ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การให้เหตุผลแบบอุปนัย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Thastp (คุย | ส่วนร่วม)
ซ้ำ
Thastp (คุย | ส่วนร่วม)
วิธีการ
บรรทัด 67:
 
นี่คือ''ตรรกบทสถิติ''<ref name="Logic. Harry J 2002. p. 268">Introduction to Logic. Harry J. Gensler, Rutledge, 2002. p. 268</ref> เราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าก้องจะได้เข้ามหาวิทยาลัยแน่ ๆ แต่เราสามารถมั่นใจในความน่าจะเป็นของผลลัพธ์นี้ (หากไม่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติม) การให้เหตุผลแบบนี้อาจดูมั่นใจเกินไปและอาจถูกกล่าวหาว่า "โกง" เพราะความน่าจะเป็นมีอยู่ในข้อตั้งข้อแรกอยู่แล้ว โดยปกติการให้เหตุผลแบบอุปนัยจะพยายาม''กำหนด''ความน่าจะเป็น เราสามารถพบเหตุผลวิบัติ[[การขึ้นอยู่กับกรณี]] (Secundum quid) สองแบบในตรรกบทสถิติ: [[การทำลายข้อยกเว้น]] (accident (fallacy)) และ[[การทำลายกฏ]] (converse accident)
 
=== การอุปนัยแบบแจงนับ ===
 
รูปแบบพื้นฐานของการอุปนัยให้เหตุผลจากกรณีที่เจาะจงไปทุก ๆ กรณี และดังนั้นเป็นการวางนัยทั่วไปไม่จำกัด<ref>{{cite book|title=Logic: An Introduction|last=Churchill|first=Robert Paul|publisher=St. Martin's Press|year=1990|isbn=978-0-312-02353-9|edition=2nd|location=New York|page=355|oclc=21216829|quote=In a typical enumerative induction, the premises list the individuals observed to have a common property, and the conclusion claims that all individuals of the same population have that property.}}</ref> สมมุติว่าถ้าเราสังเกตหงส์ 100 ตัว และทั้งหมดเป็นสีขาว เราอาจอนุมาน[[ประพจน์แบบจัดกลุ่ม]] (Categorical proposition) สากลได้ในรูป "หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว" เนื่องจาก[[รูปตรรกะ|รูปการให้เหตุผล]] (Logical form) นี้ไม่ได้นำมาซึ่งความเท็จจริงของข้อสรุปถึงแม้มันอาจจะเป็นจริงก็ตาม นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการอนุมานอุปนัย ข้อสรุปอาจเป็นจริง และอาจจะจริง หรือเท็จก็ยังได้ คำถามที่พูดถึงการให้เหตุผลและรูปแบบของการอุปนัยแบบแจงนับเป็นปัญหาหลัก ๆ ใน[[ปรัชญาวิทยาศาสตร์]] (Philosophy of science) เพราะการอุปนัยแบบแจงนับมีหน้าที่สำคัญในแบบดั้งเดิมของ[[ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์|กระบวนการวิทยาศาสตร์]]
 
 
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวเท่าที่ถูกค้นพบมาประกอบไปด้วยเซลล์
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวประกอบไปด้วยเซลล์
 
 
นี่คือ''การอุปนัยแบบแจงนับ'' หรือ''การอุปนัยแบบง่าย'' หรือ''การอุปนัยทำนายแบบง่าย'' เป็นหมวดหมู่ย่อยของการวางนัยทั่วไปอุปนัย ในการใช้งานประจำวัน นี่เป็นรูปแบบการอุปนัยที่พบได้บ่อยที่สุด ในการให้เหตุผลก่อนหน้านี้ ข้อสรุปดูน่าเชื่อถือแต่มันทำนายได้เกินหลักฐานที่มีอยู่ไปเยอะ อย่างแรกคือมันสมมุติว่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวที่พบเจอมาจนถึงตอนนี้สามารถบอกได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร: เป็นการจำนนต่อภาวะเอกรูป อย่างที่สองคือคำว่า''ทุก''ในข้อสรุปเป็นการกล่าวที่ห้าวมาก การขัดแย้งเพียงกรณีเดียวทำให้การให้เหตุผลแบบนี้พังทลายลงทันที และสุดท้ายคือการคำนวณหาระดับความเป็นไปได้ในรูปแบบตณิตศาสตร์นั้นทำไปได้อย่างมีปัญหา<ref>Schaum’s Outlines, Logic, pp. 243–35</ref>
 
เราใช้มาตรฐานอะไรมาเอาตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักบนโลกไปเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตทุก ๆ ตัว? สมมุติว่าเราค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ให้เป็นจุลินทรีย์ที่ลอยอยู่ในชั้น[[มีโซสเฟียร์]]หรือบนดาวเคราะห์น้อยสักดวง แล้วมันประกอบไปด้วยเซลล์ การค้นพบครั้งนี้ทำให้ความเป็นไปได้ของประพจน์เพิ่มขึ้นหรือไม่ ปกติแล้วคำตอบที่มีเหตุผลคือ "ใช่" และสำหรับหลาย ๆ คนคำตอบนี้อาจแย้งไม่ได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้วคำถามควรจะเป็นว่าข้อมูลใหม่นี้ควรจะเปลี่ยนความเป็นไปได้ไปมากน้อย''เท่าไหร่'' ที่ตรงนี้มติร่วมกันนั้นไม่มี และถูกแทนที่ด้วยปัญหาว่าเรายังพูดถึงความเป็นไปได้ได้อย่างสอดคล้องอยู่รึเปล่าโดยไม่ใช้ปริมาณที่เป็นตัวเลขเลย
 
 
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวเท่าที่ถูกค้นพบมาประกอบไปด้วยเซลล์
:สิ่งมีชีวิตตัว''ต่อไป''ที่ถูกค้นพบจะประกอบไปด้วยเซลล์
 
 
นี่เป็นการอุปนัยแบบแจงนับใน''รูปอย่างอ่อน'' มันหลดหลั่นคำว่า "ทุก" ไปเป็นแค่กรณีเดียว และจากการกล่าวอ้างอย่างอ่อนกว่ามาก ๆ ทำให้ความเป็นไปได้ของข้อสรุปนั้นสูงขึ้นอย่างมาก มิฉะนั้นมันจะมีจุดอ่อนอย่างในรูปอย่างเข้ม: ประชากรตัวอย่างไม่เป็นแบบสุ่ม และวิธีการปริมาณชัดเจนน้อยกว่า
 
=== การอ้างโดยแนวเทียบ ===
เส้น 124 ⟶ 104:
{{Main|การอนุมานเชิงสาเหตุ}}
({{lang-en|Causal inference}}) การอนุมานเชิงสาเหตุนั้นดึงข้อสรุปของการเชื่อมโยงเชิงสาเหตุอันหนึ่งโดยขึ้นอยู่กับข้อแม้ของการเกิดขึ้นของผลลัพธ์ ข้อตั้งของความสัมพันธ์ของสองสิ่งสามารถชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น แต่ต้องยืนยันปัจจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะก่อตั้งรูปแบบของความสัมพันธ์เชิงเหตุผลที่แน่นอนได้
 
== วิธีการ ==
มีวิธีการหลักสองวิธีที่ถูกใช้เพื่อได้มาซึ่งข้อสรุปแบบอุปนัยคือ ''การอุปนัยแบบแจงนับ'' และ ''การอุปนัยแบบขจัด''<ref name="dan">{{cite journal |last1=Hunter |first1=Dan |title=No Wilderness of Single Instances: Inductive Inference in Law |journal=Journal of Legal Education |date=September 1998 |volume=48 |issue=3 |pages=370–372 }}</ref><ref name="jm">{{cite book |last1=J.M. |first1=Bochenski |editor1-last=Caws |editor1-first=PEter |title=The Methods of Contemporary Thought |date=December 6, 2012 |publisher=Springer Science & Business Media |isbn=9789401035781 |pages=108–109 |url=https://books.google.com/books?id=fnqhBQAAQBAJ |access-date=June 5, 2020}}</ref>
 
