ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไรน์ฮาร์ท ไฮดริช"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 55:
นักประวัติศาสตร์หลายคนได้กล่าวว่าเขาคือบุคคลที่มืดมนที่สุดในระดับสูงของนาซี{{sfn|Sereny|1996|p=325}}{{sfn|Evans|2005|p=53}}{{sfn|Gerwarth|2011|p=xiii}} [[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]]ได้อธิบายว่า เขาคือ'''"บุรุษที่มีหัวใจดั่งเหล็ก"{{sfn|Dederichs|2009|p=92}}''' เขาเป็นผู้ก่อตั้ง[[ซีแชร์ไฮท์สโพลีไซ|ทบวงตำรวจความมั่นคง]] (ไซโพ) เขายังช่วยจัดอำนวยความสะดวกในเหตุการณ์ '''[[คืนกระจกแตก]]''' (Kristallnacht) ชุดปฏิบัติการโจมตีต่อต้านชาวยิวทั้งในเยอรมนีและดินแดนบางส่วนของออสเตรียในวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 1938 ชุดปฏิบัติการโจมตีถูกดำเนินงานโดยหน่วย[[ชตูร์มับไทลุง]] (SA) พร้อมอาสาสมัครพลเรือน และกลายเป็นเครื่องหมายสัญลักณ์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซี เมื่อเขาได้ไปยัง[[กรุงปราก]], ไฮดริชได้พยายามขจัดความขัดแย้งต่อการปกครองของนาซีเยอรมนีด้วยการทำลายล้างวัฒนธรรมของสาธารณรัฐเช็ก รวมถึงการเนรเทศและประหารชีวิตสมาชิกกลุ่มต่อต้านของเช็ก เขายังเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงของหน่วย[[ไอน์ซัทซกรุพเพน]] กองกำลังปฏิบัติการภารกิจพิเศษซึ่งได้เดินทางในการปลุกปั่นกองทัพเยอรมันและทำการสังหารหมู่ประชาชนกว่าสองล้านคน รวมไปถึงชาวยิวกว่า 1.3 ล้านคนด้วยการยิงเป้าและรมควันด้วยแก็สพิษ
 
ในวันที่ 27 พฤษภาคม 1942 ไฮดริชถูกลอบโจมตีบริเวณชายเมืองทางเหนือของปราก ไฮดริชได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงปราก การลอบโจมตีครั้งนี้ปฏิบัติโดยหน่วยปฏิบัติการพิเศษของอังกฤษซึ่งได้ทำการฝึกทหารคอมมานโดชาวเช็กและชาวสโลวักที่ถูกส่งโดยรัฐบาลพลัดถิ่นเชคโกสโลวาเกียที่ต้องการสังหารเขาใน[[ปฏิบัติการแอนโธรพอยด์]] ไฮดริชเสียชีวิตจากการบาดเจ็บในสัปดาห์ต่อมา หน่วยสืบราชการของนาซีได้เชื่อมโยงการลอบสังหารไปยังหมู่บ้านลิดยิตแซและแลฌากี ทั้งสองหมู่บ้านถูกทำลายอย่างราบคาบ; ผู้ชายทั้งหมดและเด็กผู้ชายทุกคนอายุกว่า 16 ถูกยิงทิ้ง, และทั้งหมดแต่หนึ่งในจำนวนกำมือของผู้หญิงและเด็กถูกเนรเทศและสังหารใน[[ค่ายกักกันของนาซี]]
 
== ช่วงชีวิตวัยแรก ==
บรรทัด 76:
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1931 คำสั่งปลดออกจากกองทัพเรือของไฮดริชมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และในวันรุ่งขึ้นต่อมา หรือวันที่ 1 มิถุนายน เขาได้เข้าร่วมพรรคนาซีในฮัมบวร์ค หกสัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม เขาได้เข้าร่วมหน่วยเอ็สเอ็ส หมายเลขประจำตัวของพรรคคือ 544,916 และหมายเลขประจำตัวของหน่วยเอ็สเอ็สคือ 10,120 เหล่าบรรดาผู้ที่เข้าร่วมพรรคภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1933 ต้องเผชิญกับการถูกตั้งข้อสงสัยจาก ''Alter Kämpfer'' (นักสู้เก่า, สมาชิกพรรคคนแรกสุด) ว่าพวกเขามาเข้าร่วมด้วยเหตุผลของความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าที่จะมีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงต่อโครงการนาซี วันที่เกณฑ์ทหารของไฮดริชใน ค.ศ. 1931 ซึ่งรวดเร็วพอที่จะระงับข้อสงสัยว่าเขามาเข้าร่วมเพียงเพื่อการงานอาชีพของเขาเท่านั้น แต่ว่ายังเร็วไม่พอสำหรับเขาที่จะถูกยอมรับว่าเป็นนักสู้เก่า
 
ใน ค.ศ. 1931 [[ไฮน์ริช ฮิมเลอร์เริ่ม]]ริเริ่มก่อตั้งกองพลต่อต้านหน่วยข่าวกรองแห่งเอ็สเอ็ส ซึ่งได้เข้ามารับหน้าที่ตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานของเขาอย่าง[[คาร์ล ฟ็อน อีเบอร์สไตน์]] ซึ่งเป็นเพื่อนของลีนา ฮิมเลอร์ได้ตกลงที่จะสัมภาษณ์กับไฮดริช แต่กลับถูกยกเลิกการนัดหมายในนาทีสุดท้าย ลีนาไม่สนใจข้อความนี้ จึงได้เก็บกระเป๋าเดินทางของไฮดริช และส่งเขาไปที่มิวนิก อีเบอร์สไตน์ได้พบกับไฮดริชที่สถานีรถไฟและพาเขาไปพบกับฮิมเลอร์ ฮิมเลอร์ได้ขอให้ไฮดริชถ่ายทอดแนวคิดในการพัฒนาหน่วยข่าวกรองของหน่วยเอ็สเอ็ส ฮิมเลอร์เกิดความประทับใจอย่างมากจึงว่าจ้างไฮดริชทันที
 
