ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
InternetArchiveBot (คุย | ส่วนร่วม)
Rescuing 1 sources and tagging 0 as dead.) #IABot (v2.0.8.1
Nubbkao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 126:
|source=โคลงนิราศหริภุญชัย}}
 
คาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ ได้เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนในประเทศสยาม เมื่อ พ.ศ. 2424-2425 มาเยี่ยมชมวัดในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2424 ได้บรรยายถึงพระธาตุหริภุญชัยในบันทึกการเดินทางว่า
 
{{คำพูด|ในลานวัดมีพระเจดีย์องค์หนึ่งสวยงามมาก และเป็นสถานที่น่าสนใจที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมานับแต่ออกจากกรุงเทพฯ ทุกปีจะมีคนไปนมัสการกันนับพัน พระเจดีย์องค์นี้ก็เป็นรูปกรวยอย่างเคย สร้างเป็นรูปวงแหวนซ้อนกันเป็นชั้นๆ ให้ค่อยๆ เล็กลงทีละน้อยๆ ตรงปลายเป็นยอดแหลม ข้าพเจ้ากะว่าสูงประมาณ 80 ฟุต สร้างด้วยหินหุ้มทองเหลือง องค์พระเจดีย์ปิดทองหนาตั้งแต่ฐานจนถึงยอด และบนยอดก็มีฉัตรทองสำริด 5 อัน ปักซ้อนกันเป็นชั้น ขนาดค่อยๆ เล็กลงตามลำดับตั้งแต่อันล่างจนถึงอันบน (ผู้แต่งเข้าใจผิดว่าเป็นฉัตร 5 คัน ความจริงเป็นฉัตรอันเดียว แต่มี 5 ชั้น) ฉัตรนี้เป็นเครื่องแสดงว่าในพระเจดีย์องค์นี้บรรจุของที่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ รอบองค์พระเจดีย์ตอนบนแขวนระฆังเล็กๆ โดยใช้ลวดผูกทำให้มีเสียงกรุ๋งกริ๋งน่าฟังเมื่อลมพัด พระเจดีย์องค์นี้มีราวทองเหลือง 2 ชั้น ล้อมรอบ และตามมุมต่างแต่ละด้านมีศาลเล็กๆ ตั้งเทวรูปหินไว้ ข้างในเป็นรูปเทวดาซึ่งมีหน้าที่คอยเฝ้าดูแลรักษา และระหว่างศาลเล็กๆ นี้ยังมีกลดอันใหญ่ปิดทองและติดระบายตามขอบ|Temples and elephants : The Narrative of a Journey of Exploration through Upper Siam and Lao}}<ref>เสถียร พันธรังสี และ อัมพร ทีขะระ แปล. ท้องถิ่นสยามยุคพระพุทธเจ้าหลวง (เรียบเรียงจาก Temples and elephants ของ Carl Bock). กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2562</ref>
บรรทัด 136:
โคมปราสาททางด้านทิศเหนือและใต้ทำเป็นรูปแบบพิเศษ คือตั้งอยู่บนสำเภาสำริด (สุวรรณเภตรา) มีฉัตรขนาดเล็ก 4 ก้านประดับ เรือสำเภาขนาดยาวประมาณ 1 เมตร มีส่วนหัวและท้ายเรือป้าน ที่กราบเรือและโดยรอบบริเวณผนังหัว-ท้านเรือตกแต่งประดับด้วยลวดลายรูปสัตว์ เช่น หงส์ ปลาหัวมังกร หยินหยาง มกร กุ้ง กินนร กินรีในท่าฟ้อนรำ สิงห์ มอม นาคขด กิเลน หน้าเรือสำเภาตกแต่งด้วยครุฑยุดนาคเกี้ยว เรือสำเภาตั้งอยู่บนฐานเหลี่ยมประดับลวดลายระลอกคลื่นสลับกอบัวและสัตว์น้ำพวกหอย ปลาหมึก ปลาหน้าวัว ปลาหัวช้าง เป็นสัญลักษณ์ของเรือสำเภาที่พระพุทธเจ้านำพาสัตว์โลกทั้งหลายข้ามโอฆสงสารไปสู่พระอมตะมหานิพพาน ศ. ดร.สันติ เล็กสุขุม ให้ความเห็นว่าเป็นศิลปกรรมที่ทำขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 4-5 เนื่องจากการวางลวดลายในลักษณะแน่นเบียดแน่นเต็มพื้นที่เช่นนี้มักนิยมทำมากในยุคฟื้นฟูล้านนา ศ. ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ เชื่อว่าลวดลายบนเรือสำเภาไม่ใช่อัตลักษณ์เฉพาะของศิลปกรรมล้านนา อาจเป็นการรับอิทธิพลจากพม่า สิบสองปันนา หรือจีน รศ. ม.ล. สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ให้ข้อสังเกตว่า งานช่างในลักษณะบุเงินบุทองด้วยเส้นนูนเช่นนี้เป็นความสันทัดของกลุ่มชาวไททางแถบเหนือขึ้นไปของล้านนา คือกลุ่มไทลื้อเมืองยองที่เข้ามามีบทบาทเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในลำพูน
 
ในบันทึกของคาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ เมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2424-2425 ได้กล่าวถึงโคมปราสาและเรือสำเภาสำริดนี้ว่า
 
