ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าอนุวงศ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xiengyod~commonswiki (คุย | ส่วนร่วม)
Xiengyod~commonswiki (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 33:
=== เหตุการณ์สงครามเจ้าอนุวงศ์ ===
{{บทความหลัก|สงครามเจ้าอนุวงศ์}}
[[พ.ศ. 2368]] เจ้าอนุวงศ์เสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร. 2 ของสยาม เอกสารฝ่ายสยามคือพระราชพงศาวดารระบุว่าทรงพิจารณาว่ากองทัพสยามอ่อนแอเนื่องจากแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าที่มีฝีมือสิ้นชีวิตหลายคน และมีข่าวลือถึง[[นครหลวงเวียงจันทน์]]ว่าสยามกับ[[อังกฤษ]]วิวาทกันจากการทำ[[สนธิสัญญาเบอร์นี]] ต่อมากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์สถาปนาขึ้นเป็น ร. 3 เจ้าอนุวงศ์ทูลขอพระราชทาน[[ละครใน]]ของ[[เวียงจันทน์]] เจ้าหญิงลาวพระนามเจ้านางดวงคำ<ref>สิลา วีระวงส์, มหา, '''ชีวประวัติพระเจ้าอนุวงศ์''', (เวียงจันทน์: ดอกเกด, 2553 (2010)), หน้า 20.</ref> และชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาสยามสมัยธนบุรีให้กลับคืนบ้านเมืองแต่ไม่อนุญาต อาจเป็นเหตุให้พระองค์ไม่พอพระทัยจึงยกทัพลงมาโดยตั้งใจเข้าตี[[กรุงเทพฯ]] ทรงเริ่มวางอุบายแก่เจ้าเมืองลาวตามรายทางว่าจะยกทัพช่วย[[กรุงเทพฯ]] รบ[[อังกฤษ]]ทำให้กองทัพลาวสามารถเดินทัพผ่านได้โดยสะดวก เอกสารฝ่ายลาวคือพื้นเวียงจันทน์ระบุว่าทรงโปรดฯ ให้เจ้านายหัวเมืองลาวเข้าร่วมตี[[นครราชสีมา]]เนื่องจาก[[เจ้านครราชสีมา]]ล่วงล้ำแดนลาวเข้า[[ตีข่า]][[สักเลก]]ไปมอบให้สยาม พระองค์ไม่ได้ตั้งใจลงตี[[กรุงเทพฯ]] แต่ประการใด บรรดาเจ้าเมืองลาวทั้งสองฝั่งโขงต่างไม่พอใจ[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]]อยู่แล้วจึงร่วมมือกับพระองค์ เช่น พระยาไกรสอนคำแดงเจ้าเมืองภูขัน (ขุขันธ์) พระยาขัติยวงศาเจ้าเมืองร้อยเอ็ด พระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนม พระยานรินทรสงครามเจ้าเมืองสี่มุม เป็นต้น เอกสารฝ่ายสยามระบุว่าเมื่อทัพลาวยกถึงนครราชสีมาทรงฉวยโอกาสที่เจ้าเมืองและพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการที่[[ขุขันธ์]]ขุขันธ์เข้ายึดเมืองและกวาดต้อนครัวโคราชขึ้นไป[[นครหลวงเวียงจันทน์]] เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าเจ้าเมืองนครราชสีมาทราบข่าวทัพลาวยกถึงนครราชสีมาเกรงว่าจะต้องโทษที่ล่วงล้ำแดน[[นครหลวงเวียงจันทน์]]และนครจำปาศักดิ์จึงทิ้งเมืองและปลอมตัวหนี เมื่อพระองค์เสด็จถึงวังเจ้านครราชสีมาอันใหญ่โตซึ่งมีถึง 7 หลังและมีพื้นที่บรรจุทหารกว่าพันคนจึงโปรดฯ ให้[[พระบรมราชา]] (มังต้นสกุล[[มัง