ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาศรีสุริยวงศ์ (พระเมืองไชย)"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tmd (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Nubbkao (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มประวัติ
บรรทัด 32:
 
==พระประวัติ==
'''พระเมืองไชย''' หรือ '''เจ้ามังไชย''' (คำว่ามังไชยมาจากตำแหน่งพระเมืองไชย ทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเจ้าเมืองแพร่องค์นี้เป็นพม่า ที่มังมีความหมายว่าเจ้า) ไม่ทราบนามเดิม เชื้อสายและบรรพบุรุษนั้นไม่ปรากฏหลักฐาน แต่มีการเสนอว่าพญาเชียงเลือ (เชียงเลอ) ผู้ถูกส่งมาปกครองเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. 2106 เป็นต้นตระกูลของเจ้าผู้ครองนครแพร่ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นเชื้อสายเจ้านายในราชวงศ์มังรายแต่อย่างใด เดิมอาจเป็นเพียงขุนนางระดับ “เจ้าเมือง” หรือ “เจ้าพันนา” ที่ปกครองพันนาหนึ่งของเมืองเชียงใหม่เท่านั้น อีกทั้งในยุคพม่าปกครองมีการสับเปลี่ยนเจ้าเมืองหัวเมืองสำคัญต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อป้องกันการสั่งสมอำนาจ จึงเป็นไปได้น้อยมากที่พม่าจะปล่อยให้เชื้อสายของพญาเชียงเลือสืบทอดอำนาจกันปกครองเมืองแพร่มาจนถึงพระเมืองไชยกว่า 200 ปี และที่กล่าวว่าพระเมืองไชยเป็นเชื้อสายพม่า แต่จากเอกสารบันทึกฝ่ายสยามระบุว่าพระเมืองไชยเป็น “คนลาว” (คน[[ล้านนา]], [[ไทยวน]]) อีกทั้งคัมภีร์ใบลานที่จารขึ้นโดยพระเมืองไชยก็เป็นอักษรธรรมล้านนา พระเมืองไชยจึงเป็นขุนนางเชื้อสายไทยวน ที่กษัตริย์พม่าสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2309
 
===สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง===
ภายหลังพระเมืองไชยได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2313 พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งยศตามแบบสยามเป็น “พระยาศรีสุริยวงศ์”
 
พ.ศ. 2309 พระเมืองไชยได้คุมกองทัพเมืองแพร่ประมาณ 300 เศษ ตามกองทัพพม่ามาทำศึกในคราว[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]] ได้รับมอบหมายให้ตั้งค่ายที่ตำบลโพธิ์งาม เกลี้ยกล่อมคนไทยในแขวงเมืองสิงห์บุรีและยกทัพมาตีค่าย[[บางระจัน]]ด้วย ต่อมา[[เนเมียวสีหบดี]]ให้นำกองทัพมาตั้งค่าย ณ [[ค่ายโพธิ์สามต้น]]ฟากตะวันออก แต่ภายหลังได้หลบหนีกลับเมืองไป พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุเพิ่มเติมว่าพระเมืองไชย "... ให้คนถือหนังสือเข้ามาถึงพระยายมราชว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงธรรมมีพระคุณอยู่ จึงมิได้อยู่รบกรุงด้วยพะม่า..."<ref>พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9</ref>
พ.ศ. 2330 พระเมืองไชยได้ถูกนำตัวลงไปเฝ้ากษัตริย์สยามรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี จึงถูกกักตัวไว้ให้อยู่ที่[[กรุงเทพมหานคร]] เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ทรงไม่ไว้วางพระทัยต่อพระเมืองไชยที่เคยเป็นข้าเก่าผู้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีที่พระองค์เพิ่งได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และพระเมืองไชยเคยยกกองทัพเมืองแพร่เข้าร่วมกับพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2310 อีกทั้งพระเมืองไชยพร้อมครอบครัวเคยไปอยู่เมืองอังวะกับกษัตริย์พม่าเป็นเวลานาน
 
พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาที่ชำระในสมัยหลังระบุต่างไปว่า พระเมืองไชยนำทัพหนีกลับทางพระพุทธบาท สระบุรี พม่ายกไปติดตามทันได้รบกันกลางทาง ฝ่ายพม่าตายมากกว่าเลยถอยกลับ และให้ปักหนังสือความว่า "...สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ข้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่รบกรุงเทพมหานครด้วยพม่าแล้ว จะกลับบ้านเมืองของตน..." พวกขุนโขลนข้าพระพุทธบาทเก็บนำบอกส่งเข้ามาถวาย<ref>พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, 2545.</ref> ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงก็ได้ เนื่องจากภายหลังจากการศึก ทางพม่ามิได้นำตัวพระเมืองไชยมาพิจารณาโทษหรือนำตัวมาลงโทษแต่ประการใด ยังคงปล่อยให้พระเมืองไชยเป็นเจ้าเมืองแพร่ตามเดิม
ในจารึกท้ายคัมภีร์ใบลานภวิรัตติ ซึ่งจารโดยพระเมืองไชย เรียกนามตนเองว่าขณะที่อยู่[[กรุงเทพมหานคร]] ว่า "พระเมืองไชย" และคัมภีร์ใบลานเรื่องภิกขุปาฏิโมกข์ เรียกนามตนเองว่า "พระยานครไชยวงศา" แทน "พระยาศรีสุริยวงศ์" ที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้ง
 
===ชุมนุมเจ้าพระฝางและการสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี===
ภายหลังพระเมืองไชยได้กลับมาอยู่เมืองนครแพร่ ในตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่จางวาง เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ทรงได้แต่งตั้งพระยาแสนซ้ายเป็นพระยาแพร่องค์ถัดมาแล้ว<ref>ภูเดช แสนสา.เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม ใน หมุดหมายประวัติศาสตร์ล้านนา: รวมบทความวิชาการในวาระครบรอบ 6 ทศวรรษ ศาสตราจารย์สรัสวดี-รองศาสตราจารย์สมโชติ อ๋องสกุล, พ.ศ. 2556.</ref>
ในช่วง[[สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]] ปรากฎหลักฐานว่าพระเมืองไชยได้เข้าร่วมกับ[[ชุมนุมเจ้าพระฝาง]]ด้วย ดังโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี ของนายสวนมหาดเล็ก กล่าวว่า
 
{{โคลงสี่สุภาพ|๏ ปางสวางคบุเรศร้าย |รแวงผิด
พระเมืองไชย ถึงแก่พิราลัยประมาณปี พ.ศ. 2348 จากหลักฐานใบลานวัดหลวงที่แม่เจ้าบุษบาราชเทวีทำบุญในช่วงปี พ.ศ. 2348
|พุทธบุตรละพุทธกิจ |ก่อแกล้ว
|ทุศิลทุจริตอิจ |ฉาราช
|เสด็จปราบสัตวบาปแผ้ว |ฟอกฟื้นสาสนา ฯ}}
{{โคลงสี่สุภาพ|๏ แล้วฉลองพุทธธาตุแท้ |สุจริต
|สมณะบรรพชิต |ใช่น้อย
|พระอวยธนอุทิศ |ทานทั่ว
|มีมหรศพช้อย |ชื่นช้อยชนเขษม ฯ}}
{{โคลงสี่สุภาพ|๏ '''เมืองชัย'''ที่ร่วมร้าย |เวียงสวางค์
|พ่ายพระเดชคุณปาง |ปิ่มม้วย
|กลับน้อมศิโรตมางค์ |มาเล่า
|มาภักดิ์เปนทหารด้วย |อยู่ใต้บาทบงสุ์ ฯ
|source=โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี }}<ref>https://vajirayana.org/โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี/โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี</ref>
 
