ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามอะแซหวุ่นกี้"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
NewFrontierHistoryThai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
NewFrontierHistoryThai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 68:
 
=== อะแซหวุ่นกี้เข้าล้อมเมืองพิษณุโลก ===
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2318 ทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา กรมการเมืองตากและพระยาสุรบดินทร์เจ้าเมือง[[จังหวัดกำแพงเพชร|กำแพงเพชร]] เห็นว่าทัพฝ่ายพม่ามีจำนวนมหาศาลไม่อาจต่อกรได้ จึงละทิ้งเมืองอพยพพาผู้คนหลบหนีเข้าป่า<ref name=":1" /> และมีหนังสือบอกความถึงเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ที่เชียงใหม่ และถวายหนังสือใบบองใบบอกลงมายังกรุงธนบุรี
 
โปสุพลาและโปมะยุง่วนยกทัพจากเชียงแสนมาเข้าประชิดตีเมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว ฝ่ายพม่าจึงถอยออกจากเชียงใหม่กลับไปเชียงแสน เจ้าพระยาทั้งสองยกทัพติดตามพม่าไปที่เชียงแสน ในขณะนั้นหนังสือไปถึงเจ้าพระยาทั้งสอง แจ้งความว่าพม่ายกมาทางด่านแม่ละเมาจำนวนมาก เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จึงรีบรุดยกทัพกลับมาสุโขทัย ตั้งทัพอยู่ที่วัดปากน้ำที่กลางทางใต้เมืองสุโขทัย อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาถึงเมืองสวรรคโลก จับกรมการมาถามว่า "''พระยาเสือเจ้าเมืองพระพิศณุโลกอยู่หรือไม่''"<ref name=":1" /> กรมการตอบว่าไม่อยู่ไปเมืองเชียงใหม่ อะแซหวุ่นกี้จึงว่า "''เจ้าของเขาไม่อยู่ อย่าเพ่อไปเหยียบเมืองพระพิศณุโลกก่อนเลย''"<ref name=":1" /> อะแซหวุ่นกี้ให้กองหน้าของทัพพม่ามาตั้งอยู่ที่[[อำเภอกงไกรลาศ|กงธานี]]
บรรทัด 79:
เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์บอกความลงมากราบทูลฯ ณ กรุงธนบุรีว่า ทัพพม่ายกมาล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสถามแม่ทัพพม่าในคุก ฉับกุงโบงุยอคงหวุ่นและอุตตมสิงหจอจัว ว่าบัดนี้พม่ายกมาทำสงคราม จะให้ไปสู้กับพม่าพวกเดียวกันเองได้หรือไม่ งุยอคงหวุ่นและอุตตมสิงหจอจัว และบรรดานายทัพพม่าเชลยจากสงครามบางแก้ว ให้การตอบว่า หากให้ไปรบกับชาติอื่นจะขอทำสงครามจนสิ้นชีวีต แต่หากให้ไปรบกับพม่าด้วยกันเองแล้ว ทำไม่ได้ มีความละอายแก่ใจเข้าหน้าพวกเดียวกันไม่ติด สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมีพระราชดำริ ว่าแม่ทัพพม่าเชลยเหล่านี้ ไม่มีความภักดีที่แท้จริง หากยกกำลังเมืองพระนครธนบุรีไปรบกับพม่าทางเหนือ เหลือกำลังรักษาเมืองอยู่น้อย บรรดานายทัพพม่าเชลยอาจก่อกบฏขึ้นได้ จึงมีพระราชโองการให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตงุยอคงหวุ่นและอุตตมสิงหจอจัว บรรดาแม่ทัพพม่าเชลย รวมทั้งพรรคพวกของเจ้าพระฝางที่ยังเหลืออยู่ในคุก เอาไปประหารเสียที่วัดทองคลองบางกอกน้อยทั้งสิ้น<ref name=":1" />
 
สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการ ให้พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม ยกทัพออกไปรักษาอยู่เมือง[[จังหวัดเพชรบุรี|เพชรบุรี]] ป้องกันรับทัพพม่าที่อาจมาทาง[[ด่านสิงขร]] และให้เกณฑ์ทัพทางบกทางเรือ พร้อมด้วงด้วยช้างม้าสรรพาวุธ กำลังพลชาวไทยและชาวจีน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 12,270 คน<ref name=":1" /> ในเดือนยี่ (มกราคม) แรมสิบเอ็ดค่ำ เสด็จเรือพระที่นั่งกราบยาว ยกพยุหยาตรานาวาทัพหลวง พร้อมด้วยข้าทูลละอองฯทั้งปวง เสด็จจากกรุงธนบุรีไปทางชลมารค หยุดประทับที่พลับพลาหน้าฉนวนน้ำพระราชวังหลวงกรุงเก่า หมื่นศักดิ์บริบาลไปสืบราชการกลับมากราบทูลว่า ทัพพระยาสุโขทัยและพระยาอักษรวงศ์ที่กงธานีพ่ายถอยลงมาแล้ว จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งให้เร่งรีบยกทัพขึ้นไป
 
