ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เมืองเสมา"
ร้อยตรี โชคดี (คุย | ส่วนร่วม) หน้าใหม่: {{Infobox ancient site | name = เมืองเสมา | native_name = | native_name_lang = | alternate_name = | image = Muang Sema-002.jpg... |
(ไม่แตกต่าง)
|
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:00, 15 เมษายน 2564
เมืองเสมา เป็นเมืองโบราณอยู่ห่างจากอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตร คาดว่ามีการอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และต่อมาเป็นเมืองโบราณร่วมสมัยวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร
โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นหนึ่งในโบราณสถานภายในเมืองเสมา | |
ที่ตั้ง | ตำบลเสมา, จังหวัดนครราชสีมา, ประเทศไทย |
---|---|
พิกัด | 14°55′21.5″N 101°47′57.2″E / 14.922639°N 101.799222°Eพิกัดภูมิศาสตร์: 14°55′21.5″N 101°47′57.2″E / 14.922639°N 101.799222°E |
ประเภท | โบราณสถาน |
ความเป็นมา | |
วัสดุ | อิฐ |
สร้าง | พุทธศตวรรษที่ 10 |
ละทิ้ง | พุทธศตวรรษที่ 18 |
สมัย | เริ่มประวัติศาสตร์ ทวารวดี เขมร |
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่ | |
ขุดค้น | พ.ศ. 2533 |
ผู้ขุดค้น | กรมศิลปากร |
ลักษณะทางกายภาพของเมืองนั้นมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ แผนผังเมืองเป็นรูปกลมรีไม่สม่ำเสมอ มีกำแพงเมืองชั้นเดียว ลำน้ำสำคัญที่ไหลผ่าน คือ ลำตะคองซึ่งไหลผ่านทางทิศใต้ของเมือง และห้วยไผ่ไหลผ่านทางทิศตะวันตกของเมือง เมืองเสมามีลักษณะการสร้างเมืองซ้อนกันสองชั้น เรียกว่า เมืองนอก–เมืองใน
ในปี พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2542 กรมศิลปากรได้ดำเนินการสำรวจและขุดค้นเมืองเสมา พบโบราณสถานที่ตั้งอยู่ภายในเขตเมืองชั้นในและในเขตเมืองชั้นนอกจำนวน 11 แห่ง[1]: 9–15 ส่วนใหญ่เป็นซากวิหารที่สร้างโดยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน และศาสนาพราหมณ์ ฝ่ายไศวนิกาย ที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร
ลักษณะทางกายภาพ
คูน้ำและคันดิน
เมืองเสมามีคูน้ำคันดิน ซึ่งมีความยาวจากด้านทิศเหนือไปทิศใต้ ประมาณ 1,700 เมตร และจากด้านทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ประมาณ 1,500 เมตร กำแพงหรือคันดินสูงเฉลี่ย 3-4 เมตร คูน้ำกว้างประมาณ 10-20 เมตร
สภาพคูน้ำคันดินของเมืองเสมาสามารถสังเกตเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคูน้ำคันดินของเมืองชั้นใน บริเวณคันดินและริมคูน้ำมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่นเป็นบางช่วง คูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกมีน้ำขังอยู่ ส่วนคูเมืองด้านทิศเหนือของเมืองชั้นในมีสภาพตื้นเขินเป็นบางช่วงแนวคันดินทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกสังเกตเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเนื่องจากมีชาวบ้านมาจับจองพื้นที่อยู่อาศัย ไถดินเพื่อทำการเพาะปลูก และมีการตัดถนนผ่าน
ศาสนสถาน
ศาสนาพุทธ
ภายในเมืองเสมาพบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธแสดงให้เห็นถึงการรับอิทธิพลศาสนาพุทธจากเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลาง และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธคงเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 13 เป็นต้น[2]: 108 โดยพบศาสนาสถานกระจายอยู่ภายในเมืองชั้นในและชั้นนอก ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข 2, โบราณสถานหมายเลข 3, โบราณสถานหมายเลข 4, โบราณสถานหมายเลข 5, โบราณสถานหมายเลข 7, โบราณสถานหมายเลข 8, และโบราณสถานหมายเลข 9 ลักษณะของศาสนสถานมีทั้งประเภทเจดีย์ วิหาร และอาคารทรงปราสาท[1]: 241–242 [3]: 44–46 นอกจากนี้ยังพบศาสนสถานนอกเมือง คือ พระนอนที่วัดธรรมจักรเสมาราม และเจดีย์ที่วัดแก่นท้าว
