ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การปฏิวัติฝรั่งเศส"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 38:
สำหรับปัจจัยทางการเมือง [[เยือร์เกิน ฮาเบอร์มาส]] นักปรัชญาชาวเยอรมันอธิบายว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของ "พื้นที่สาธารณะ" ที่กำลังเกิดขึ้นในฝรั่งเศสและยุโรปในช่วง ศ.ที่หนึ่ง8<ref>{{cite book|last=Blanning|first=T.C.W.|title=''The French Revolution: Class War or Culture Clash?''|publisher=London: Macmillan|year= 1998|page= 26}}</ref> โดยก่อนหน้านี้ (ศตวรรษที่หนึ่ง7) ฝรั่งเศสมีจารีตประเพณีการปกครองที่แยกชนชั้นปกครองออกจากชนชั้นที่ถูกปกครองอย่างชัดเจน ฝ่ายชนชั้นปกครองของฝรั่งเศสเป็นผู้ยึดกุมพื้นที่สาธารณะอย่างสิ้นเชิง และมุ่งจะแสดงออกถึงอำนาจทางการเมืองผ่านทางวัตถุ โดยการสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะที่ใหญ่โต หรูหรา และมีราคาแพง{{sfn|Blanning|1998|page= 26}} เช่น พระราชวังแวร์ซาย ซึ่งถูกสร้างให้อาคันตุกะต้องมนต์ของความงดงามอลังการ และเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจที่เกรียงไกรของราชอาณาจักรฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่พอถึงศตวรรษที่ 18 ประชาชนเริ่มมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การรู้หนังสือในหมู่ราษฎรมีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจเอกสารสิ่งพิมพ์มีความคึกคัก มีการพบปะพูดคุยและเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารตามร้านกาแฟ ร้านหนังสือพิมพ์ และโรงช่างฝีมือในกรุงปารีส จนเกิดเป็นพื้นที่สาธารณะนอกการควบคุมของรัฐ และมีศูนย์กลางอยู่ที่ปารีสแทนที่จะเป็นแวร์ซาย{{sfn|Blanning|1998|page= 27}} [[กรณีพิพาทบูฟง]] ({{lang|fr|Querelle des Bouffons}}) ในปี 1750 เป็นเหตุการณ์แรก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความเห็นของสาธารณะมีความสำคัญ แม้แต่ในเรื่องรสนิยมทางดนตรีซึ่งเคยเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชนชั้นสูง หลังจากนั้นความเชื่อว่าทัศนะของสาธารณชน (แทนที่จะเป็นราชสำนัก) มีสิทธิที่จะตัดสินปัญหาทางวัฒนธรรมก็พัฒนาไปสู่ความต้องการของสาธารณะที่จะชี้ขาดปัญหาทางการเมืองในเวลาต่อมา
 
==เหตุการณ์ช่วงต้นก่อนการปฏิวัติ==
===วิกฤติการคลัง===
[[ไฟล์:Troisordres.jpg|170px|thumb|ภาพล้อเลียน: ฐานันดรที่สาม (สามัญชน) กำลังแบกฐานันดรที่หนึ่ง (พระ) และฐานันดรที่สอง (ขุนนาง)]]
บรรทัด 47:
นโยบายการปฏิรูปของแนแกร์ถูกต่อต้านและขัดขวางโดยราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ แนแกร์ต้องการตำแหน่งนี้สูงกว่านี้ และร้องขอให้ทรงแต่งตั้งเขาเป็นขุนคลังเอกเต็มตัว พระเจ้าหลุยส์ทรงปฏิเสธ ท้ายที่สุด แนแกร์จึงลาออกในเดือนพฤษภาคม 1781 จนกระทั่งราชสำนักได้มือดีอย่าง[[ชาร์ล อาแล็กซ็องดร์ เดอ กาลอน|อาแล็กซ็องดร์ เดอ กาลอน]] ({{lang|fr|Calonne}}) มาในปี 1783<ref name="Hib35"/> ในช่วงแรกกาลอนมีท่าทีใจกว้างต่อราชสำนัก แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ความเลวร้ายทางด้านการคลัง และเสนอประมวลกฎหมายภาษีฉบับใหม่<ref name="D34">Doyle, ''The French Revolution: A very short introduction'', p. 34</ref> เนื่องจากร่างกฎหมายภาษีฉบับใหม่จะทำให้ขุนนางและพระเสียภาษีที่ดิน จึงตกเป็นที่ต่อต้านโดยสภาอำมาตย์ กาลอนนำเรื่องเข้าสภาอภิชนแต่ถูกต่อต้านและทำให้ตัวกาลอนตกอยู่ในสถานะลำบากเสียเอง เหล่าขุนนางเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนด้วย ดังนั้นสภาที่ควรจะตัดสินเรื่องนี้จึงควรเป็นสภาฐานันดร ({{lang|fr|États généraux}})
 