ต้นสกุลมังคละคีรี]]) [[เจ้าเมืองนครพนม]]เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมาแทน ต่อมาเอกสารฝ่ายสยามระบุว่าระหว่างทัพลาวพักไพร่พลเชลยที่[[ทุ่งสัมฤทธิ์]]ครัวเมืองนครราชสีมาวางอุบายลวงฆ่าทหารลาวจำนวนมากแล้วตั้งค่ายรอทัพกรุงเทพฯ ขึ้นมาช่วย ทหารลาวเห็นการไม่สำเร็จจึงถอยทัพกลับตั้งมั่นที่นครหลวงเวียงจันทน์เพื่อรอรับศึกสยาม สยามเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้น[[วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์]]ของ[[ท้าวสุรนารี]] (โม หรือโม้) ชายาเจ้านครราชสีมา<ref>เติม วิภาคย์พจนกิจ, '''ประวัติศาสตร์อีสาน''', เรียบเรียงโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ 4, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546), หน้า 597-599.</ref> และวีรกรรม[[นางสาวบุญเหลือ]]ธิดากรมการเมืองนครราชสีมา ส่วนลาวไม่พบเอกสารชั้นต้นหรือเอกสารปฐมภูมิระบุวีรกรรมสตรีทั้งสองท่าน ข้อสังเกตในมุขปาฐะฝ่ายลาวระบุว่า[[ท้าวสุรนารี]]เดิมเป็นชาวลาวมีใจใฝ่สยามจึงร่วมวางแผนกับสยามตีเวียงจันทน์ซึ่งยังไม่พบเอกสารลายลักษณ์มายืนยัน กรณีดังกล่าวลาวระบุว่าเหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นวีรกรรมเจ้าเมืองและราชวงศ์ลาวอย่างน้อย 5 ท่านที่จงรักภักดีแก่เวียงจันทน์คือ วีรกรรม[[พระยานรินทร์สงคราม]] ([[เจ้าจอมนรินทร์]] หรือพระยาโนลินต้นสกุล[[น ต้นสกุลลาวัณบุตร์]]) เจ้า[[เมืองจตุรัส]] ([[เมืองสี่มุม]]) และ[[เมืองหนองบัวลุ่มภู]] ([[หนองบัวลำภู]]) วีรกรรมพระบรมราชา (มัง บ้างว่าสุตตา) เจ้าเมืองนครพนมและนครราชสีมา วีรกรรมเจ้าอุปอาดและท้าวคำม่วน (คำ) เมืองยโสธร<ref>ประวัติวัดสร่างโศก (วัดศรีธรรมหายโศก หรือวัดอโสการาม) ในพงศาวดารเมืองยโสธรฉบับพระยามหาอำมาตยาธิบดี พระญาณรักขิต (ใจ ยโสธรัตน์), '''พงศาวดารเมืองยโสธร: พิมพ์เป็นที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพพระครูวิจิตตวิโสธนาจารย์ ณ วัดสร่างโศก อำเภอยโสธร วันที่ 23 เมษายน 2491''', (ยโสธร: วัดสร่างโศก อำเภอยโสธร, 2491), หน้า 35. อ้างใน Dararat Mattariganond และ Wiangkum Choun-u-dom, "ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเผา "อุปฮาดบุตร และท้าวคำ" เมืองยโสธร", ใน '''Center for Research on Plurality in the Mekong Region (CERP): Proceedings of 13th International Conference on Humanities & Social Sciences 2017 (IC-HUSO 2017) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น'''. (2-3 พฤศจิกายน 2560): 2555.</ref> และวีรกรรมสมเด็จเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) พระราชโอรสของเจ้าอนุวงศ์
 