=== การอุปนัยแบบแจงนับ ===
 
รูปแบบพื้นฐานของการอุปนัยให้เหตุผลจากกรณีที่เจาะจงไปทุก ๆ กรณี และดังนั้นเป็นการวางนัยทั่วไปไม่จำกัด<ref>{{cite book|title=Logic: An Introduction|last=Churchill|first=Robert Paul|publisher=St. Martin's Press|year=1990|isbn=978-0-312-02353-9|edition=2nd|location=New York|page=355|oclc=21216829|quote=In a typical enumerative induction, the premises list the individuals observed to have a common property, and the conclusion claims that all individuals of the same population have that property.}}</ref> สมมุติว่าถ้าเราสังเกตหงส์ 100 ตัว และทั้งหมดเป็นสีขาว เราอาจอนุมาน[[ประพจน์แบบจัดกลุ่ม]] (Categorical proposition) สากลได้ในรูป "หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว" เนื่องจาก[[รูปตรรกะ|รูปการให้เหตุผล]] (Logical form) นี้ไม่ได้นำมาซึ่งความเท็จจริงของข้อสรุปถึงแม้มันอาจจะเป็นจริงก็ตาม นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการอนุมานอุปนัย ข้อสรุปอาจเป็นจริง และอาจจะจริง หรือเท็จก็ยังได้ คำถามที่พูดถึงการให้เหตุผลและรูปแบบของการอุปนัยแบบแจงนับเป็นปัญหาหลัก ๆ ใน[[ปรัชญาวิทยาศาสตร์]] (Philosophy of science) เพราะการอุปนัยแบบแจงนับมีหน้าที่สำคัญในแบบดั้งเดิมของ[[ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์|กระบวนการวิทยาศาสตร์]]
 
 
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวเท่าที่ถูกค้นพบมาประกอบไปด้วยเซลล์
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวประกอบไปด้วยเซลล์
 
 
นี่คือ''การอุปนัยแบบแจงนับ'' หรือ''การอุปนัยแบบง่าย'' หรือ''การอุปนัยทำนายแบบง่าย'' เป็นหมวดหมู่ย่อยของการวางนัยทั่วไปอุปนัย ในการใช้งานประจำวัน นี่เป็นรูปแบบการอุปนัยที่พบได้บ่อยที่สุด ในการให้เหตุผลก่อนหน้านี้ ข้อสรุปดูน่าเชื่อถือแต่มันทำนายได้เกินหลักฐานที่มีอยู่ไปเยอะ อย่างแรกคือมันสมมุติว่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวที่พบเจอมาจนถึงตอนนี้สามารถบอกได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร: เป็นการจำนนต่อภาวะเอกรูป อย่างที่สองคือคำว่า''ทุก''ในข้อสรุปเป็นการกล่าวที่ห้าวมาก การขัดแย้งเพียงกรณีเดียวทำให้การให้เหตุผลแบบนี้พังทลายลงทันที และสุดท้ายคือการคำนวณหาระดับความเป็นไปได้ในรูปแบบตณิตศาสตร์นั้นทำไปได้อย่างมีปัญหา<ref>Schaum’s Outlines, Logic, pp. 243–35</ref>
 
เราใช้มาตรฐานอะไรมาเอาตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักบนโลกไปเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตทุก ๆ ตัว? สมมุติว่าเราค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ให้เป็นจุลินทรีย์ที่ลอยอยู่ในชั้น[[มีโซสเฟียร์]]หรือบนดาวเคราะห์น้อยสักดวง แล้วมันประกอบไปด้วยเซลล์ การค้นพบครั้งนี้ทำให้ความเป็นไปได้ของประพจน์เพิ่มขึ้นหรือไม่ ปกติแล้วคำตอบที่มีเหตุผลคือ "ใช่" และสำหรับหลาย ๆ คนคำตอบนี้อาจแย้งไม่ได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้วคำถามควรจะเป็นว่าข้อมูลใหม่นี้ควรจะเปลี่ยนความเป็นไปได้ไปมากน้อย''เท่าไหร่'' ที่ตรงนี้มติร่วมกันนั้นไม่มี และถูกแทนที่ด้วยปัญหาว่าเรายังพูดถึงความเป็นไปได้ได้อย่างสอดคล้องอยู่รึเปล่าโดยไม่ใช้ปริมาณที่เป็นตัวเลขเลย
 
