ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอ็ดเวิร์ด ฮีธ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pp1011 (คุย | ส่วนร่วม)
Pp1011 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 19:
ในปี ค.ศ. 1960 แมคมิลแลนได้แต่งตั้ง ฮีธ ลอร์ดผู้รักษาพระราชลัญจกร ให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการเจรจาเพื่อรักษาความพยายามแรกของสหราชอาณาจักรในการเข้าร่วมประชาคมยุโรป หลังจากการเจรจาอย่างกว้างขวาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อตกลงโดยละเอียดเกี่ยวกับการค้าสินค้าเกษตรของสหราชอาณาจักรกับประเทศใน[[เครือจักรภพแห่งประชาชาติ|เครือจักรภพ]] เช่น [[ประเทศนิวซีแลนด์|นิวซีแลนด์]] การเข้ามาของอังกฤษถูกคัดค้านโดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส [[ชาร์ล เดอ โกล]] ในงานแถลงข่าวเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1963 ซึ่งทำให้ฮีธซึ่งเป็นผู้สนับสนุนงานเป็นสมาชิกในตลาดร่วมของยุโรปสำหรับสหราชอาณาจักรผิดหวังเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในการนำสหราชอาณาจักรเข้าร่วมประชาคมยุโรปเมื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทศวรรษต่อมา<ref>{{Cite web|title=BBC - History - Historic Figures: Edward Heath (1916 - 2005)|url=https://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/heath_edward.shtml|website=www.bbc.co.uk|language=en-GB}}</ref><ref>Ziegler, ''Edward Heath'' (2010) ch. 7</ref>
 
หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ความอัปยศครั้งใหญ่สำหรับนโยบายต่างประเทศของแมคมิลแลน ฮีธไม่ได้เป็นคู่แข่งในการเป็นผู้นำพรรคในการเกษียณอายุของมักมิลลันในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1963 ภายใต้รัฐบาลของ [[อเล็ก ดักลัส-ฮิวม์|เซอร์ อเล็ก ดักลัส-ฮิวม์]] เขาเป็นประธานคณะกรรมการหอการค้า [[รัฐมนตรีพาณิชย์ว่าการกระทรวงธุรกิจ พลังงาน และยุทธศาสตร์ นโยบายอุตสาหกรรม]] และดูแลการยกเลิกการรักษาราคาขายปลีก
 
=== ผู้นำฝ่ายค้าน (ค.ศ. 1965 - ค.ศ. 1970) ===
หลังจากที่พรรคอนุรักษ์นิยมแพ้การเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1964 ฮิวม์ที่ได้พ่ายแพ้ได้เปลี่ยนกฎการเป็นผู้นำพรรคให้มีการลงคะแนนเสียงโดย ส.ส. แล้วจึงลาออก ในปีต่อมา ฮีธซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเงาในขณะนั้น และเพิ่งได้รับการประชาสัมพันธ์ที่ดีจากการเป็นผู้นำในการต่อสู้กับร่างกฎหมายการเงินของแรงงาน ชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคโดยไม่คาดคิด โดยได้รับคะแนน 150 คะแนน ชนะเรจินัลด์ เมาด์ลิง ซึ่งได้ 133 คะแนน และอีนอช โพเวลล์ซึ่งได้ 15 คะแนน<ref>{{Cite news|date=1965-07-27|title=1965: Heath is new Tory leader|language=en-GB|url=http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/27/newsid_2956000/2956082.stm|access-date=2021-11-23}}</ref> ทำให้ฮีธกลายเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมที่อายุน้อยที่สุดและดำรงตำแหน่งต่อไปหลังจากความพ่ายแพ้ของพรรคในการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1966
 
