ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย"
หน้าใหม่: '''ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย''' เป็นเอกสารซึ่งออกโดยกรมการขน... ป้ายระบุ: เพิ่มรายการยาว |
(ไม่แตกต่าง)
|
รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:49, 7 มิถุนายน 2564
ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย เป็นเอกสารซึ่งออกโดยกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม หรือกรมการขนส่งทหารบก ให้แก่บุคคลซึ่งมีความสามารถในการควบคุมยานพาหนะได้อย่างปลอดภัย ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทยควบคุมโดยกฎหมายสองฉบับ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522[1] และ พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522[2] โดยมีกฎจราจรตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522[3]
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก เอกสารซึ่งอนุญาตให้บุคคลทำการควบคุมยานพาหนะให้เคลื่อนไปในถนนเรียกว่า ใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งกฎหมายอีกสามฉบับเรียกแตกต่างกัน กล่าวคือ พระราชบัญญัติรถยนต์ เรียกใบอนุญาตขับขี่ว่า ใบอนุญาตขับรถ พระราชบัญญัติการขนส่งทางบกเรียกว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ส่วนพระราชบัญญัติรถยนต์ทหาร ใช้ว่า ใบอนุญาตพิเศษสำหรับขับรถยนต์ทหาร ในบทความนี้ จะใช้คำ ใบอนุญาตขับขี่ เป็นหลัก
ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทยต่างจากใบอนุญาตขับขี่ในประเทศตะวันตกบางประเทศ กล่าวคือ การฝึกหัดขับรถยนต์ไม่จำต้องมีใบอนุญาตฝึกขับรถยนต์ แต่เมื่อขับขี่จนชำนาญและสามารถผ่านท่าทดสอบจำนวน 3 ท่า ซึ่งกรรมการทดสอบเป็นผู้เลือกแล้ว จะได้รับในอนุญาตขับขี่ชั่วคราวหรือใบอนุญาตขับขี่จำกัดสิทธิ์ก่อนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แล้วจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตขับรถเต็มรูปแบบซึ่งต้องต่ออายุทุก ๆ 5 ปี หากปรากฏว่าต่อมาผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ถูกลงโทษเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ต้องให้พ้นระยะเวลาสามปีนับแต่วันถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ จึงจะสามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่อีกครั้งได้ โดยต้องเริ่มจากการขอใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวใหม่[4]
การขอรับใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย
ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายพลเรือน ต้องเตรียมเอกสารแสดงตน คือ บัตรประจำตัวประชาชน สำหรับคนไทย หรือ หนังสือเดินทางพร้อมหนังสือแสดงถิ่นที่อยู่สำหรับคนต่างด้าว (หนังสือแสดงถิ่นที่อยู่ ในที่นี้อาจเป็นใบอนุญาตทำงานหรือหนังสือรับรองจากตรวจคนเข้าเมืองท้องที่ก็ได้ นอกจากนี้จะต้องเตรียมใบรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบันว่าไม่มีโรคที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ ในขณะที่ประเทศยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา อาทิ รัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์[5][6]
เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ผู้ขอจะต้องติดต่อกับสำนักงานขนส่งในเขตพื้นที่ ๆ ตนมีถิ่นที่อยู่หรือสำนักงานอื่นที่สะดวกในการเดินทาง แล้วทำการทดสอบสายตาและปฏิกิริยาดังนี้[7][8]
- การทดสอบสายตาทางลึก หรือการทดสอบความไวต่อความสว่าง เครื่องมือทดสอบจะเป็นกล่องมีช่องเปิด ภายในมีแท่งวัตถุสองแท่ง แท่งหนึ่งอยู่ด้านขวามือยึดแน่นมีไฟส่องสว่าง อีกแท่งอยู่ด้านซ้ายมือเคลื่อนที่ได้ ผู้ทดสอบจะต้องกดปุ่มขยับแท่งด้านซ้ายจนกระทั่งความสว่างเท่ากับแท่งด้านขวามือ
- การทดสอบปฏิกิริยา ผู้ทดสอบจะต้องใช้เท้ากดคันเร่งค้างจนกระทั่้งเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นแดง ก็ให้รีบชักเท้ามายังแป้นห้ามล้อโดยเร็ว
- การทดสอบสายตาบอดสี สำนักงานขนส่งจะใช้สัญญาณไฟสีจราจรเปิดตามที่เจ้าหน้าที่กำหนดแล้วให้ผู้ทดสอบตอบ สำนักงานขนส่งบางแห่งจะใช้แผ่นทดสอบให้เจ้าหน้าที่ชี้ไปที่จุดสีแล้วให้ผู้ทดสอบตอบ
- การทดสอบสายตาทางกว้าง ผู้ทดสอบจะต้องวางใบหน้าแนบกับตัวเครื่อง เบิกตากว้าง แล้วเจ้าหน้าที่จะกดไฟ
