าวลือนั้นไม่มีมูลความจริง อย่างไรก็ตาม ไฮดริชได้ว่าจ้างเป็นการส่วนตัวกับแอ็นสท์ ฮอฟแมน สมาชิกหน่วยเอ็สเด เพื่อตรวจสอบและปัดข่าวลือเพิ่มเติม
[[File:Bundesarchiv Bild 183-R97512, Berlin, Geheimes Staatspolizeihauptamt.jpg|thumb|upright=1.3|กองบัญชาการใหญ่ของหน่วยเกสตาโพบนถนน Prinz-Albrecht-Strasse ในกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1933]]
=== เกสตาโพและหน่วย'''เอ็สเด''' ===
ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1932 ฮิมเลอร์ได้แต่งตั้งไฮดริชเป็นหัวหน้าแห่งหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่—[[ซิชเชอร์ไฮทซ์ดีนสท์]](เอ็สเด){{sfn|Longerich|2012|p=125}} หน่วยต่อต้านข่าวกรองของไฮดริชกลายเป็นเครื่องจักรแห่งความน่าสะพรึงกลัวและการข่มขู่อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อฮิตเลอร์ได้มุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จในเยอรมนี ฮิมเลอร์และไฮดริชต้องการที่จะเข้าควบคุมกองกำลังตำรวจทางการเมืองของรัฐเยอรมันทั้งหมดสิบเจ็ดรัฐ พวกเขาเริ่มต้นด้วย[[บาวาเรีย]] ใน ค.ศ. 1933 ไฮดริชได้รวบรวมคนของเขาบางส่วนจากหน่วยเอ็สเด และพวกเขาบุกเข้าไปในกองบัญชาการตำรวจในมิวนิกพร้อมกันและเข้ายึดองค์กรโดยใช้กลยุทธ์ในการข่มขู่ ฮิมเลอร์กลายเป็นหัวหน้าตำรวจแห่งมิวนิกและไฮดริชกลายเป็นผู้บัญชาการแห่งแผนก 4 ตำรวจการเมืองบาวาเรีย{{sfn|Longerich|2012|p=149}}
ใน ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น[[นายกรัฐมนตรีเยอรมนี|นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี]]และผ่านการประกาศใช้กฤษฎีกาต่าง ๆ จนกลายเป็น[[ฟือเรอร์|ฟือเรอร์และนายกรัฐมนตรีไรช์]] (''Führer und Reichskanzler'') แห่งเยอรมนี{{sfn|Shirer|1960|pp=226–27}} [[ค่ายกักกันนาซี|ค่ายกักกัน]]แห่งแรกซึ่งแต่เดิมตั้งใจจะให้เป็นที่พักของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1933 ภายในสิ้นปีนี้มีมากกว่าห้าสิบค่าย{{sfn|Shirer|1960|p=271}}
[[แฮร์มัน เกอริง]]ได้ก่อตั้งหน่วย[[เกสตาโพ]]ใน ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นกองกำลังตำรวจปรัสเซีย เมื่อเกอริงโอนย้ายอำนาจทั้งหมดไปยังฮิมเลอร์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1934 มันจึงกลายเป็นเครื่องมือแห่งความน่าสะพรึงกลัวโดยทันทีภายใต้ขอบเขตอำนาจของหน่วยเอ็สเอ็ส{{sfn|Shirer|1960|pp=270–271}} ฮิมเลอร์ได้เสนอชื่อไฮดริชในการดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าของหน่วยเกสตาโพ เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1934{{sfn|Williams|2001|p=61}} เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1934 [[รูด็อล์ฟ เฮ็ส]]ได้ประกาศให้หน่วยเอ็สเดเป็นหน่วยข่าวกรองของนาซีอย่างเป็นทางการ{{sfn|Longerich|2012|p=165}}
[[File:Bundesarchiv Bild 152-50-10, Reinhard Heydrich.jpg|thumb|left|เอ็สเอ็ส-บริกาเดอฟือเรอร์(พลตรี) ไฮดริช, หัวหน้าแห่งตำรวจการเมืองบาวาเรียและ[[ซิชเชอร์ไฮทซ์ดีนสท์|หน่วยเอ็สเด]], ในมิวนิก ค.ศ. 1934]]
=== การรวบรวมกองกำลังตำรวจ ===
{{โครง-ส่วน}}
=== การกวาดล้างกองทัพแดง ===
{{โครง-ส่วน}}
=== กฤษฏีกาค่ำคืนและสายหมอก ===
{{โครง-ส่วน}}
=== นโยบายต่อต้านชาวโปแลนด์ ===
{{โครง-ส่วน}}
=== การเข้ามารักษาการณ์ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐไรช์แห่งรัฐในอารักขาโบฮีเมียและมอเรเวีย ===
{{โครง-ส่วน}}
== บทบาทในฮอโลคอสต์ ==
{{โครง-ส่วน}}
== เสียชีวิต ==
{{โครง-ส่วน}}
=== พิธีศพ ===
{{โครง-ส่วน}}
=== ผลสืบเนื่อง ===
{{โครง-ส่วน}}
== บันทึกหน่วยงาน ==
{{โครง-ส่วน}}
== อ้างอิง ==
|
การแก้ไข