ศาสนสถานประเภทเจดีย์ที่พบมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม (พบในโบราณสถานหมายเลข 2), ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส (พบในโบราณสถานหมายเลข 5), ผังรูปแปดเหลี่ยม (พบในโบราณสถานหมายเลข 3) และผังกลม (พบในโบราณสถานหมายเลข 8) ส่วนศาสนสถานประเภทวิหารมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (พบในโบราณสถานหมายเลข 4, โบราณสถานหมายเลข 3 หลังที่ 2, และโบราณสถานหมายเลข 9) มีร่องรอยการประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นทั้งที่เป็นรูปสัตว์และรูปดอกไม้ ศาสนสถานอีกประเภทหนึ่ง คือ อาคารทรงปราสาท มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ส่วนฐานประดับลวดลายปูนปั้น (พบในโบราณสถานหมายเลข 7)
โบราณสถานทุกหลังก่อด้วยอิฐขนาดค่อนข้างใหญ่มีแกลบข้าวปนไม่สอปูนอันเป็นลักษณะของศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดี
ประติมากรรมเนื่องในศาสนาพุทธที่พบส่วนใหญ่เป็นใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ไม่มีลวดลายสลัก โดยปักอยู่เป็นคู่โดยรอบศาสนสถานประเภทวิหาร นอกจากนี้จากการขุดแต่งโบราณสถานได้พบประติมากรรมหลายชิ้นที่สำคัญ ได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 1 โดยถูกนำมาทำเป็นฐานกำแพงแก้ว มีลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่ได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ[3]: 172–173 ชิ้นส่วนธรรมจักรทำจากหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 2 สลักทึบทั้งสองด้าน บริเวณขอบโดยรอบสลักลวดลายผักกูด ถัดเข้ามาเป็นลายดอกวงกลมสลับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีลักษณะคล้ายคลึงกับธรรมจักรศิลาพบที่วัดธรรมาจักรเสมาราม[3]: 173
ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธที่พบในเมืองเสมาสามารถเทียบได้กับโบราณสถานหลายแห่งในเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี, เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี, เมืองโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์, และเมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์
ศาสนาพราหมณ์
ภายในเมืองเสมาพบหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา เมื่อชุมชนเมืองเสมาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร และพบจารึกที่กล่าวถึงกิจกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ระบุอายุในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 15 จนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตามข้อความในจารึกทำให้ทราบว่ามีการนับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธควบคู่กัน
ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่พบในเมืองเสมา คือ โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง ประกอบด้วยปราสาทประธานแบบเขมรก่อด้วยอิฐหนึ่งหลัง ขนาบข้างด้วยวิหารสอง หลัง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีรูปแบบการก่อสร้างมีการใช้อิฐเนื้อค่อนข้างละเอียดไม่มีแกลบข้าวปนอันเป็นลักษณะของอิฐที่ใช้ก่อสร้างศาสนสถานในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร โดยไม่สอปูน[1]: 11–12 จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 1 พบประติมากรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์หลายชิ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนศิวลึงค์ศิลา, เศียรเทวรูป, ชิ้นส่วนรูปเคารพ, ฐานรูปเคารพ, ชิ้นส่วนโคนนทิ, และท่อโสมสูตร[1]: 25–37
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 หจก.ปุราณรักษ์. รายงานการขุดแต่งเพื่อการบูรณะโบราณสถานเมืองเสมา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. รายงานเสนอต่อสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, 2542.
- ↑ มยุรี วีระประเสริฐ. ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง. : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 เขมิกา หวังสุข. พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูล : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.