สงครามนี้ฝ่ายกรุงเทพฯ ทราบข่าวทัพลาวช้ากว่าที่คิดหลังทัพลาวตั้งมั่นที่นครราชสีมา ต่อมาสยามส่งกองลาดตระเวนหาข่าวถึงเมือง[[สระบุรี]] เมื่อ ร. 3 ทราบข่าวศึกจึงโปรดเกล้าฯ [[กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์]]เป็นแม่ทัพใหญ่ยกจาก[[สระบุรี]] ให้[[เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี)|พระยาราชสุภาวดี]] (สิงห์ [[สิงหเสนี)]]) ซึ่งเอกสารฝ่ายลาวเรียก[[พระยามุนินเดช]] ยกทัพไปทาง[[เมืองปัก]] ([[อำเภอปักธงชัย]]) สมทบกันที่นครราชสีมา กองทัพทั้ง 2 ตีทัพลาวแตก ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จลี้ภัยและปรึกษาราชการศึกที่[[เวียดนาม]]โดยความคุ้มครองของจักรพรรดิเวียดนาม หลังทัพสยามทำลายนครหลวงเวียงจันทน์ได้กรมพระราชวังบวรฯ โปรดฯ ให้สร้าง[[เจดีย์ปราบเวียง]]ที่[[หนองคาย]] และให้[[พระยาราชสุภาวดี]]กวาดครัวนครหลวงเวียงจันทน์ไปกรุงเทพฯ ทัพสยามอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญไปจำนวนมาก​ เช่น​ [[พระบาง]] พระแซกคำ ([[พระแทรกคำ]]) พระสันส้มมอ ([[พระฉันสมอ]]) [[พระเสริม]] [[พระสุก]] [[พระใส]] [[พระแสน]] [[พระแก่นจันทน์]] [[พระเงินหล่อ]] [[พระเงินบุ]] [[พระสรงน้ำ]] [[พระศิลาเขียว]] ([[พระนาคสวาดิเรือนแก้ว]]) เป็นต้น เอกสารฝ่ายลาวระบุว่ายังมีสมบัติล้ำค่าและ[[พระพุทธรูป]]ประจำหัวเมืองลาวหลายองค์ที่ทัพสยามพยายามอัญเชิญไปแต่ประชาชนลาวนำไปซ่อนในถ้ำก่อน อาทิ [[พระแสง]][[เมืองนครพนม]]ซ่อนที่เมืองมหาไชย [[พระแก้วมรกต]]จำลองซ่อนในองค์[[พระธาตุพนม]] พระทองคำจำนวนมากซ่อนใน[[ถ้ำปลาฝา]]และถ้ำพระ [[เมืองท่าแขก]] เป็นต้น [[พ.ศ. 2370]] ร. 3 ไม่พอใจที่พระยาราชสุภาวดีไม่ทำลายนครหลวงเวียงจันทน์ให้สิ้นซากจึงโปรดเกล้าฯ ให้กลับไปทำลายอีกครั้ง ความชอบนี้ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็น[[เจ้าพระยาราชสุภาวดี]]ที่[[สมุหนายก]] [[พระยาพิชัยสงคราม]]คุมทหาร 300 ข้ามโขงดูลาดเลาได้ความว่าพระ[[จักรพรรดิเวียดนาม|ราชวงศ์เหงียน]]ให้ข้าหลวงเชิญเจ้าอนุวงศ์และ[[เจ้าราชวงษ์]] (เหง้า) กลับมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามอีกครั้ง เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าเจ้าอนุวงศ์ไม่พอพระทัยพระจักรพรรดิเวียดนามที่ไม่มีความจริงใจและคิดแสวงหาทรัพย์สินเงินทองจากลาวครั้นเห็นทหารสยามอาศัยในนครหลวงเวียงจันทน์จึงนำพลฆ่าฟันขับไล่ทหารสยามออกไป เอกสารฝ่ายสยามระบุว่ารุ่งขึ้นเจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงษ์ (เหง้า) กลับยกพลเข้าโจมตีทหารสยามล้มตายเป็นอันมาก เจ้าพระยาราชสุภาวดีเห็นทหารลาวไล่ฆ่าทหารสยามถึงชายหาดหน้า[[เมืองพันพร้าว]]ทราบว่าเกิดเหตุร้ายจึงขอกำลังเพิ่มจาก[[เมืองยโสธร]] เจ้าอนุวงศ์โปรดฯ ให้เจ้าราชวงศ์ (เหง้า) นำพลข้ามตามมาปะทะทัพสยามที่[[ค่ายบกหวาน]] [[บ้านบกหวาน]] [[เมืองหนองคาย]] สู้กันถึงขั้นตะลุมบอน แม่ทัพทั้ง 2 รบกันตัวต่อตัวจนบาดเจ็บปรากฏฝ่ายเจ้าราชวงษ์ (เหง้า) มีชัย ส่วน[[เจ้าพระยาราชสุภาวดี]]แพ้ราบคาบเพราะถูกฟัน ทหารสยามยิงปืนต้องเจ้าราชวงษ์ (เหง้า) บาดเจ็บเล็กน้อย ทัพสยามเร่งติดตามทัพลาวถึงพันพร้าวปรากฏทัพลาวข้ามโขงไปแล้ว ทหารลาวหาม[[เจ้าราชวงษ์ (เหง้า)]] ไปรักษาพระองค์ในค่ายและไม่ปรากฏเรื่องราวของพระองค์อีกเลย
 
[[พ.ศ. 2370]] ร.3 ไม่พอใจที่พระยาราชสุภาวดีไม่ทำลายนครหลวงเวียงจันทน์ให้สิ้นซากจึงโปรดเกล้าฯ ให้กลับไปทำลายอีกครั้ง ความชอบนี้ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ที่[[สมุหนายก]] พระยาพิชัยสงครามคุมทหาร 300 ข้ามโขงดูลาดเลา ได้ความว่าพระ[[จักรพรรดิเวียดนาม|ราชวงศ์เหงียน]]ให้ข้าหลวงเชิญเจ้าอนุวงศ์และ[[เจ้าราชวงศ์ (เหง้า)]] กลับมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามอีกครั้ง เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าเจ้าอนุวงศ์ไม่พอพระทัยพระจักรพรรดิเวียดนามที่ไม่มีความจริงใจและคิดแสวงหาทรัพย์สินเงินทองจากลาวครั้นเห็นทหารสยามอาศัยในนครหลวงเวียงจันทน์จึงนำพลฆ่าฟันขับไล่ทหารสยามออกไป เอกสารฝ่ายสยามระบุว่ารุ่งขึ้นเจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) กลับยกพลเข้าโจมตีทหารสยามล้มตายเป็นอันมาก เจ้าพระยาราชสุภาวดีเห็นทหารลาวไล่ฆ่าทหารสยามถึงชายหาดหน้าเมืองพันพร้าวทราบว่าเกิดเหตุร้ายจึงขอกำลังเพิ่มจากเมืองยโสธร เจ้าอนุวงศ์โปรดฯ ให้เจ้าราชวงศ์ (เหง้า) นำพลข้ามตามมาปะทะทัพสยามที่ค่ายบกหวาน บ้านบกหวาน เมืองหนองคาย สู้กันถึงขั้นตะลุมบอน แม่ทัพทั้ง 2 รบกันตัวต่อตัวจนบาดเจ็บปรากฏฝ่ายเจ้าราชวงษ์ (เหง้า) มีชัย ส่วนเจ้าพระยาราชสุภาวดีแพ้ราบคาบเพราะถูกฟัน ทหารสยามยิงปืนต้องเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) บาดเจ็บเล็กน้อย ทัพสยามเร่งติดตามทัพลาวถึงพันพร้าวปรากฏทัพลาวข้ามโขงไปแล้ว ทหารลาวหามเจ้าราชวงษ์ (เหง้า) ไปรักษาพระองค์ในค่ายและไม่ปรากฏเรื่องราวของพระองค์อีกเลย
เจ้าอนุวงศ์เห็นเหตุการณ์จึงพาครอบครัวและ[[พระบรมวงศานุวงศ์]]เสด็จขึ้นเหนือไปพึ่งพระราชธิดาซึ่งเป็นพระมเหสี[[พระเจ้าสุททะกะสุวันนะกุมาร]]เจ้านคร[[เชียงขวาง]] (เจ้าน้อย[[เชียงขวาง|เมืองพวน]]) เจ้าน้อยถูกสยามลวงให้บอกที่ซ่อนและจับกุมพระองค์พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ลงกรุงเทพฯ เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าสงครามนี้ทรงสูญเสียพระราชโอรสพระนาม[[ท้าวหมื่นนาม]]ซึ่งประสูติแต่[[พระนางสอนราชเทวี]]ราชธิดา[[พระบรมราชา]][[เจ้าเมืองนครพนม]] พระนางสอนถูกทหารสยามนำไปถวาย