ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แดน บราวน์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนกลับไปรุ่นที่ 8317476 โดย Kinkku Ananas: ลิงก์ขายของด้วยสจห.
ป้ายระบุ: ทำกลับ
Anonimeco (คุย | ส่วนร่วม)
ปรับปรุงบางส่วน
บรรทัด 14:
| father =
| mother =
| spouse = ไบลธ์ นิวลอน (สมรส พ.ศ. 25402540–2562)
| period =
| genre = ลึกลับ, ระทึกขวัญ, อิงประวัติศาสตร์
| subject =
| movement =
| debut_works = ''[[ล่ารหัสมรณะ]]'' (พ.ศ. 2546)
| notable_works = ''[[รหัสลับดาวินชี]]''
| notable_awards =
บรรทัด 33:
 
== ประวัติ ==
แดน บราวน์เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โตในเมืองเอ็กซีเตอร์ [[รัฐนิวแฮมป์เชียร์]] [[สหรัฐอเมริกา]] เป็นบุตรคนโตในพี่น้อง 3 คน คอนสแตนซ์ บราวน์ (นามสกุลเดิม เกอร์ฮาร์ด) มารดาเป็นนักดนตรีอาชีพ เล่นดนตรีในโบสถ์<ref บิดาname=LisaRogakBiography>Rogak, Lisa (May 7, 2013). [https://books.google.com/books?id=Yn2TTwgPHCcC&pg=PA6&lpg=PA6&dq=Dan+Brown,+Constance+Gerhard&source=bl&ots=sROzxaz43j&sig=JBgRW6cqgB_P3trFfDplpTeBGEo&hl=en&sa=X&ved=0ahUKEwjK5ZPNzLvVAhXo7oMKHQDWDDkQ6AEISTAF#v=onepage&q=DanBrown%2CConstanceGerhard&f=false ''Dan Brown: The Unauthorized Biography''], [[St. Martin's Press]]. pp. 6-8. Archived at [[Google Books]]; retrieved August 3, 2017.</ref> ส่วนริชาร์ด จี. บราวน์ บิดาเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยม Phillips Exeter Academy<ref name=kaplan>{{cite news|url=http://www.parade.com/news/2009/09/13-dan-brown-life-after-da-vinci-code.html|title=Life after 'The Da Vinci Code'|date=September 13, 2009|magazine=[[Parade (magazine)|Parade]]|author=Kaplan, James}}</ref>
 
เนื่องจาก Phillips Exeter Academy ต้องการให้อาจารย์ใหม่อาศัยในตัวโรงเรียนด้วย ครอบครัวของเขาจึงอาศัยที่โรงเรียนนั้น และเป็นสถานศึกษาระดับมัธยมของบราวน์
 
บราวน์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Amherst College and Phillips Exeter Academy เอกสาขาภาษาสเปนและอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2529<ref>[http://www.amherst.edu/aboutamherst/news/campusbuzz/node/512982 "Bestselling authors Dan Brown '86, Charles Mann '76 to speak Thursday"], amherst.edu, September 24, 2013.</ref> หลังจบการศึกษา เขาผันตัวมาเป็นนักดนตรีสมัครเล่น ทำอัลบั้มเพลงสำหรับเด็กขายได้ไม่กี่ร้อยแผ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 เขาก็ย้ายไป[[ลอสแอนเจลิส]] เข้าทำงานกับวิทยาลัยประพันธ์เพลงแห่งชาติ และได้พบกับ ไบลธ์ นิวลอน (Blythe Newlon) รุ่นพี่หญิงที่มีอายุกว่าเขา 12 ปี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการแผนกพัฒนาศิลปินของวิทยาลัย แม้งานไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่นิวลอนก็ช่วยโปรโมตงานต่าง ๆ ของบราวน์ จนพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นความรักโดยคนรอบตัวไม่ทราบ บราวน์แต่งงานกับนิวลอนในปี พ.ศ. 2540 ก่อนจะหย่าร้างในปี พ.ศ. 2562<ref name="divorce">{{cite news |last1=CASEY |first1=MICHAEL |title=Ex-wife of 'Da Vinci Code' author Dan Brown alleges he led a double life |url=https://www.boston.com/culture/local-news/2020/06/30/author-dan-brown-ex-wife-lawsuit |access-date=July 1, 2020 |agency=AP |date=June 30, 2020}}</ref>
 