พ.ศ. 2313 [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]]เสด็จยกทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก ขณะตั้งทัพอยู่ที่พระตำหนักหาดทรายฟากตะวันออกของเมืองพิชัย พระเมืองไชยได้นำขุนนางไพร่พลเมืองแพร่ลงมาขอสวามิภักดิ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งยศแบบสยามให้เป็น '''พระยาศรีสุริยวงศ์''' และโปรดเกล้าให้เข้าร่วมกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ด้วย ดังพระราชพงศาวดารระบุว่า
==ราชกรณียกิจ==
{{คำพูด|พระเจ้าอยู่หัวทรงพระนาวาธินั่งกราบ เสดจ์โดยทางชลมารรค์ขึ้นไปประทับ ณะพระตำหนักหาดทราย หน้าเมืองพิไชยฟากตวันออก เมืองไชยกับพักพวกล่าวมีชื่อสมักเข้ามาทำราชการ ทรงพระกรรณาตั้งให้เปนพญาศรีสุริวงษ์ แล้วสั่งให้เจ้าพญาจักรี เจ้าพญามหามนตรี อยู่รักษาเรือพระธินั่งแลเรือข้าทูลลอองทั้งปวงณเมืองพิไชย|พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม}}<ref>http://www.bl.uk/manuscripts/FullDisplay.aspx?ref=Or_11827</ref>
===ด้านปกครอง===
* เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีเชียงใหม่ พ.ศ. 2314 พระเมืองไชยเจ้าผู้ครองนครแพร่มาสวามิภักดิ์จึงโปรดตั้งให้เป็นพระยาศรีสุริยวงศ์แล้วเกณฑ์ไปตีเมืองเชียงใหม่ด้วย
* พ.ศ. 2330 พระเมืองไชย ทรงร่วมกับเจ้าฟ้ากอง เจ้าฟ้าเมืองยอง ยกกองทัพไปตีพม่าที่ปกครองเมืองเชียงแสนจนได้รับชัยชนะ สามารถจับตัว อาปรกามณี (พะแพหวุ่น) เมียวหวุ่นเมืองเชียงแสน ส่งตัวไปถวายให้ [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]]
* พระเมืองไชย ทรงรวบรวมไพร่พลคนเมืองแพร่ช่วยกองทัพจากกรุงเทพฯขับไล่ข้าศึกชาวพม่าในเขตล้านนา ได้แก่นครลำปาง นครลำพูน นครเชียงใหม่ เมืองเชียงราย นครแพร่ นครน่าน เมืองพะเยา จนหมดสิ้น [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]]โปรดให้พระเมืองไชยไปช่วยราชการที่ เมืองนครลำปาง
* พระเมืองไชย ทรงอาสานำทัพจากลำปาง พ.ศ. 2352 ขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงและสามารถตีจนได้ชัยชนะ [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]]จึงโปรดให้พระเมืองไชยกลับไปเมืองแพร่
 
ในช่วง[[สงครามอะแซหวุ่นกี้]] พ.ศ. 2318 หลักฐานไทยได้ระบุว่าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระเมืองไชย) ได้ถูกพม่าจับตัวไปในคราวนั้น<ref>https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่-๑/๔๖-กรมพระราชวังบวรฯ-เสด็จไปตั้งเมืองเชียงใหม่</ref> แต่ราชวงศ์ปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่านระบุว่าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระเมืองไชย) ยังได้คุมทัพเมืองแพร่เข้าร่วมสงครามตีเมืองเชียงแสนใน พ.ศ. 2323 และตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ พื้นเมือเชียงแสน คำมะเกล่าเมืองเชียงแสน และราชวงศ์ปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่านต่างระบุเหมือนกันว่าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระเมืองไชย) ถูกพม่าจับตัวในช่วงสงครามเก้าทัพ หลักฐานไทยจึงน่าจะคลาดเคลื่อนมากกว่า
===ด้านศาสนา===
 
* พระเมืองไชย ทรงบูรณปฏิสังขรณ์องค์[[พระธาตุช่อแฮ]] และทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตลอดพระชนชีพ<ref>วัดพระธาตุช่อแฮ .ประวัติและความเป็นมา</ref>
===สงครามตีเมืองเชียงแสน===
* พระเมืองไชย ทรงจารคัมภีร์ธรรมภิกขุปาฏิโมกข์ ถวายวัดศรีชุม เมืองนครแพร่ พ.ศ. 2343
พ.ศ. 2323 เจ้าฟ้าเพชรเม็ง (เจ้าน้อยจิตตะ) เจ้าฟ้าเชียงราย และเจ้าฟ้าเมืององค์ (เจ้าน้อยไชยสาร) ได้ทำการต่อต้านพม่าแล้วหนีเข้ามาเมืองนครลำปาง พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) เจ้าเมืองเชียงใหม่ พระยากาวิละ เจ้าเมืองนครลำปาง พระยาศรีสุริยวงศ์ (พระเมืองไชย) เจ้าเมืองแพร่ และลาวหลวงพระบาง ร่วมกันนำกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพม่าในล้านนา กองทัพได้ตั้งค่ายอยู่บ้านสบกก ทำการสู้รบ 1 เดือนจนสามารถตีเมืองเชียงแสนแตกได้ กวาดต้อนครัวเมืองเชียงแสนลงมาได้ถึงประมาณ 1,767 ครัว
 