{{คำพูด|รอบๆ รั้วด้านนอกมีตะเกียงทองเหลืองเล็กๆ ทำเป็นรูปโบสถ์จำลอง ตะเกียงลูกหนึ่งทำเป็นรูปเรือสำเภาจีน และมีอักษรจารึกไว้ว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 1,200 ปี พวกพระได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้ตรงบริเวณที่สร้างพระเจดีย์มีโบสถ์เป็นรูปสำเภาจีนทำด้วยทองคำล้วนๆ และตะเกียงรูปเรือสำเภาจีนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงก็คือรูปจำลองของโบสถ์หลังนั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ฝังอยู่ใต้พระเจดีย์ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่ามีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นไว้เพื่อให้รู้ว่าสมบัติอันมีค่านั้นฝังอยู่ที่ไหน และเท่าที่เห็นพระเจดีย์องค์นี้ยังได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่ดี สมบัติชิ้นนั้นก็อาจจะยังคงฝังอยู่ข้างในพระเจดีย์|Temples and elephants : The Narrative of a Journey of Exploration through Upper Siam and Lao}}<ref>เสถียร พันธรังสี และ อัมพร ทีขะระ แปล. ท้องถิ่นสยามยุคพระพุทธเจ้าหลวง (เรียบเรียงจาก Temples and elephants ของ Carl Bock). กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2562</ref>
บรรทัด 176:
|source=โคลงนิราศหริภุญชัย}}
 
จดหมายเหตุวัดสังฆารามประตูลี้กล่าวว่า พ.ศ. 2397 [[เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ]] เจ้าหลวงลำพูน ได้สร้าง (อาจหมายถึงบูรณะ) สิงห์คู่นี้ และสร้างโรงสิงห์ (ศาลา) คลุมไว้
ในบันทึกของคาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ เมื่อ พ.ศ. 2424-2425 ได้กล่าวถึงราชสีห์นี้ว่า
 
ในบันทึกของคาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ เมื่อมาเยี่ยมชมวัดในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2424-2425 ได้กล่าวถึงราชสีห์นี้ว่า
 
{{คำพูด|พอเข้าไปในลานวัดก็ได้เห็นราชสีห์ 2 ตัว ยืนอยู่ในท่าเดิม คืออ้าปากกว้าง แลบลิ้นออกมาข้างนอก รูปนี้ทำด้วยอิฐและปูนทาสีแดง บางส่วนปิดทองและประดับกระจกสี มีลวดถักเป็นตาข่ายรัดตัวราชสีห์นั้นไวเพื่อป้องกันไม่ให้ชำรุด แล้วเอาไปตั้งไว้ในศาลา|Temples and elephants : The Narrative of a Journey of Exploration through Upper Siam and Lao}}
เส้น 183 ⟶ 185:
สร้างเมื่อ พ.ศ. 2055 โดยพระเมืองแก้ว ต่อมาเจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ได้ทำการบูรณะพระวิหาร จากหลักฐานภาพเก่า รูปทรงวิหารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เปิดผนังโล่งแบบอาคารโถง (วิหารเปื๋อย) มีแนวผนังระเบียงก่ออิฐฉาบปูนเตี้ยๆ รับกับแนวชายคาด้านนอกสุด โครงสร้างหลังคาเป็นขื่อม้าตั่งไหม หลังคามุงกระเบื้องดินขอ ลดชั้นซ้อนกัน 3 ชั้น ชายหลังคาอ่อนโค้งห่มคลุมลงมาค่อนข้างมาก หน้าบันแกะไม้ประดับลวดลายปูนปั้นในกรอบช่องลูกฟักแบบล้านนา ปลายป้านลมเป็นรูปตัวเหงา ตกแต่งด้วยการแกะสลักไม้ประดับกระจก ผนังวิหารด้านหลังพระประธานเป็นไม้ ปิดตั้งแต่หน้าจั่วลงมาถึงระดับแผงคอสอง รองรับด้วยเสาไม้กลมหรืออาจเป็นเสาก่ออิฐฉาบปูนเขียนลายรดน้ำปิดทองลวดลายพรรณพฤกษา บริเวณขื่อ แป กลอน อกไก่ โครงสร้างไม้หลังคาทั้งหมดภายในอาคารเปิดเปลือย เครื่องไม้ทั้งหมดประดับลายคำน้ำแต้ม ส่วนฐานชุกชีรองรับพระพุทธรูปประธานอยู่ในผังสี่เหลี่ยม ก่ออิฐฉาบปูน มีร่องรอยประดับลวดลายพรรณพฤกษาลงรักปิดทอง แต่ไม่ปรากพระประธาน มีเพียงพระอันดับ 2 องค์ มีแท่นบูชาในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก มีธรรมาสน์ปราสาทสำหรับแสดงธรรม พื้นวิหารฉาบปูน
 
ในบันทึกของคาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ เมื่อมาเยี่ยมชมวัดในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2424-2425 ได้กล่าวถึงวิหารหลวงว่า
 
{{คำพูด|สถานที่ที่หันหน้าตรงกับทางเข้าคือโบสถ์ (ความจริงคือวิหาร) เป็นตึกสร้างใหม่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ มีพระหลายรูปกำลังช่วยกันทาสี ทาน้ำมัน ปิดทองทั้งด้านนอกด้านใน และฝังกระจกสีตามลวดลายที่แกะสลักไว้ตรงหน้าจั่ว โบสถ์นี้สร้างด้วยไม้ทั้งหลังเว้นแต่พื้นซึ่งเป็นหิน และมีเสาไม้สักต้นใหญ่รับน้ำหนักหลังคาอันสูงลิ่วไว้ บนแท่นบูชามีพระพุทธรูปสำริดปางต่างๆ ทางด้านซ้ายของโบสถ์มีตึกหลังเล็กใช้เป็นที่เก็บพระธรรม|Temples and elephants : The Narrative of a Journey of Exploration through Upper Siam and Lao}}