ร. 3 สยามนำเจ้าอนุวงศ์ประทับกรงเหล็กประจานหน้า[[พระที่นั่งสุทไธสวรรย์]] นำเครื่องทรมานต่าง ๆ ทรมานพระองค์อย่างโหดร้าย ให้อดข้าว น้ำ ทั้งพระมเหสี พระชายา พระสนม ตลอดจนพระราชโอรสธิดาพระราชนัดดาหลายพระองค์ ไม่นานก็สิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมานสิริพระชนมายุรวม 61 ชันษา เสวยราชย์ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ 23 ปี สยามลดฐานะนครหลวงเวียงจันทน์เป็นหัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นเมืองหนองคาย ยกหนองคายเป็นเมืองชั้นเอก ให้มีเจ้าเมืองลาวอยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ ไม่สถาปนาพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ขึ้นเสวยราชย์ นครหลวงเวียงจันทน์ถูกปล้นเผาทำลายไม่เหลือสภาพราชธานีกลายเป็นเมืองร้างเหลือวัดสำคัญไม่กี่แห่งคือ[[วัดสีสะเกด]] หลังสิ้นพระชนม์ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ถึงกาลอวสาน เอกสารฝ่ายสยามไม่ระบุพระราชพิธีพระบรมศพของพระองค์ เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าสยามจัดอย่างพิธีลาวใหญ่โตและงดงามกลางกรุงเทพฯ ไม่พบข้อมูลการสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิ ลือว่าพระบรมอัฐิของพระองค์ถูกรักษาไว้ใต้บันได[[วัดอรุณราชวราราม]] วรรณกรรมประวัติศาสตร์[[พื้นเมืองเวียงจันทน์]]หรือพื้นเจ้าราชวงศ์เหลาคำระบุการสิ้นพระชนม์ต่างไปโดยทรงสั่งพระมเหสีนำง้วนสาร ([[ยาพิษ]]) เจือข้าวต้มมัดมาเสวย สยามนำพระบรมศพฝังใต้ฐาน[[พระธาตุดำ]]กลางนครหลวงเวียงจันทน์ สมัย ร. 4 ทรงปรารถนาชุบเลี้ยงเจ้านายราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ทายาทเจ้าอนุวงศ์จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนา[[เจ้าจอมมารดาดวงคำ]]พระราชนัดดาเจ้าอนุวงศ์ขึ้นเป็นเจ้าจอมพระสนม โปรดเกล้าฯ พระราชนัดดาทั้ง 2 คือ[[เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์]]ดำรงรัฐสีมามุกดาหาราธิบดี (หนู ต้นสกุล [[จันทนากร]]) ขึ้นเสวยราชย์เมืองมุกดาหารบุรี (มุกดาหาร) ในฐานะประเทศราช โปรดฯ ให้[[เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์]]ดำรงรัฐสีมาอุบลราชธานีบาล (หน่อคำ ต้นสกุล [[เทวานุเคราะห์]], [[พรหมโมบล]], [[พรหมเทพ]]) เสวยราชย์เมือง[[อุบลราชธานี]]ในฐานะเมืองประเทศราชเช่นกัน
 