===สงครามเก้าทัพ===
ในช่วง[[สงครามเก้าทัพ]] พ.ศ. 2328 สะโดศิริมหาอุจนา (Thado Thiri Maha Uzana) เจ้าเมืองตองอู (พื้นเมืองเชียงแสนเรียก โป่พะครานมินคี) ยกทัพจำนวน 30,000 คน จากเมืองเชียงแสนเข้าล้อมเมืองนครลำปาง และทำการโจมตีเมืองตาก เมืองแพร่ เมืองเถิน เมืองน่าน และหัวเมืองฝ่ายเหนือ กองทัพพม่าสามารถจับตัวพระยาเชียงเงิน พระยาเถินเฒ่า [[พระยามงคลยศประเทศราช|พระยามงคลยศประเทศราช (เจ้าขนานจันทปโชติ)]] และพระยาสุริวงศ์ (พระเมืองไชย) ได้<ref>สรัสวดี อ๋องสกุล (ปริวรรต). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2546.</ref><ref>{{อ้างหนังสือ|ชื่อหนังสือ = ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ 700 ปี|จังหวัด = เชียงใหม่| พิมพ์ที่ = ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่| ปี = 2538| ISBN = 974-8150-62-3|}}</ref> ราชวงษปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่านระบุต่างไปว่า พระยามงคลยศประเทศราช (เจ้าขนานจันทปโชติ) และพระยาศรีสุริวงศ์ (พระเมืองไชย) ได้ทำการยอมสวามิภักดิ์กับพม่าโดยไม่ได้สู้รบ<ref>https://www.car.chula.ac.th/rarebook/book2/clra57_0149/mobile/index.html#p=</ref> กองทัพพม่ากวาดต้อนชาวเมืองตาก เถิน แพร่ น่านมาไว้ยังเมืองเชียงแสน ส่วนตัวพระยาศรีสุริวงศ์ (พระเมืองไชย) ถูกนำตัวไปเมืองอังวะ
 
===การสวามิภักดิ์ต่อกรุงรัตนโกสินทร์===
ขณะที่พระเมืองไชยถูกนำตัวไปเมืองอังวะนั้น คงปฏิบัติตัวให้พม่าไว้เนื้อเชื่อใจ จนสามารถกราบทูลขอและได้รับพระบรมราชานุญาตจาก[[พระเจ้าปดุง]] ให้นำครอบครัวไพร่พลมาตั้งอยู่หัวป่ง (Hopong) เมื่อ พ.ศ. 2329 ภายหลังไปอยู่เมืองยอง (Mong Yawng) ต่อมาได้ชักชวนให้เจ้าฟ้ากอง เจ้าฟ้าเมืองยองร่วมกันต่อต้านพม่า และนำกองทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน ธาปะระกามะนี (Abaya-Kamani หลักฐานไทยเรียก อาประกามะนี พื้นเมืองเชียงแสนเรียก พะแพหวุ่น) เมียวหวุ่นเมืองเชียงแสนหนีไปหาเจ้าฟ้าเพชรเม็ง (เจ้าน้อยจิตตะ) เจ้าฟ้าเชียงราย แต่ถูกเจ้าฟ้าเชียงรายจับตัวส่งไปให้พระยากาวิละ เมืองนครลำปาง พระยากาวิละส่งตัวพระเมืองไชย เจ้าฟ้ากอง พระยาเถินเฒ่า และจำธาปะระกามะนีลงไปถวายยังกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2330<ref>สรัสวดี อ๋องสกุล (ปริวรรต). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2546.</ref> ราชวงษปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่านระบุต่างไปว่า พระเมืองไชยถูกจำขื่อคาขณะลงมา<ref>https://www.car.chula.ac.th/rarebook/book2/clra57_0149/mobile/index.html#p=</ref> ดังคำให้การของธาปะระกามะนีและพื้นเมืองเชียงราย เชียงแสนว่า
{{คำพูด|๏ ครั้นเมื่อศักราชได้ ๑๑๔๘ ปี เจ้าอังวะให้ปันยีเวซอ ซุยตองเวยะจอแทง กับไพร่สองพัน จอฆองนอระทา กับไพร่พันห้าร้อย เป็นโปชุกแม่ทัพ ธาปะระกามะนีกับไพร่สามพันเฝ้าเมืองเชียงแสนอยู่ ครั้งนั้น มีตราขึ้นไปให้เข้ากองทัพจอฆองนอระทาโปชุก ได้คนมาเข้ากองทัพแต่ห้าร้อย หนีไปก่อนสองพันห้าร้อย ยกไปตีเมืองฝางได้ แล้วให้ตั้งทำไร่นาอยู่ที่นั้น แต่ธาปะระกามะนีกับไพร่ห้าสิบคน โปชุกนอระทาให้กลับไปจัดแจงบ้านเมืองทำไร่นาอยู่ณเมืองเชียงแสนประมาณหมื่นหนึ่ง พระยาแพร่ พระยายอง ยกกองทัพมาณเมืองเชียงแสน ข้าพเจ้าผู้เป็นธาปะระกามะนีหนีไปหาพระยาเชียงราย ๆ จับข้าพเจ้าได้ ส่งมาเมืองลคร เจ้าเมืองลครส่งมากรุงศรีอยุธยาคุ้งเท่าบัดนี้|คำให้การชาวอังวะ}}
 