กาลอนตัดสินใจลาออกในเดือนพฤษภาคม 1787 และผู้มาแทนที่คือ[[เอเตียน ชาร์ล เดอ โลเมนี เดอ บรีแยน|บรีแยน]] ({{lang|fr|Brienne}}) ร่างกฎหมายที่บรีแยนเสนอต่อสภาอภิชน ({{lang|fr|Assemblée des notables}}) นั้นแทบไม่แตกต่างจากของกาลอนเลย ต่างแต่มีการยกเว้นภาษีเหนือที่ดินโบสถ์เท่านั้น แน่นอนว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกตีตกโดยสภาอภิชน บรีแยนพยายามอุทธรณ์ร่างกฎมหายนี้ไปยังสภาอำมาตย์ปารีส แม้ว่าสภาอำมาตย์ปารีสจะเห็นชอบในหลักการ แต่ก็พูดเหมือนสภาอภิชนว่ามีเพียงสภาฐานันดรเท่านั้นที่มีอำนาจผ่านร่างกฎหมายที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดนี้
 
ในเดือนสิงหาคม 1788 พระเจ้าหลุยส์ทรงเรียกแนแกร์มารับตำแหน่งในราชสำนัก เชื่อกันว่าพระนางมารีอ็องตัวแน็ตมีส่วนช่วยให้แนแกร์กลับมามีอำนาจ<ref>[https://books.google.nl/books?id=r7EODAAAQBAJ&printsec=frontcover&dq=john+hardman+the+life+of+louis+xvi&hl=de&sa=X&ved=0ahUKEwjTqtXCvZjgAhXOa1AKHcKHCRoQ6AEIKTAA#v=onepage&q=necker&f=false John Hardman (2016) The life of Louis XVI]</ref> แนแกร์ยืนกรานขอตำแหน่งขุนคลังเอก ({{lang|fr|Contrôleur général des finances}}) พระเจ้าหลุยส์ทรงยอมตามนั้น และยังตั้งแนแกร์เป็นมุขมนตรีแห่งรัฐอีกตำแหน่งหนึ่ง (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี)
บรรทัด 61:
พิธีเปิดสมัยการประชุมจัดขึ้นที่[[พระราชวังแวร์ซาย]]ในวันที่ 5 พฤษภาคม 1789 ที่ประชุมเสนอให้ใช้ระบบลงคะแนนทั้งสภามีเพียงสามเสียง แต่ละฐานันดรมีเพียงหนึ่งเสียง นั่นทำให้ฐานันดรที่สามที่แม้จะมีจำนวนสมาชิกมากสุด แต่กลับมีสิทธิ์ออกเสียงเพียงหนึ่งในสามของสภา วิธีการลงคะแนนนี้ทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางชนะสองฐานันดรแรก ผู้แทนฐานันดรที่สามชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมดังกล่าวและเสนอให้ลงคะแนนแบบหนึ่งคนหนึ่งเสียงแทน แต่ได้รับการปฏิเสธ ผู้แทนฐานันดรที่สามไม่พอใจอย่างมากจึงถอนตัวจากการประชุมและไปตั้งสภาของตนเองแยกต่างหาก
 
===ชนชั้นไพร่ตั้งจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ===
[[ไฟล์:Serment du Jeu de Paume - Jacques-Louis David.jpg|thumb|260px|[[คำปฏิญาณสนามเทนนิส]]]]
ฐานันดรที่สามรวมตัวกันที่โถงเดตาต์ในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจัดตั้งสภาใหม่ที่เรียกว่า [[สมัชชาแห่งชาติ (การปฏิวัติฝรั่งเศส)|สมัชชาแห่งชาติ]] ({{lang|fr|Assemblée nationale}}) พวกเขาร่วมกันประกาศคำยืนยันอำนาจที่เป็นอิสระจากองค์กรอื่น และประกาศว่าสภาของตนเท่านั้นที่มีอำนาจตราหรือแก้ไขกฎหมายภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่สนับสนุนแต่พระและขุนนาง สมัชชาแห่งชาติประกาศยกเว้นการเก็บภาษีเป็นการชั่วคราว เหล่านายทุนเกิดความเชื่อมั่นและให้การสนับสนุนสมัชชาแห่งชาติ
บรรทัด 69:
เมื่อพระเจ้าหลุยส์ทรงยอมรับสถานะของสมัชชาแห่งชาติ ทรงขอให้อีกสองฐานันดรเข้าร่วมประชุมกับสมัชชาแห่งชาติ ไม่นานหลังจากนั้น เกินครึ่งของฐานันดรที่หนึ่งก็ยอมเข้าร่วมประชุมกับสมัชชาแห่งชาติ ขณะที่ผู้แทนฐานันดรที่สองยอมเข้าร่วมเพียง 47 คน ในวันที่ 9 กรกฎาคม สมัชชาแห่งชาติถูกเปลี่ยนชื่อเป็น[[สภาร่างธรรมนูญแห่งชาติ|สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ]] ({{lang|fr|Assemblée nationale constituante}}) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ในองค์กรเดียว<ref name="Hanson2007">{{cite book|author=Paul R. Hanson|title=The A to Z of the French Revolution|url=https://books.google.com/books?id=yYJ4AAAAQBAJ&pg=PR14|date=23 February 2007|publisher=Scarecrow Press|isbn=978-1-4617-1606-8|page=14}}</ref>
 
== เหตุการณ์ช่วงต้นการปฏิวัติ ==
=== การทลายคุกบัสตีย์ ===
{{บทความหลัก|การทลายคุกบัสตีย์}}
เส้น 81 ⟶ 82:
เช้าวันที่ 15 กรกฎาคม พระเจ้าหลุยส์ทราบการทลายคุกจากดยุกเดอลาโรฌฟูโก ทรงถามดยุกว่า ''"เขาจะกบฏกันเหรอ?"'' ดยุกตอบว่า ''"มิได้พะยะค่ะ มิใช่การกบฏ แต่เป็นการปฏิวัติ"''<ref>Guy Chaussinand-Nogaret, ''La Bastille est prise'', Paris, Éditions Complexe, 1988, p. 102.</ref> พระเจ้าหลุยส์กลัวความรุนแรงจากฝูงชน จึงทรงแต่งตั้ง[[ฌีลแบร์ ดูว์ มอตีเย เดอ ลา ฟาแย็ต|นายพล เดอ ลา ฟาแย็ต]] เป็นผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ ({{lang|fr|Garde Nationale}}) เพื่อรักษาความเป็นระเบียบภายใต้อำนาจสภา อีกด้านหนึ่ง ผู้แทนชาวปารีส 144 คนนำโดย[[ฌ็อง ซีลแว็ง บายี]]<ref>[[François Furet]] and Mona Ozouf, eds. ''A Critical Dictionary of the French Revolution'' (1989), pp. 519–28.</ref> ได้จัดตั้งคณะปกครองกรุงปารีสที่ชื่อว่า[[คอมมูนปารีส (การปฏิวัติฝรั่งเศส)|คอมมูนปารีส]] ({{lang|fr|Commune de Paris}}) ถึงจุดนี้ พระเจ้าหลุยส์เสียอำนาจควบคุมเหนือกรุงปารีสไปแล้ว
 
พระเจ้าหลุยส์ทรงเรียกแนแกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม แนแกร์ได้พบกับประชาชนที่[[ออแตลเดอวีล]] ({{lang|fr|l'Hôtel de Ville}}) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงไตรรงค์ แดง-ขาว-น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น เคานต์แห่งอาร์ตัวก็ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ถือเป็นพระญาติองค์แรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์เสด็จเยือนปารีสพร้อมบรรดาสมาชิกสภานับร้อยคนในวันที่ 17 กรกฎาคม พระองค์ยอมรับธงไตรรงค์เป็นธงชาติฝรั่งเศส เกิดความสมานฉันท์ขึ้นชั่วคราว พระองค์ได้รับยกย่องเป็น ''หลุยส์ที่ 16 พระบิดาแห่งฝรั่งเศสและกษัตริย์แห่งเสรีชน''{{sfn|Schama|1989|pp=423-424}}
 