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การทดสอบจะมีเฉพาะการใช้แผ่นทดสอบมาตรฐานที่จักษุแพทย์ใช้ ส่วนในสหราชอาณาจักร จะมีเฉพาะการทดสอบสายตาอย่างเดียว คือต้องสามารถอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ที่จอดนิ่งได้ในระยะ 20 เมตร และต้องสามารถเห็นอันตราย (โดยการทดสอบผ่านคอมพิวเตอร์) ทั้งนี้ ไม่มีการทดสอบสายตาบอดสี
เมื่อทดสอบสายตาและปฏิกิริยาผ่านแล้ว จึงเป็นขั้นตอนการอบรมภาคทฤษฎี ตามด้วยการสอบภาคทฤษฎี และสอบภาคปฏิบัติตามลำดับ โดยสำนักงานขนส่งแต่ละแห่งอาจสลับลำดับการดำเนินการเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสม เช่น อาจให้สอบภาคปฏิบัติก่อนแล้วจึงสอบภาคทฤษฎี
ในกรณีของรถยนต์ทหาร[9] จะต้องให้หน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไปทำเรื่องส่งตัวผู้ที่ประสงค์จะมีใบอนุญาตขับขี่ไปทำการทดสอบ ณ กรมการขนส่งทหารบก หรือกรมการขนส่งเหล่าทัพอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะใบอนุญาตขับขี่จะไปติดต่อเองไม่ได้โดยตรง ในทางปฏิบัติผู้ที่เป็นพลขับมักจะคัดเลือกจากผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายพลเรือนมาก่อนแล้ว
การสอบภาคปฏิบัติ ประเทศไทยใช้ระบบการทดสอบเป็นสถานี ไม่ได้ใช้การทดสอบกลางถนนเช่นประเทศแถบยุโรป ทั้งนี้เพราะสภาพของบางท้องที่อาจไม่เหมาะสม ในกรณีของรถยนต์ รถยนต์สามล้อ รถขนส่ง และรถยนต์ทหาร จะมีการทดสอบดังนี้ โดยกำหนดให้ทดสอบทั้งสิ้น 3 ท่า ยกเว้นรถยนต์ทหารใช้ 4 ท่า
ท่าทดสอบ | รถยนต์และรถยนต์สามล้อ (ตาม พ.ร.บ.รถยนต์) | รถขนส่ง (ตาม พ.ร.บ. การขนส่งทางบก) | รถยนต์ทหาร (ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ทหาร) |
---|---|---|---|
การเดินหน้าและหยุดรถเทียบทางเท้า | บังคับ | เลือก | ไม่ใช้ |
การขับรถเดินหน้าและถอยหลังในทางตรง | บังคับ | เลือก | บังคับ |
การขับรถถอยหลังเข้าจอดและออกจากช่องว่างด้านซ้าย (ถอยหลังเข้าซอง) | เลือก | บังคับ | บังคับ |
การกลับรถ | ไม่ใช้ | เลือก | ไม่ใช้ |
การหยุดรถและออกรถบนทางลาด | เลือก (เกียร์อัตโนมัติไม่ใช้) | เลือก | บังคับ |
การขับรถเดินหน้าเข้าจอดในช่องที่เป็นมุมฉาก | เลือก | เลือก | ไม่ใช้ |
การขับรถโดยปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร | เลือก | เลือก | บังคับ |
เพื่อลดความยุ่งยาก สำนักงานขนส่งส่วนใหญ่จะผสมท่าบังคับตามระเบียบรถยนต์และรถขนส่งเข้าด้วยกัน คือ
- การเดินหน้าและหยุดรถเทียบทางเท้า
- การขับรถเดินหน้าและถอยหลังในทางตรง
- การขับรถถอยหลังเข้าจอดและออกจากช่องว่างด้านซ้าย
ส่วนรถจักรยานยนต์ ให้ใช้ท่าทดสอบดังนี้
- ขับรถโดยปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร (บังคับ)
- ขับรถบนทางตรงแคบ (เลือก)
- ขับรถบนทางโค้งรัศมีแคบรูปตัวแซด (เลือก)
- ขับรถผ่านทางโค้งซ้ายและโค้งขวารูปตัวเอส (เลือก)
- ขับรถหลบหลีกสิ่งกีดขวาง (เลือก)
โดยมากนิยมใช้ท่าที่ 1 2 และ 4 เป็นท่าทดสอบ
ชนิดของใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย
ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดเล็ก
ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ใบอนุญาตขับขี่มีหลายชนิด[1] ผู้เริ่มขอมีใบอนุญาตขับขี่จะต้องรับการฝึกศึกษาในโรงเรียนการขนส่ง หรือโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมง แล้วจึงเข้ารับการทดสอบที่โรงเรียนฯ เมื่อผ่านการทดสอบแล้วจะได้รับหนังสือรับรองเพื่อนำไปขอรับใบอนุญาตขับขี่ที่สำนักงานขนส่งอีกต่อหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งคือ ผู้ขอมีใบอนุญาตขับขี่ฝึกขับรถกับผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี (ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์) หรือครูสอนขับรถ โดยห้ามมิให้มีบุคคลอื่นอยู่ในรถนอกจากผู้ขับและผู้ควบคุม เมื่อชำนาญดีแล้วจึงเข้ารับการอบรมภาคทฤษฎี และสอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่สำนักงานขนส่ง วิธีการนี้จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีแรก แต่มีข้อเสียคือ หากสอบตกภาคปฏิบัติท่าหนึ่งจะต้องนัดสอบในสามวันทำการถัดไปเป็นอย่างน้อยเฉพาะท่าที่ตก ทำให้เสียเวลามาก ในชั้นนี้ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่จะได้ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราว ซึ่งแบ่งออกเป็น
- ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว (ค่าธรรมเนียม 205 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อชั่วคราว (ค่าธรรมเนียม 105 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราว (ค่าธรรมเนียม 105 บาท)
ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมีอายุสองปี และเป็นใบอนุญาตขับขี่ประเภทจำกัดสิทธิ์ คือ ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดจากที่ต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของเลือด จะลดลงเหลือ 20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของเลือด[10] อีกทั้งไม่สามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศได้ ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่รถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 105 ซีซี ก็ให้ลดเหลือ 15 ปีบริบูรณ์ได้ ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 60 วัน หากผู้ถือใบอนุญาตขับขี่จักรยานยนต์ชั่วคราวยังมีอายุน้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์ก็ยังคงได้รับใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวต่อไป
เมื่อผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และได้ถือใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (สำนักงานขนส่งบางแห่งอาจให้ถือจนครบสองปี) ก็สามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลเต็มรูปได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น[11]
- ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล (ค่าธรรมเนียม 505 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล (ค่าธรรมเนียม 255 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ค่าธรรมเนียม 255 บาท)
ใบอนุญาตขับขี่เต็มรูปมีอายุห้าปี และสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือน[12] ผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลอาจขอมีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศเพื่อใช้เป็นการชั่วคราวในต่างประเทศได้
หากผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ประสงค์จะขับขี่เพื่อสินจ้าง จำเป็นต้องขอใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ ซึ่งจะมีขั้นตอนการตรวจประวัติอาชญากรเพิ่มเติมนอกเหนือจากการทดสอบปกติ เป็นเหตุให้ใช้เวลามากขึ้น ใบอนุญาตขับขี่สาธารณะแบ่งออกเป็น
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (ค่าธรรมเนียม 305 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ (ค่าธรรมเนียม 155 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ (ค่าธรรมเนียม 155 บาท)
ใบอนุญาตขับขี่สาธารณะมีอายุสามปี และสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือน สามารถใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลเพื่อขับรถในประเภทเดียวกันได้ และมีสิทธิ์ขอรับใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศได้
นอกจากรถยนต์ รถยนต์สามล้อ และรถจักรยานยนต์ ยังมีใบอนุญาตขับขี่ประเภทอื่น ๆ คือ
- ใบอนุญาตขับรถบดถนน (อายุ 3 ปี ค่าธรรมเนียม 255 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์(อายุ 3 ปี ค่าธรรมเนียม 255 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถประเภทอื่น ๆ (ค่าธรรมเนียม 105 บาท)
- ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ (ค่าธรรมเนียม 505 บาท)
ใบอนุญาตในหมวดนี้ (ยกเว้นใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ) ไม่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมาก่อน แต่โดยมากนายทะเบียนมักกำหนดให้ต้องมีก่อนอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ขับขี่จะควบคุมยานพาหนะได้อย่างปลอดภัย
ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่
ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ใบอนุญาตขับขี่มี 8 ชนิด คือ[2][ม 1]
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่หนึ่ง ทุกประเภท (หรือสาธารณะ) เรียกย่อว่า ท.1 ใช้ขับรถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,500 กิโลกรัมหรือบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 20 คน ต้องมีอายุตั้งแต่ 22 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สอง ทุกประเภท (หรือสาธารณะ) เรียกย่อว่า ท.2 ใช้ขับรถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนักรวมเกิน 3,500 กิโลกรัมหรือบรรทุกคนโดยสารเกิน 20 คน ต้องมีอายุตั้งแต่ 22 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สาม ทุกประเภท (หรือสาธารณะ) เรียกย่อว่า ท.3 ใช้ขับรถยนต์ลากจูง ต้องมีอายุตั้งแต่ 