{{คำพูด|สักกราชได้ ๑๑๔๘ ตัว ปีเมืองเม็ด เดือน ๘ ออก ๑๒ ฅ่ำ พระญายองเจ้าฟ้ากองลงมาพร้อมกับพระญาแพ่ มาหลอนเมืองเชียงแสน โมยหวานพะแพหนีไพเพิ่งพระญาเชียงราย ลวดยับไปส่งเมืองใต้
|พื้นเมืองเชียงราย เชียงแสน}}<ref>สรัสวดี อ๋องสกุล (ปริวรรต). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2546.</ref>
 
พ.ศ. 2330 พระเมืองไชยได้ถูกนำตัวลงไปเฝ้ากษัตริย์สยามรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี จึงถูกกักตัวไว้ให้อยู่ที่[[กรุงเทพมหานคร]] เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]]ทรงพระราชทานบำเหน็จรางวัลให้แก่พระเมืองไชยและเจ้าฟ้ากอง แต่ยังทรงพระราชดำริแคลงตัวไม่ไว้วางพระทัยต่อพระเมืองไชยที่ เนื่องจากเคยเป็นข้าเก่าผู้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีที่พระองค์เพิ่งได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และพระเมืองไชยเคยยกกองทัพเมืองแพร่เข้าร่วมกับพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2310 อีกทั้งพระเมืองไชยพร้อมครอบครัวเคยไปอยู่เมืองอังวะกับกษัตริย์พม่าเป็นเวลานาน จึงให้กักตัวทำราชการในกรุงเทพฯ ส่วนเจ้าฟ้ากองโปรดฯ ให้ขึ้นไปช่วยราชการพระยากาวิละ<ref>https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่-๑/๔๖-กรมพระราชวังบวรฯ-เสด็จไปตั้งเมืองเชียงใหม่</ref>
 
ในจารึกท้ายคัมภีร์ใบลานภวิรัตติ พ.ศ. 2342 ซึ่งจารโดยพระเมืองไชย ถวาย[[วัดหลวง (จังหวัดแพร่)]] เรียกนามตนเองขณะที่อยู่[[กรุงเทพมหานคร]] ว่า '''พระเมืองไชย'''
{{คำพูด|ปีกัดเม็ด...ปญติว่าพระเมืองไชยลิขิตยามเมื่อสถิตอยู่ยังกุงเทพพระมหานครใหม่วันนั้นแล}}<ref>ภูเดช แสนสา.เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม ใน หมุดหมายประวัติศาสตร์ล้านนา: รวมบทความวิชาการในวาระครบรอบ 6 ทศวรรษ ศาสตราจารย์สรัสวดี-รองศาสตราจารย์สมโชติ อ๋องสกุล, พ.ศ. 2556.</ref>
 