 
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1968 อีนอช โพเวลล์ได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "แม่น้ำแห่งเลือด" ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การอพยพไปยังสหราชอาณาจักร หลังจากนั้นไม่นานฮีธได้โทรศัพท์หา [[มาร์กาเรต แทตเชอร์]] เพื่อแจ้งเธอว่าเขากำลังจะไล่พาวเวลล์ออกจาก[[รัฐบาลเงา]] เธอจำได้ว่าเธอ "คิดจริง ๆ ว่าควรปล่อยให้สิ่งต่างๆ เย็นลงในตอนนี้ แทนที่จะทำให้วิกฤติรุนแรงขึ้น" วันรุ่งขึ้น ฮีธไล่พาวเวลล์ออกไป ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาหลายคนประท้วงคัดค้านการไล่โพเวลล์ออก<ref>Heffer, Simon (1999). ''Like the Roman: The Life of Enoch Powell''. p. 466.</ref> และฮีธก็ไม่เคยพูดกับโพเวลล์อีกเลย<ref>Heath, Edward. ''The Course of My Life'' (1998), p. 293</ref>{{นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร}}
 
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1968 อีนอช โพเวลล์ได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "แม่น้ำแห่งเลือด" ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การอพยพไปยังสหราชอาณาจักร หลังจากนั้นไม่นานฮีธได้โทรศัพท์หา [[มาร์กาเรต แทตเชอร์]] เพื่อแจ้งเธอว่าเขากำลังจะไล่พาวเวลล์ออกจาก[[รัฐบาลเงา]] เธอจำได้ว่าเธอ "คิดจริง ๆ ว่าควรปล่อยให้สิ่งต่างๆ เย็นลงในตอนนี้ แทนที่จะทำให้วิกฤติรุนแรงขึ้น" วันรุ่งขึ้น ฮีธไล่พาวเวลล์ออกไป ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาหลายคนประท้วงคัดค้านการไล่โพเวลล์ออก<ref>Heffer, Simon (1999). ''Like the Roman: The Life of Enoch Powell''. p. 466.</ref> และฮีธก็ไม่เคยพูดกับโพเวลล์อีกเลย<ref>Heath, Edward. ''The Course of My Life'' (1998), p. 293</ref>{{นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร}}
 
=== นายกรัฐมนตรี(ค.ศ. 1970 - ค.ศ. 1975) ===
 
==== การเลือกตั้ง ค.ศ. 1970 ====
เมื่อการเลือกตั้งทั่วไปใกล้เข้ามาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1970 เอกสารนโยบายของพรรคอนุรักษ์นิยมก็หลุดออกมาจากโรงแรมเซลส์ดอนพาร์ก ซึ่งจะเสนอนโยบายที่เน้นตลาดเสรีเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและปัญหาเงินเฟ้อของประเทศ<ref>Young, Hugo. ''One Of Us'' London: MacMillan, 1989</ref> ฮีธกล่าวว่าสุดสัปดาห์ที่เซลส์ดอนเป็นเพียงการยืนยันนโยบายที่มีการพัฒนาจริงตั้งแต่เขากลายเป็นผู้นำของพรรคอนุรักษ์นิยม [[ฮาโรลด์ วิลสัน]] นายกรัฐมนตรีจากพรรคแรงงาน ตอบโต้โดยคิดว่าเอกสารดังกล่าวเป็นผู้แพ้คะแนนเสียง และขนานนามว่าเป็นผลงานของเซลส์ดอน แมน ตาม พลิตดาวน์แมน มนุษย์ที่มีการคาดว่าเป็นมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์<ref>{{Cite book|last=Green|first=Jonathon|url=https://www.worldcat.org/oclc/15488674|title=Dictionary of jargon|date=1987|publisher=Routledge & Kegan Paul, in association with Methuen|isbn=0-7100-9919-3|location=London|oclc=15488674}}</ref> หลังจากนั้นพรรคอนุรักษ์นิยมของฮีธก็ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1970 ด้วย 330 ที่นั่งจาก 287 ที่นั่ง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีในอนาคต [[มาร์กาเรต แทตเชอร์]](รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์) วิลเลียม ไวท์ลอว์(ประธานสภาผู้แทนราษฎร) และอดีตนายกรัฐมนตรี [[อเล็ก ดักลัส-ฮิวม์]]([[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สหราชอาณาจักร)|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ]])<ref>Ziegler, ''Edward Heath'' (2010) ch. 12</ref>
 