 
:สิ่งมีชีวิตทุกตัวเท่าที่ถูกค้นพบมาประกอบไปด้วยเซลล์
:สิ่งมีชีวิตตัว''ต่อไป''ที่ถูกค้นพบจะประกอบไปด้วยเซลล์
 
 
นี่เป็นการอุปนัยแบบแจงนับใน''รูปอย่างอ่อน'' มันหลดหลั่นคำว่า "ทุก" ไปเป็นแค่กรณีเดียว และจากการกล่าวอ้างอย่างอ่อนกว่ามาก ๆ ทำให้ความเป็นไปได้ของข้อสรุปนั้นสูงขึ้นอย่างมาก มิฉะนั้นมันจะมีจุดอ่อนอย่างในรูปอย่างเข้ม: ประชากรตัวอย่างไม่เป็นแบบสุ่ม และวิธีการปริมาณชัดเจนน้อยกว่า
 
===การอุปนัยแบบขจัด===
 
[[วิธีการแบบเบคอน|การอุปนัยแบบขจัด]] ({{lang-en|Eliminative induction}}) เป็นวิธีการอุปนัยที่ข้อสรุปถูกสร้างขึ้นมาบน''ความหลากหลาย''ของกรณีที่สนับสนุน การอุปนัยแบบขจัดให้เหตุผลบนกรณีหลากหลายชนิดซึ่งสนับสนุนข้อสรุปไม่ใช่จำนวนของกรณีที่สนับสนุนเหมือนกับการอุปนัยแบบแจงนับ ยิ่งความหลากหลายของกรณีสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น ข้อสรุปจากกรณีสนับสนุนเหล่านั้นก็ยิ่งสามารถถูกระบุว่าขัดกันได้มากขึ้นและถูก''ขจัด''ทิ้งไป นี่จึงเพิ่มความเข้มแข็งของข้อสรุปใด ๆ ที่หลงเหลืออยู่และยังสอดคล้องกับกรณีสนับสนุนที่หลากหลาย การอุปนัยชนิดนี้อาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่นการทดลองแบบกึ่ง (quasi-experimentation) ซึงทดสอบและหากสามารถทำได้ก็จะขจัดสมมติฐานคู่แข่งทิ้ง<ref>{{Cite book|last1=Hoppe|first1=Rob|title=Knowledge, Power, and Participation in Environmental Policy Analysis|last2=Dunn|first2=William N.|publisher=Transaction Publishers|isbn=978-1-4128-2721-8|pages=419}}</ref> การทดสอบเชิงหลักฐานต่าง ๆ ก็อาจถูกนำมาใช้เพื่อขจัดความเป็นไปได้ซึ่งถูกพิจารณา<ref>{{Cite book|last=Schum|first=David A.|title=The Evidential Foundations of Probabilistic Reasoning|publisher=Northwestern University Press|year=2001|isbn=0-8101-1821-1|location=Evanston, Illinois|pages=32}}</ref>
 
การอุปนัยแบบขจัดสำคัญกับ[[ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์]]มากและถูกใช้เพื่อขจัดเอาสมมติฐานที่ไม่สอดคล้องกับการสังเกตการณ์และการทดลองทิ้ง<ref name="dan" /><ref name="jm" /> โดยมุ่งความสนใจหาสาเหตุที่เป็นไปได้แทนการเชื่อมโยงสาเหตุที่สังเกตเห็น<ref>{{Cite book|last1=Hodge|first1=Jonathan|title=The Cambridge Companion to Darwin|url=https://archive.org/details/cambridgecompani00hodg_248|url-access=limited|last2=Hodge|first2=Michael Jonathan Sessions|last3=Radick|first3=Gregory|publisher=Cambridge University Press|year=2003|isbn=0-521-77197-8|location=Cambridge|pages=[https://archive.org/details/cambridgecompani00hodg_248/page/n189 174]}}</ref>
 
==เปรียบเทียบกับการให้เหตุผลแบบนิรนัย==