แม้ว่าเงินเเดือนจะเริ่มต้นอยู่ที่ 180 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับ 40 ดอลลาร์สหรัฐ)(เทียบเท่ากับ 628 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) ซึ่งถือว่าน้อย ไฮดริชตัดสินใจรับงานนี้เพราะครอบครัวของลีนาให้การสนับสนุนขบวนการนาซีและด้วยลักษณะกึ่งทหารและการปฏิวัติของตำแหน่งงานซึ่งได้ดึงดูดความสนใจของเขา ในช่วงแรก เขาต้องใช้สำนักงานและเครื่องพิมพ์ดีดร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน แต่ในปี ค.ศ. 1932 ไฮดริช มีรายได้ถึง 290 ไรชส์มาร์ค(เทียบเท่ากับ 1,100 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) ซึ่งเป็นเงินเดือนที่เขาพูดได้เลยว่า "สบาย ๆ" เมื่ออำนาจและอิทธิพลของเขาได้เติบโตขึ้นตลอดช่วงปี ค.ศ. 1930 ความมั่นคั่งของเขาก็ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างพอสมน้ำสมเนื้อ ใน ค.ศ. 1935 เขาได้รับเงินเดือนพื้นฐานจำนวน 8,400 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับ 35,817 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) และเงินเบี้ยเลี้ยง 12,000 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับ 51,167 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) และในปี ค.ศ. 1938 รายได้ของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวน 17,371 ไรชส์มาร์ค (เทียบเท่ากับ 71,679 ยูโร ใน ค.ศ. 2017) ทุกปี ต่อมาไฮดริชได้รับ[[แหวนหัวกะโหลก|โทเทินค็อพฟ์ริง]](แหวนหัวกะโหลกของประจำหน่วยเอ็สเอ็ส) จากฮิมเลอร์สำหรับบทบาทหน้าที่ในหน่วยเอ็สเอ็สของเขา
 
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1931 ไฮดริชได้เริ่มต้นงานของเขาในฐานะหัวหน้าแห่งหน่วยข่าวกรองแห่งใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น เขาได้ก่อตั้งสำนักงานที่[[ทำเนียบน้ำตาล (มิวนิก)|ทำเนียบน้ำตาล]] เป็นสำนักงานใหญ่แห่งชาติของพรรคนาซีในมิวนิก {{โครงในเดือนตุลาคม เขาได้สร้างเครือข่ายสายลับและผู้แจ้งข่าวสารเพื่อวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข่าวกรอง และได้รับข้อมูลเพื่อใช้เป็น[[การรีดเอาทรัพย์|การแบล็กเมลล์]]ต่อเป้าหมายทางการเมืองต่อไป ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนนับพันคนถูกบันทึกไว้ในบัตรดัชนีและเก็บไว้ที่ทำเนียบน้ำตาล เพื่อเป็นการฉลองครบรอบการแต่งงานในเดือนธันวาคมของไฮดริช ฮิมเลอร์ได้เลื่อนยศตำแหน่งเป็นเอ็สเอ็ส-ส่วน}}[[ชตวร์มบันน์ฟือเรอร์]] (พันตรี)
 
ใน ค.ศ. 1932 ข่าวลือได้ถูกแพร่กระจายออกไปโดยศัตรูของไฮดริช ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาว่า ต้นตระกูลของเขามาจากชาวยิว [[วิลเฮ็ล์ม คานาริส]] ได้กล่าวว่า เขาได้รับสำเนาเอกสารที่พิสูจน์ถึงต้นตระกูลเชื้อสายชาวยิวของไฮดริ แต่สำเนาฉบับนี้ไม่เคยปรากฏเลย นาซี [[เกาไลเทอร์]] [[รูด็อล์ฟ จอร์แดน (นักการเมือง)|รูด็อล์ฟ จอร์แดน]] ได้กล่าวอ้างว่า ไฮดริชไม่ใช่ชาวอารยันอันบริสุทธิ์ ภายในองค์กรนาซี การเสียดสีดังกล่าวอาจจะเป็นการประณามสาปแช่ง แม้แต่กระทั่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของไรชก็ตาม [[เกรกอร์ ชตรัสเซอร์]]ได้ส่งข้อกล่าวหาไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อชาติของพรรคนาซี [[อาคิม แกเคอ]](Achim Gercke) แกเคอได้รายงานว่า ไฮดริช เป็น "ชาวเยอรมันมาแต่โดยกำเนิด และปราศจากสายเลือดที่ไม่ใช่คนผิวขาวแต่อย่างใดและสายเลือดชาวยิวอีกด้วย" เขายืนยันว่าข่าวลือนั้นไม่มีมูลความจริง อย่างไรก็ตาม ไฮดริชได้ว่าจ้างเป็นการส่วนตัวกันแอ็นสท์ ฮอฟแมน สมาชิกหน่วยเอ็สเด เพื่อตรวจสอบและปัดข่าวลือเพิ่มเติม
 
=== เกสตาโพและหน่วย'''เอ็สเด''' ===
{{โครง-ส่วน}}
 
== อ้างอิง ==