===การเดินขบวนของสตรีสู่แวร์ซายของสตรีแวร์ซาย===
{{main|การเดินขบวนสู่แวร์ซาย}}
 
5 ตุลาคม 1789 ชาวปารีสราว 7,000-9,000 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรี เดินขบวนจากปารีสไปยัง[[พระราชวังแวร์ซาย]]เพื่อเรียกร้องขนมปังจากกษัตริย์ พระเจ้าหลุยส์รับปากว่าจะแจกจ่ายอาหารจากหลังหลวงให้ ทำให้ส่วนหนึ่งเดินทางกลับปารีส แต่ส่วนใหญ่ไม่เชื่อคำสัญญาจึงยังคงปักหลักที่พระราชวัง พระองค์จึงทรงประกาศยอมรับ[[การเลิกระบบฟิวดัลในประเทศฝรั่งเศส|กฤษฎีกาสิงหาคม]] (กฎหมายเลิกระบบศักดินา) และทรงยอมรับประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข วันต่อมาเกิดความรุนแรงขึ้นในพระราชวังและมีการปะทะกันถึงขึ้นขั้นเสียชีวิต [[ฌีลแบร์ ดูว์ มอตีเย เดอ ลา ฟาแย็ต|นายพล เดอ ลา ฟาแย็ต]] ผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ ทูลเชิญพระเจ้าหลุยส์ย้ายไปประทับถาวรยัง[[พระราชวังตุยเลอรี]]ในปารีส เขาหวังว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นหากกษัตริย์อยู่ใกล้ชิดประชาชน ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระเจ้าหลุยส์มีอารมณ์เศร้าหมองเหมือนเป็นอัมพาตทางจิตใจ ราชการแผ่นดินจึงตกอยู่ในการตัดสินใจของราชินี[[มารี อ็องตัวแน็ต]]
 
=== การปฏิรูปครั้งใหญ่ ===
=== การจับกุมองค์กษัตริย์ ณ วาแรน ===
[[ไฟล์:Marquis de Lafayette 1.jpg|150px|thumb|[[ฌีลแบร์ ดูว์ มอตีเย เดอ ลา ฟาแย็ต|นายพล เดอ ลา ฟาแย็ต]]]]
[[ไฟล์:Arrest of Louis XVI and his Family, Varennes, 1791.jpg|260px|thumb|พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และราชินีถูกจับกุม ณ เมืองวาแรน]]
ในเดือนสิงหาคม 1789 [[แอมานุแอล โฌแซ็ฟ ซีเยแย็ส]] กับ[[ออนอเร มีราโบ]] เป็นบุคคลหลักที่ยกร่าง[[ประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง]] ซึ่งปรับเอาจากต้นร่างของ[[ฌีลแบร์ ดูว์ มอตีเย เดอ ลา ฟาแย็ต|นายพล เดอ ลา ฟาแย็ต]] กับ[[ทอมัส เจฟเฟอร์สัน]] ประกาศฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติเมื่อ 26 สิงหาคม 1789 ซึ่งเป็นการรับรองว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาโดยมีสิทธิเท่าเทียมกัน สภายังผ่านมติให้ยกเลิกการถวาย[[ทศางค์]]แก่วัด และบังคับให้อาคารวัดทั้งหมดตกเป็นของรัฐ เพื่อที่รัฐจะนำอาคารเหล่านี้ไปค้ำประกันหนี้สาธารณะ
 
แม้ว่าประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ได้รับการประกาศไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1789 ทว่าสิทธิพิเศษของขุนนางก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้นในวันที่ 19 มิถุนายน 1790 สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติผ่านมติให้ยกเลิกสิทธิพิเศษของขุนนาง แต่อนุญาตให้ขุนนางครองบรรดาศักดิ์ตามเดิม ต่อมาในวันที่ 6 กันยายน 1790 สภาผ่านมติยุบเลิกการปกครองโดยสภาอำมาตย์ ({{lang|fr|parlements}}) ซึ่งมีอยู่ 13 แห่งทั่วประเทศ และแบ่งการปกครองเป็น 83 จังหวัด เพื่อรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
 
นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎหมายที่ชื่อว่า[[ธรรมนูญว่าด้วยบรรพชิต]] ({{lang|fr|Constitution civile du clergé}}) ยุบสังฆมณฑลทั่วประเทศจาก 135 แห่งเหลือเพียง 84 แห่ง ยุบสมณศักดิ์ของนักบวชให้เหลือน้อยลง กำหนดให้นักบวชทั้งหมดในประเทศคือผู้รับเงินเดือนจากรัฐ อยู่ในกำกับของเทศบาลแต่ละแห่ง และบีบบังคับให้นักบวชกล่าวสาบานความภักดีต่อประเทศฝรั่งเศส กฎหมายฉบับนี้ทำให้พระสันตะปาปาทรงพิโรธ และบัญญาห้ามนักบวชในฝรั่งเศสปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ ทำให้นักบวชในฝรั่งเศสแตกแยกเป็นสองฝ่าย
 
=== การจับกุมองค์กษัตริย์เสด็จหนีและถูกจับที่วาแรน ===
[[ไฟล์:Arrest of Louis XVI and his Family, Varennes, 1791.jpg|left|260px|thumb|พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และราชินีอ็องตัวแน็ต ถูกจับกุม ณ เมืองวาแรน]]
{{main|การเสด็จสู่วาแรน}}
มิถุนายน 1791 มีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่า พระนางอ็องตัวแน็ตได้แอบติดต่อกับพระเชษฐา คือ[[จักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]] เพื่อจะให้ทรงยกทัพมาตีฝรั่งเศสและคืนอำนาจให้ราชวงศ์ ฝ่ายพระเจ้าหลุยส์นั้นไม่ได้ทรงพยายามหนีออกนอกประเทศหรือรับความช่วยเหลือ แต่จะทรงหนีไปตั้งมั่นอยู่กับนายพลบุยเล ที่จงรักภักดีและสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังตุยเลอรีในคืนวันที่ 20 มิถุนายน 1791 แต่ทรงถูกจับได้ที่เมือง[[การเสด็จสู่วาแรน|วาแรน]] ในวันต่อมา ส่งผลให้ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพระองค์นั้นลดลงฮวบฮาบ พระองค์ถูกนำตัวกลับมากักบริเวณในกรุงปารีส
 
=== รัฐธรรมนูญร่างเสร็จ===
แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสภาจะนิยม ยังคงปรารถนาระบอบ[[ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ]] มากกว่าระบอบ[[สาธารณรัฐ]]ก็ตาม{{อ้างอิง}} แต่ในขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปกว่าหุ่นเชิด พระองค์ถูกบังคับให้ปฏิญาณตนต่อรัฐธรรมนูญ และให้ยอมรับเงื่อนไขที่ว่า หากกระทำการใด ๆ ที่จะชักนำให้กองทัพต่างชาติมาโจมตีฝรั่งเศส หรือกระทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าพระองค์สละราชสมบัติโดยอัตโนมัติ
 
ขณะเดียวกันนั้น [[ฌัก ปีแยร์ บรีโซ]] ({{lang|fr|Brissot}}) ร่างประกาศโจมตีพระเจ้าหลุยส์ มีสาระสำคัญว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงสละราชสมบัติไปตั้งแต่พระองค์เสด็จหนีจากพระราชวังตุยเลอรีแล้ว{{อ้างอิง}}ยเลอรี ฝูงชนจำนวนมากพยายามเข้ามาในช็องเดอมาร์สเพื่อลงนามในใบประกาศนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สภาขอร้องให้คอมมูนปารีสช่วยรักษาความสงบแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุด กองอารักษ์ชาติภายใต้การบัญชาการของนายพล เดอ ลา ฟาแย็ต เข้ามารักษาความสงบ ฝูงชนได้ปาก้อนหินใส่กองอารักษ์ชาติในช่วงแรก กองอารักษ์ชาติโต้ตอบพยายามห้ามปรามด้วยการยิงขึ้นฟ้าแต่ไม่สำเร็จ นายกเทศมนตรี[[ฌ็อง ซีลแว็ง บายี]] จึงสั่งการให้ยิงปืนใส่ฝูงชน ทำให้ประชาชนตายไปถูกสังหารประมาณ 50 คน{{อ้างอิง}}
 
หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทางการก็ได้ดำเนินการปราบปรามพวกสมาคมสาธารณรัฐนิยมรวมทั้งหนังสือพิมพ์ของพวกนี้อีกด้วย เช่น หนังสือพิมพ์''เพื่อนประชาชน'' ({{lang|fr|L'Ami du Peuple}}) ของ[[ฌ็อง-ปอล มารา]] บุคคลที่มีแนวคิดแบบนี้เช่นมาราและ[[กามีย์ เดมูแล็ง]] ต่างพากันหลบซ่อน ส่วน[[ฌอร์ฌ ด็องตง]] หนีไปอังกฤษ
เส้น 116 ⟶ 125:
 
=== กลุ่มฌีรงแด็งสิ้นอำนาจ กลุ่มลามงตาญครองอำนาจ===
[[ไฟล์:Robespierre.jpg|left|thumb|160px|[[มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์]] ผู้นำ[[ลามงตาญ|กลุ่มลามงตาญ]]]]
วิกฤตการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การจัดตั้ง[[คณะกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม]] ({{lang|fr|Comité de salut public}}) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1793 ซึ่งเป็นคณะบริหารที่ขึ้นตรงต่อสภากงว็องซียงแห่งชาติ{{sfn|Shusterman|2013|pp=271-312}} [[ฌีรงแด็ง|กลุ่มฌีรงแด็ง]]ทำสิ่งผิดมหันต์โดยการฟ้องร้อง[[ศาลอาญาปฏิวัติ]] ให้ลงโทษนาย[[ฌ็อง-ปอล มารา]] ซึ่งเป็นผู้สั่ง[[การสังหารหมู่เดือนกันยายน|การสังหารหมู่เดือนกันยายน 1792]] มาราเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญของชนชั้น[[ซ็อง-กูว์ล็อต|ซ็อง-กูว์ล็อต]] ({{lang|fr|sans-culottes}}) แม้ว่าคดีนี้ถูกยกฟ้อง แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ชนชั้นซ็อง-กูว์ล็อตไม่สนับสนุนกลุ่มฌีรงแด็งอีกต่อไป ในวันที่ 31 พฤษภาคม กลุ่มลามงตาญร่วมมือกับกองอารักษ์ชาติพยายามจะกำจัดกลุ่มฌีรงแด็ง นอกสภามีการยิงปืนใหญ่จากกองอารักษ์ชาติเพื่อข่มขู่สภา ส่วนในสภามีการอภิปรายโจมตีกลุ่มฌีรงแด็ง แต่ความพยายามในวันนี้ก็ไม่สำเร็จ จึงมีการเกณฑ์กองทัพประชาชนเพื่อสร้างความกดดันต่อสภา ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน อาคารสภาถูกปิดล้อมโดยฝูงชนแปดหมื่นคนที่มาเรียกร้องขนมปังราคาถูก, เงินสงเคราะห์ว่างงาน, การปฏิรูปการเมือง ตลอดจนสิทธิ์ในการถอดถอนสมาชิกสภา{{sfn|Schama|1989|p=724}} ในที่สุด กรรมการสิบคนของกลุ่มฌีรงแด็ง รวมถึงบรรดาผู้นำกลุ่มฌีรงแด็ง 31 คนก็ทยอยถูกจับกุมโดยทหารอารักษ์ชาติ จนกระทั่งในวันที่ 10 มิถุนายน [[ลามงตาญ|กลุ่มลามงตาญ]] ({{lang|fr|La Montagne}}) ก็กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในคณะกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม{{sfn|Schama|1989|pp=725-726}}
 
เส้น 122 ⟶ 131:
 
==ผลของการปฏิวัติในช่วงต้น==
===การเลิกระบบฟิวดัล===
{{บทความหลัก|การเลิกระบบฟิวดัลในประเทศฝรั่งเศส}}
 
ปลายเดือนกรกฎาคม 1789 มีรายงานว่าชาวไร่ผู้ก่อจลาจลกำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงปารีสจากทั่วทุกทิศของประเทศ สภาจึงตัดสินใจที่จะปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมเสียใหม่เพื่อหวังลดอุณหภูมิทางการเมืองและจะนำไปสู่การปรองดอง ในคืนวันที่ 11 สิงหาคม 1789 สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติได้มีมติล้มเลิกระบบฟิวดัลทั้งปวง ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และเลิกเอกสิทธิการงดเว้นภาษีของนักบวช รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการประกอบอาชีพ นักประวัติศาสตร์ [[ฟร็องซัว ฟูเร]] ({{lang|fr|François Furet}}) ระบุต่อเหตุการณ์นี้ไว้ว่า:
 