==== รัฐสวัสดิการ ====
ในช่วงปีแรกที่ดำรงตำแหน่งของฮีธ มีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นเพื่อประโยชน์ของรัฐสวัสดิการ เช่น อาหารกลางวันในโรงเรียน แว่นตา ทันตกรรม และยา สิทธิในการได้รับผลประโยชน์การเจ็บป่วยของรัฐก็เปลี่ยนไปเช่นกันเพื่อให้จ่ายได้หลังจากสามวันแรกของการเจ็บป่วยเท่านั้น สิทธิในการได้รับผลประโยชน์การเจ็บป่วยของรัฐก็เปลี่ยนไปเช่นกันเพื่อให้จ่ายได้หลังจากสามวันแรกของการเจ็บป่วยเท่านั้น<ref>The Five Giants: A Biography of the Welfare State by Nicholas Timmins</ref> อันเป็นผลมาจากการบีบงบประมาณการศึกษา การจัดหานมโรงเรียนฟรีจึงสิ้นสุดลงสำหรับเด็กอายุ 8 ถึง 11 ปี (ฮาโรลด์ วิลสันได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับวัยรุ่น) [[แท็บลอยด์|หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์]]ขนานนามว มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นว่า "มาร์กาเร็ต แทตเชอร์: ผู้ฉกฉวยนม"<ref>{{Cite web|date=2012-01-18|title=How Margaret Thatcher became known as 'Milk Snatcher' - Telegraph|url=https://web.archive.org/web/20120118071518/https://www.telegraph.co.uk/news/politics/7932963/How-Margaret-Thatcher-became-known-as-Milk-Snatcher.html|website=web.archive.org}}</ref> แม้จะมีมาตรการเหล่านี้ รัฐบาลของฮีธก็สนับสนุนให้การใช้จ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมาก
 
บทบัญญัติจัดทำขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติประกันแห่งชาติ พ.ศ. 2513 (บำเหน็จบำนาญและเงินบำนาญของผู้สูงอายุและหญิงม่าย) สำหรับเงินบำนาญที่จะจ่ายให้กับคนชราที่ได้รับการยกเว้นจากโครงการบำเหน็จบำนาญก่อนปี ค.ศ. 1948 และได้รับการยกเว้นจากโครงการที่ครอบคลุมซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1948 ผู้คนประมาณ 100,000 คนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยครึ่งหนึ่งได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมภายใต้โครงการประกันสังคม พระราชบัญญัติยังได้ปรับปรุงโครงการเงินบำนาญของแม่ม่ายด้วยการแนะนำอัตราเริ่มต้นที่ 30 ชิลลิงต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิงที่เป็นม่ายเมื่ออายุ 40 ปีและเพิ่มขึ้นเป็นอัตราเต็ม 5 ปอนด์เมื่ออายุ 50 ปี<ref>''Britannica Book of the Year 1971'', (Encyclopædia Britannica, 1972)</ref>
 
มีการให้การสนับสนุนสำหรับการสร้างโรงเรียนอนุบาลและได้มีการเปิดตัวโครงการลงทุนในอาคารเรียนระยะยาว และมีการจัดตั้งกองทุนครอบครัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กที่มีภาวะพิการแต่กำเนิด<ref>{{Cite web|date=2013-05-11|title=Wayback Machine|url=https://web.archive.org/web/20130511115347/http://www.familyfund.org.uk/sites/default/files/Brief%20history%20of%20the%20Family%20Fund.pdf|website=web.archive.org}}</ref>
 
== อ้างอิง ==
[[หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2459]]
[[หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2548]]
เส้น 30 ⟶ 46:
[[หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร]]
[[หมวดหมู่:เสียชีวิตจากโรคปอดบวม]]
<references />{{นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร}}