ในจารึกท้ายและคัมภีร์ใบลานภวิรัตติเรื่องภิกขุปาฏิโมกข์ พ.ศ. 2343 ซึ่งจารโดยพระเมืองไชย ถวาย[[วัดศรีชุม (จังหวัดแพร่)]] เรียกนามตนเองว่าขณะที่อยู่[[กรุงเทพมหานคร]] ว่า "พระเมืองไชย" และคัมภีร์ใบลานเรื่องภิกขุปาฏิโมกข์ เรียกนามตนเองว่า "'''พระยานครไชยวงศา"''' แทนที่ตำแหน่ง "'''พระยาศรีสุริยวงศ์"''' ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้ง
{{คำพูด|สระเด็จแล้วจุลสักกราชได้พันร้อยหกสิบสองตัว สนำกัมโพชภิไสย ไทภาสาว่าปีกดสัน เดือนสิบเอ็ดใต้ แรมเก้าฅ่ำ พร่ำว่าได้วันอาทิตย์ ยามแตรจักใกล้เที่ยงวัน...ตัวปาฏิโมกข์ผูกนี้สัทธามหาอุปาสักกะพระญาแพล่ ตนนามปญตินครไชยวงสา ได้ส้างเขียนไว้โชตกะวรพุทธสาสนายามเมื่อได้ลงมาสถิตอยู่ในเมืองกุงเทพพระมหานคอรใหม่วันนั้นแล ปิตตามาตาภริยาปุตตาปุตตีญาติกาขัติย์วงสาทังหลายทังมวล ขอได้นังผลอานิสงส์เสมอดั่งตัวข้านี้ชู่ตนชู่ฅนเทอะ}}<ref>ภูเดช แสนสา.เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม ใน หมุดหมายประวัติศาสตร์ล้านนา: รวมบทความวิชาการในวาระครบรอบ 6 ทศวรรษ ศาสตราจารย์สรัสวดี-รองศาสตราจารย์สมโชติ อ๋องสกุล, พ.ศ. 2556.</ref>
 
เป็นไปได้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งรับรองให้มีตำแหน่งเป็นพระเมืองไชยหรือพระยานครไชยวงศา และอาจได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเมืองแพร่เพื่อเยี่ยมครอบครัวญาติพี่น้องและทำบุญถวายทานคัมภีร์ธรรมที่ได้เขียนจารเองระหว่างอยู่กรุงเทพฯ เป็นครั้งคราว
 
ภายหลังพระเมืองไชยได้กลับมาอยู่เมืองนครแพร่ประมาณช่วงหลัง พ.ศ. 2343 ถึงก่อน พ.ศ. 2348 ในตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่จางวาง เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ทรงได้แต่งตั้งพระยาแสนซ้ายเป็นพระยาแพร่องค์ถัดมาแล้ว<ref>ภูเดช แสนสา.เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม ใน หมุดหมายประวัติศาสตร์ล้านนา: รวมบทความวิชาการในวาระครบรอบ 6 ทศวรรษ ศาสตราจารย์สรัสวดี-รองศาสตราจารย์สมโชติ อ๋องสกุล, พ.ศ. 2556.</ref> พระเมืองไชยยังคงมีพระชนม์ถึงยุค[[พระยาเทพวงศ์|พระยาเทพวงศ์ (เจ้าน้อยอุปเสน)]] เรียกว่าพระยาแพร่หรือพระยาแพร่เฒ่า ปรากฎชื่อในบัญชีพระแสงปืนต้นจำหน่ายและคง โดยระบุว่าได้รับพระราชทานปืนแบบซ้นทายหอยโข่ง ต้นเลี่ยมเครื่องกาไหล่ ความว่า
{{คำพูด|เมีองแพร พญาแพร ซ้นทายหอยโขง ตํนเลยีมเครีองกาไล ๑ พรเมีอง กลํมรางคริ่งทอรครำเงิน ๑ (รวม) ๒ พรแพร ตํนเลยีมฝรังเสฎ ๑ เถา ตํนขุดครำครำทองเครีองกาไล ๑ (รวม) ๒ หนอยอุปเสนเปนพญาแพร ฝรังเสฎลายเงิน ๑ ทาวอินท่วิไชบุตรพญาแพ ตํนกลํมยางกลางศรีองกาไลทอง ๑ (รวม) ๖|บัญชีพระแสงปืนต้นจำหน่ายและคง}}<ref>จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : สหประชาพาณิชย์, ๒๕๓๐.</ref>
 
พระเมืองไชย ถึงแก่พิราลัยประมาณปี พ.ศ. 2348 จากหลักฐานใบลานวัดหลวงที่แม่เจ้าบุษบาราชเทวีทำบุญในช่วงปี พ.ศ. 2348
==ราชโอรส-ธิดา==
พระเมืองไชยมีราชเทวีคือแม่เจ้าบุษบา มีราชธิดาปรากฏนามองค์หนึ่งชื่อ "เจ้านางสุชาดา" ต่อมาได้เสกสมรสกับ[[เจ้าหลวงพระยาเทพวงศ์ลิ้นตอง|พระยาเทพวงศ์ (เจ้าน้อยอุปเสน)]] เจ้าผู้ครองนครแพร่ องค์ที่ 23 และได้รับการสถาปนาเป็น[[แม่เจ้าสุชาดาราชเทวี]]
 
== อ้างอิง ==