เจ้าอนุวงศ์เห็นเหตุการณ์จึงพาครอบครัวและ[[พระบรมวงศานุวงศ์]]เสด็จขึ้นเหนือไปพึ่งพระราชธิดาซึ่งเป็นพระมเหสี[[พระเจ้าสุททะกะสุวันนะกุมาร]] เจ้านคร[[เชียงขวาง]] (เจ้าน้อย[[เชียงขวาง|เมืองพวน]]) เจ้าน้อยถูกสยามลวงให้บอกที่ซ่อนและจับกุมพระองค์พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ลงกรุงเทพฯ เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าสงครามนี้ทรงสูญเสียพระราชโอรสพระนาม[[ท้าวหมื่นนาม]] ซึ่งประสูติแต่[[พระนางสอนราชเทวี]] ราชธิดา[[พระบรมราชา]][[ เจ้าเมืองนครพนม]] พระนางสอนถูกทหารสยามนำไปถวาย ร. 3 สยามนำเจ้าอนุวงศ์ประทับกรงเหล็กประจานหน้า[[พระที่นั่งสุทไธสวรรย์]] นำเครื่องทรมานต่าง ๆ ทรมานพระองค์อย่างโหดร้าย ให้อดข้าว น้ำ ทั้งพระมเหสี พระชายา พระสนม ตลอดจนพระราชโอรสธิดาพระราชนัดดาหลายพระองค์ ไม่นานก็สิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมานสิริพระชนมายุรวม 61 ชันษา เสวยราชย์ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ 23 ปี สยามลดฐานะนครหลวงเวียงจันทน์เป็นหัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นเมืองหนองคาย ยกหนองคายเป็นเมืองชั้นเอก ให้มีเจ้าเมืองลาวอยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ ไม่สถาปนาพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ขึ้นเสวยราชย์ นครหลวงเวียงจันทน์ถูกปล้นเผาทำลายไม่เหลือสภาพราชธานีกลายเป็นเมืองร้างเหลือวัดสำคัญไม่กี่แห่งคือ[[วัดสีสะเกด]] หลังสิ้นพระชนม์ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ถึงกาลอวสาน เอกสารฝ่ายสยามไม่ระบุพระราชพิธีพระบรมศพของพระองค์ เอกสารฝ่ายลาวระบุว่าสยามจัดอย่างพิธีลาวใหญ่โตและงดงามกลางกรุงเทพฯ ไม่พบข้อมูลการสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิ ลือว่าพระบรมอัฐิของพระองค์ถูกรักษาไว้ใต้บันได[[วัดอรุณราชวราราม]] วรรณกรรมประวัติศาสตร์[[พื้นเมืองเวียงจันทน์]]หรือพื้นเจ้าราชวงศ์เหลาคำระบุการสิ้นพระชนม์ต่างไปโดยทรงสั่งพระมเหสีนำง้วนสาร ([[ยาพิษ]]) เจือข้าวต้มมัดมาเสวย สยามนำพระบรมศพฝังใต้ฐาน[[พระธาตุดำ]]กลางนครหลวงเวียงจันทน์ สมัย ร. 4 ทรงปรารถนาชุบเลี้ยงเจ้านายราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ทายาทเจ้าอนุวงศ์ จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนา[[เจ้าจอมมารดาดวงคำ]]พระราชนัดดาเจ้าอนุวงศ์ขึ้นเป็นเจ้าจอมพระสนม โปรดเกล้าฯ พระราชนัดดาทั้ง 2 คือ [[เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์]] ดำรงรัฐสีมามุกดาหาราธิบดี (หนู ต้นสกุล [[จันทนากร]]) ขึ้นเสวยราชย์เมืองมุกดาหารบุรี (มุกดาหาร) ในฐานะประเทศราช โปรดฯ ให้[[เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์]] ดำรงรัฐสีมาอุบลราชธานีบาล (หน่อคำ ต้นสกุล [[เทวานุเคราะห์]], [[พรหมโมบล]], [[พรหมเทพ]]) เสวยราชย์เมือง[[อุบลราชธานี]]ในฐานะเมืองประเทศราชเช่นกัน
 
===ข้อสังเกตการพ่ายสงครามของเจ้าอนุวงศ์===