{{quote|''"สังคมแบบเจ้าขุนมูลนายตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุด ถูกพวกเขาทำลายไปพร้อมอภิสิทธิ์และโครงสร้างที่ว่าคนต้องมีสังกัด พวกเขาแทนที่โครงสร้างเหล่านี้ด้วยสิ่งที่ใหม่กว่า นั่นคือความเป็นปัจเจกบุคคล มีเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย...ดังนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติในช่วงแรก คือความเชื่อแบบปัจเจกนิยมจากระดับรากฐาน"''<ref>Furet, ''Critical Dictionary of the French Revolution,'' p. 112</ref>}}
 
เขตการปกครองของสภาอำมาตย์ ({{lang|fr|parlements}}) ทั้ง 13 แห่งทั่วประเทศถูกระงับในเดือนพฤศจิกายน 1789 และล้มเลิกอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 1790 สถาบันเสาหลักแบบเก่าถูกโค่นล้มลงทั้งหมด
 
=== ประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ===
[[ไฟล์:Declaration of the Rights of Man and of the Citizen in 1789.jpg|250px|thumb|[[ประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง]]]]
บรรทัด 139:
ในขณะนั้นมีข่าวลือในหมู่ประชาชนว่าจะมีการยึดอำนาจคืนของฝ่ายนิยมระบอบเก่าเมื่อชาวปารีสรู้ข่าวก็มีการตื่นตัวกันขนานใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวปารีสซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิงได้[[การเดินขบวนสู่แวร์ซาย|เดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซาย]] และเชิญพระเจ้าหลุยส์พร้อมทั้งราชวงศ์มาประทับในกรุง[[ปารีส]] ในวันที่ 5-6 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยมีสมาชิกสภาร่างธรรมนูญที่อนุรักษนิยมตามเสด็จกลับกรุงปารีสด้วย สำหรับสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกที่หัวก้าวหน้าเป็นส่วนมาก แต่มีภารกิจสำคัญอันดับแรกของสภาคือการดำรงสถาบันกษัตริย์ไว้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น
 
===การเลิกระบบฟิวดัล=เจ้าขุนมูลนาย==
=== การปฏิรูปครั้งใหญ่ ===
{{บทความหลัก|การเลิกระบบฟิวดัลในประเทศฝรั่งเศส}}
 
ปลายเดือนกรกฎาคม 1789 มีรายงานว่าชาวไร่ผู้ก่อจลาจลกำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงปารีสจากทั่วทุกทิศของประเทศ สภาจึงตัดสินใจที่จะปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมเสียใหม่เพื่อหวังลดอุณหภูมิทางการเมืองและจะนำไปสู่การปรองดอง ในคืนวันที่ 11 สิงหาคม 1789 สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติได้มีมติล้มเลิกระบบฟิวดัลเจ้าขุนมูลนายทั้งปวง ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และเลิกยกเลิกเอกสิทธิได้รับการงดเว้นภาษีของนักบวช รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการประกอบอาชีพ นักประวัติศาสตร์ [[ฟร็องซัว ฟูเร]] ({{lang|fr|François Furet}}) ระบุต่อเหตุการณ์นี้ไว้ว่า: ''"สังคมแบบเจ้าขุนมูลนายตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุด ถูกพวกเขาทำลายไปพร้อมอภิสิทธิ์และโครงสร้างที่ว่าคนต้องมีสังกัด พวกเขาแทนที่โครงสร้างเหล่านี้ด้วยสิ่งที่ใหม่กว่า นั่นคือความเป็นปัจเจกบุคคล มีเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย...ดังนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติในช่วงแรก คือความเชื่อแบบปัจเจกนิยมจากระดับรากฐาน"''<ref>Furet, ''Critical Dictionary of the French Revolution,'' p. 112</ref>
 
เขตการปกครองของสภาอำมาตย์ ({{lang|fr|parlements}}) ทั้ง 13 แห่งทั่วประเทศถูกระงับในเดือนพฤศจิกายน 1789 และล้มเลิกอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 1790 สถาบันเสาหลักแบบเก่าถูกโค่นล้มลงทั้งหมด
 
=== การปฏิรูปที่สำคัญ ===
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี 1789 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
* ตำแหน่งต่าง ๆ ในราชการไม่สามารถตกทอดไปยังลูกหลาน