เดือนสาม (กุมภาพันธ์) ทัพหลวงยกถึงปากพิงฝั่งตะวันออก สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการ ให้ตั้งค่ายแนวเรียงยาวจากปากพิง เลียบฝั่งตะวันออกของ[[แม่น้ำน่าน]] ไปจนถึงพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ ดังนี้<ref name=":1" />
บรรทัด 97:
 
=== พม่าตีวกหลังตัดเสบียง ===
บรรดาแม่ทัพนายกองพม่า แจ้งแก่งแก่อะแซหวุ่นกี้ว่า ฝ่ายไทยป้องกันเมืองพิษณุโลกเข็มแข็ง ไม่อาจเอาชนะได้โดยง่าย<ref name=":1" /> อีกทั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินยังเสด็จยกทัพหลวงพร้อมรี้พลจำนวนมาก สงครามครั้งนี้มีโอกาสยืดเยื้อยาวนาน อะแซหวุ่นกี้จึงใช้ม้าเร็วไปแจ้งแก่ปันญีตจวง ทัพหลังซึ่งตั้งอยู่ที่กงธานี ให้คุมกำลังพม่า 3,000 คน<ref name=":1" /> ยกทัพลงไปทางเมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ แซงลงไปจนถึงเมือง[[จังหวัดอุทัยธานี|อุทัยธานี]] วกหลังตัดเสบียงฝ่ายไทย ทำให้ฝ่ายไทยต้องเผชิญศึกสองด้าน ทั้งทางพิษณุโลกและทางอุทัยธานี ส่วนกำลังอีก 2,000 คนที่เหลือ ให้มารวมกับทัพของอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก
 
เดือนสามแรมหกค่ำ พระยาสุโขทัยซึ่งซุ่มคอยสังเกตการณ์ทัพพม่าที่กงธานี เห็นพม่าที่กงธานียกทัพออกไป ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตะวันตกส่วนหนึ่ง และยกมาที่พิษณุโลกส่วนหนึ่ง พระยาสุโขทัยนำความมากราบทูลฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินเมื่อทรงทราบความ ก็ทรงตระหนักได้ว่าฝ่ายพม่ากำลังจะตีวกหลังตัดเสบียง จึงมีพระราชโองการให้พระยาราชภักดี และพระยาพิพัฒโกษา ยกทัพลงไปช่วยพระยาราชาเศรษฐีจีน (ตั้งเลี้ยง) ป้องกันเมืองนครสวรรค์ ให้กองของ[[เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์)|พระยาธรรมา (บุญรอด)]] ยกหนุนไปช่วยเจ้าพระยามหามณเฑียรและเจ้าพระยานครสวรรค์ ซึ่งไปตั้งค่ายโอบหลังพม่าอยู๋ที่วัดจันทร์ฝั่งตะวันตก และให้หลวงภักดีสงคราม พระยาเจ่ง และกรมการเมืองชัยนาท คุมพลไทยมอญจำนวน 500 คนเศษ ไปตั้งอยู่ร้านดอกไม้เมืองกำแพงเพชร คอยสังเกตการณ์ว่าทัพพม่าที่ยกมาจากกงธานีจะยกมาถึงกำแพงเพชรหรือไม่<ref name=":1" />
 
ฝ่ายเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยามหามณเฑียรและเจ้าพระยานครสวรรค์เข้าตีโอบหลังพม่าที่วัดจันทร์ฝั่งตะวันตก เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพออกมาตั้งค่อยค่ายนอกเมืองพิษณุโลกทางทิศตะวันตกประชิดฝ่ายพม่าอีกด้านหนึ่งประสานกัน เดือนสามแรมหกค่ำ เจ้าพระยาสุรสีห์ให้ทำคบเพลิงผ้าชุบน้ำมัน ใส่ลงในกระบอกปืนใหญ่ ยิงเข้าเผาทำลายค่ายพม่า สามารถทำลายหอรบลงได้สองหอ แต่ในเมืองพิษณุโลกเริ่มขาดแคลนเสบียง เจ้าพระยาสุรสีห์จึงขอพระราชทานเสบียงจากทัพหลวง สมเด็จพระเจ้าตากสินพระราชทานเสบียงให้กองกำลังคุมลำเลียงขึ้นไป แต่ถูกฝ่ายพม่าตีตัดกลางทางไปไม่ถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงให้พระยานครราชสีมาคุ้มครองเสบียงขึ้นไป แล้วให้เจ้าพระยาสุรสีห์นำกำลังลงมารับเสบียง แต่กละโบ่แม่ทัพพม่ายกมาสะมาสกัดตีเสียก่อน เจ้าพระยาสุรสีห์และพระยานครราชสีมาไม่สามารถส่งเสบียงถึงกันได้ เสบียงอาหารในเมืองพิษณุโลกลดน้อยลงทุกวัน ไม่เพียงพอแจกจ่ายแก่กำลังพล ฝ่ายพม่าก็ขัดสนเสบียงอาหารเช่นกัน แต่ฝ่ายพม่าอยู่ในที่แจ้ง สามารถค้นหาอาหารขุดรากมันประทังไปได้ ไม่ขัดสนเหมือนในเมืองพิษณุโลก
 