พ.ศ. 2536 บราวน์ย้ายกลับมานิวแฮมป์เชียร์บ้านเกิดพร้อมนิวลอน ที่นั่น บราวน์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ณ โรงเรียนเก่าและสอนภาษาสเปนให้นักเรียนเกรด 6-8<ref>{{cite web|url=http://www.eduinreview.com/blog/2011/10/dan-browns-education-background|title=Dan Brown's Education Background|website=www.eduinreview.com}}</ref> จน พ.ศ. 2537 เขาหันมาเป็นนักเขียน เมื่อเขาไปพักผ่อนที่[[ตาฮิติ]] และได้อ่านนิยายเรื่อง ''[[แผนโลกาวินาศ]]'' (''The Doomsday Conspiracy'') ผลงานของ[[ซิดนีย์ เชลดอน]] (Sidney Sheldon)<ref และเขาคิดว่าเขาสามารถเขียนเรื่องได้ดีกว่าname=witness>{{cite news|author=Lattman, Peter|url=https://blogs.wsj.com/law/2006/03/14/the-da-vinci-code-authors-witness-statement-is-a-great-read|title='The Da Vinci Code' Trial: Dan Brown's Witness Statement Is a Great Read|work=Wall Street Journal|date=March 14, 2006|access-date=November 13, 2011}}</ref><ref>{{cite news|title=Decoding the Da Vinci Code author|date=August 10, 2004|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/3541342.stm|publisher=BBC|access-date=May 18, 2009}}</ref> นั่นเป็นจุดกำเนิดให้เขาลงมือเขียนนิยายเรื่องแรกของเขา ''[[ล่ารหัสมรณะ]]'' (''Digital Fortress'') และในปีเดียวกัน บราวน์ได้ออกซีดีเพลงในชื่อ "Angels & Demons" ซึ่งภาพหน้าปกอัลบั้มเป็นภาพ[[แอมบิแกรม]] ฝีมือศิลปินนาม [[จอห์น แลงดอน]] (John Langdon) ที่ภายหลังชื่ออัลบั้มกลายเป็นชื่อนิยายเล่มที่สองของเขา ''[[เทวากับซาตาน]]'' (''Angels & Demons'') และได้นำเอาชื่อศิลปินที่วาดภาพปกอัลบั้มมาเป็นชื่อตัวละครเอกของเรื่อง
 
พ.ศ. 2539 บราวน์เลิกสอนและกลายมาเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว บราวน์และนิวลอนสมรสในปี พ.ศ. 2540 ปีต่อมา ผลงานนิยายเล่มแรกของเขา ''ล่ารหัสมรณะ'' ก็เสร็จสมบูรณ์และได้จัดพิมพ์ จากนั้นเขาออก ''เทวากับซาตาน'' ในปี พ.ศ. 2543 และ ''[[แผนลวงสะท้านโลก]]'' (''Deception Point'') ในปี พ.ศ. 2544
 
ผลงาน 3 เรื่องแรก ''ล่ารหัสมรณะ'', ''เทวากับซาตาน'' และ ''แผนลวงสะท้านโลก'' ขายได้น้อยกว่าหมื่นเล่มในการพิมพ์ครั้งแรก จนออก ''[[รหัสลับดาวินชี]]'' (''The Da Vinci Code'') ในปี พ.ศ. 2546 หนังสือนี้กลายเป็นหนังสือติดอันดับหนังสือขายดีของ[[นิวยอร์กไทมส์]]ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเป็นหนังสือขายดีตลอดกาลเล่มหนึ่ง ด้วยยอดขาย 60.581 ล้านเล่มทั่วโลกในปีนี้ พ.ศ. 2552<ref>{{อ้างอิงcite web|url=https://www.wsj.com/articles/SB114799749952457278|title=Holy Sepulchre! 60 Million Buy 'The Da Vinci Code'|last=Henninger|first=Daniel|date=19 May 2006|website=WSJ|language=en-US|access-date=18 February 2019|url-access=subscription }}</ref> และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งส่งผลให้ผลงาน 3 เรื่องแรกของบราวน์กลับมามียอดจำหน่ายสูงอีกครั้ง และผลงานเรื่อง ''เทวากับซาตาน'' ก็ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ตามมา ออกฉายในปี พ.ศ. 2552 ต่อมา บราวน์มาบราวน์ได้ออกผลงานเรื่องใหม่ชื่อ ''[[สาส์นลับที่สาบสูญ]]'' (''The Lost Symbol'') วางจำหน่ายในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน
 
ในปี พ.ศ. 2556 บราวน์ออกผลงานในชุด ''โรเบิร์ต แลงดอน'' เล่มที่ 4 ชื่อ ''[[สู่นรกภูมิ]]'' (''Inferno'') ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 บราวน์ออกผลงานชื่อ ''[[ออริจิน (หนังสือ)|ออริจิน]]'' (''Origin'') ซึ่งเป็นนิยายเล่มที่ 5 ในชุด ''โรเบิร์ต แลงดอน''
 
== ผลงาน ==