22 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สี่ ทุกประเภท (หรือสาธารณะ) เรีกย่อว่า ท.4 ใช้ขับรถยนต์บรรทุกวัตถุอันตราย ต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่หนึ่ง เฉพาะส่วนบุคคล เรียกย่อว่า บ.1 คล้ายกับ ท.1 แต่ใช้ได้เฉพาะการขนส่งส่วนบุคคล (ป้ายดำ) ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สอง เฉพาะส่วนบุคคล เรียกย่อว่า บ.2 คล้ายกับ ท.2 แต่ใช้ได้เฉพาะการขนส่งส่วนบุคคล (ป้ายดำ) ต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สาม เฉพาะส่วนบุคคล เรียกย่อว่า บ.3 คล้ายกับ ท.3 แต่ใช้ได้เฉพาะการขนส่งส่วนบุคคล (ป้ายดำ) ต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
- ใบอนุญาตขับขี่ชนิดที่สี่ เฉพาะส่วนบุคคล เรีกย่อว่า บ.4 คล้ายกับ ท.4 แต่ใช้ได้เฉพาะการขนส่งส่วนบุคคล (ป้ายดำ) ต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ไม่จำเป็นต้องขอมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวก่อน แต่ในทางปฏิบัติแล้วมักกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวหรือใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมาก่อน ใบอนุญาตขับยขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ประเภท ท. จะต้องมีการสอบประวัติอาชญากร ในขณะที่ประเภท บ. ไม่ต้องมีการสอบประวัติอาชญากร
ใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายทหาร
ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ทหาร พ.ศ.2479 ใบอนุญาตขับขี่ หรือใบอนุญาตพิเศษสำหรับขับรถยนต์ทหารแบ่งออกเป็น 7 ชนิด ดังนี้[13]
- ชนิดที่ 1 รถยนต์สายพานใช้คันบังคับ
- ชนิดที่ 2 รถยนต์สายพานหรือกึ่งสายพานที่ใช้พวงมาลัยบังคับ หรือรถยนต์ไม่น้อยกว่า 3 ล้อ บรรทุกน้ำหนักเกินกว่า 2 ตัน
- ชนิดที่ 3 รถยนต์ไม่น้อยกว่า 3 ล้อ บรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 2 ตัน (เทียบเคียง ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล)
- ชนิดที่ 4 รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง
- ชนิดที่ 5 รถจักรยานยนต์พ่วงท้าย
- ชนิดที่ 6 รถจักรยานยนต์ธรรมดา (เทียบเคียง ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล)
- ชนิดที่ 7 รถทุุกประเภทที่กล่าวมานี้ (เทียบเคียง ใบอนุญาตขับรถทุกประเภท ชนิดที่ 4 ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก)
ใบอนุญาตขับขี่ในอดีต
ตามพระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ.2478[14] ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับซึ่งไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ.2546 [15] ผู้ขับขี่และลากเข็นล้อเลื่อน อาทิ รถจักรยานเท้าถีบ รถลาก รถเข็น ยกเว้นเกวียน จะต้องได้รับใบอนุญาตขับขี่ก่อน หากจะฝึกหัดขับขี่ก็ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
หมายเหตุ
- ↑ ตามมาตรา 95 บัญญัติว่ามี 4 ชนิด แต่ในทางปฏิบัติแยกย่อยได้ 8 ชนิด
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522
- ↑ 2.0 2.1 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กําหนดเงื่อนไขในการพิจารณาการออกใบอนุญาตขับรถ สําหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ๒๕๕๘
- ↑ DRIVER’S LICENSE / ID CARD APPLICATION
- ↑ UK Government, Identity documents needed for a driving licence application
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอบรมและทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ และผู้ขอรับบัตรประจําตัวคนขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2554
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการศึกษาอบรมและทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถ พ.ศ. 2547
- ↑ ขั้นตอนในการขอสอบใบอนุญาตพิเศษสำหรับขับขี่รถยนต์ทหาร
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๖๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ.2546 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม
- ↑ ขนส่งฯ ขยายเวลาขอต่ออายุใบขับขี่ 3 เป็น 6 เดือน ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้ จาก สยามรัฐ
- ↑ ข้อบังคับทหารว่าด้วยการใช้รถยนต์ทหาร
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ.2478
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับซึ่งไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ.2546