หลวงภักดีสงครามและพระยาเจ่ง ซึ่งยกทัพไปทางกำแพงเพชรนั้น พบกับทัพพม่าที่กำแพงเพชร โจมตีทัพพม่าโดยไม่ทันรู้ตัวใน'''การรบกำแพงเพชร''' ทัพไทยมอญเก็ยศาสตราวุธเก็บศาสตราวุธพม่ามาถวายฯ ฝ่ายพม่าแม้พ่ายแพ่แต่ยังสามารถยกทัพเข้าโจมตีเผาเมืองอุทัยธานีได้สำเร็จ พม่าตั้งค่านค่ายที่กำแพงแพชร ที่บ้านโนนศาลาสองค่าย ที่[[ตำบลสลกบาตร|บ้านสลกบาตร]]หนึ่งค่าย ที่บ้านหลวงหนึ่งค่าย เดือนสามแรมสิบสี่ค่ำ ขุนยกกระบัตรเมืองชัยนาท สืบราชการทัพพม่ามากราบทูลว่า ทัพพม่าเผาเมืองอุทัยธานีเสียแล้วและตั้งค่ายอยู่ที่กำแพงเพชร สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมีพระราชโองการ ให้หม่อมเชษฐกุมารเป็นกองหลวง ให้หม่อมอนิหม่อมอนุรุทธเทวาเป็นจางวาง ให้ขุนอินทรเดชเป็นแม่กอง ให้หลวงปลัดเมืองอุทัยธานีและ[[เจ้าพระยาพระคลัง (หน)|หลวงสรวิชิต (หน)]] เป็นกองหน้า ยกกำลัง 1,000 คนไปคอยป้องกันปืนใหญ่ที่ลำเลียงมาจากกรุงธนบุรีอย่าให้เป็นอันตราย และคอยป้องกันเมืองนครสวรรค์ และทรงให้พระยานครไชยศรีตั้งที่[[อำเภอโพธิ์ประทับช้าง|โพธิ์ทับช้าง]] และพระโหราธิบดีตั้งที่โคกสลุด คอยป้องกันตามเส้นทางลำเลียง
 
=== พม่าตีเมืองกุยบุรีและปราณบุรี ===
ฝ่ายพม่าจากเมือง[[มะริด]]ยกทัพเข้ามาทางด่านสิงขร เข้าโจมตีเมือง[[อำเภอกุยบุรี|กุยบุรี]]และ[[อำเภอปราณบุรี|ปราณบุรี]] ฝ่ายกรมการเมืองต้านทานทัพพม่าไม่ได้ จึงถอยมาตั้งที่เมือง[[อำเภอชะอำ|ชะอำ]] กรมขุนอนุรักษ์สงครามแต่งกองกำลังไปขัดตามทัพอยู่ที่ด่านช่องแคบเมืองเพชรบุรี เดือนสามแรมสิบสามค่ำ ขุนพัศดีถือหนังสือขึ้นมาบอกความกราบทูล เรื่องพม่ายกมาตีเมืองกุยบุรีและปราณบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้าประทุมไพจิตร ยกกำลังลงมารักษากรุงธนบุรีคอยระวังศึกทางด้านทิศใต้
 
=== พม่าตีค่ายปากพิงและคลองกระพวง ===
เดือนสามแรมสิบห้าค่ำ สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ มาเข้าเฝ้าที่บ้านท่าโรง เจ้าพระยาจักรีป่วยลงมาไม่ได้<ref name=":1" /> เจ้าพระยาสุรสีห์ลงมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชดำรัสปรึกษาด้วยเจ้าพระยาสุรสีห์ ว่าจะทรงผ่อนถอยทัพหลวงลงไปตั้งที่นครสวรรค์ เพื่อป้องกันเสบียงไว้ และราชการป้องกันพม่าที่เมืองพิษณุโลกนั้น ขอให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ จงรับรองรักษาป้องกันไว้<ref name=":1" /> เจ้าพระยาสุรสีห์ถวายบังคมกลับเมืองพิษณุโลก