ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามเมืองถลาง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับแอนดรอยด์
NewFrontierHistoryThai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 22:
 
== เหตุการณ์นำ ==
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ สยามและพม่าทำสงครามกันหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญได้แก่[[สงครามเก้าทัพ]] [[สงครามท่าดินแดง]] และ[[สงครามตีเมืองทวาย]] ในสงครามเก้าทัพเมื่อพ.ศ. 2328 นั้นพม่าจัดทัพเรือเข้าโจมตีเมือง[[อำเภอถลาง|ถลาง]]บน[[เกาะภูเก็ต]] แม้ว่าเจ้าเมืองถลางจะเพิ่งถึงแก่กรรมก่อนหน้านั้นไม่นานแต่[[ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร|คุณหญิงจันและคุณหญิงมุก]]และพระปลัดเมืองถลาง (ทองพูน) สามารถรวบรวมกำลังพลต่อสู้ต้านทานการรุกรานของพม่าได้สำเร็จ หลังจากสงครามเก้าทัพคุณหญิงจันและคุณหญิงมุกได้รับแต่งตั้งแต่ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรตามลำดับ และพระปลัดเมืองถลาง (ทองพูน) ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยาถลางเจ้าเมืองถลาง หรือเรียกว่า "พระยาถลางเจียดทอง"<ref name=":0">http://phuketcity.info/default.asp?content=contentdetail&id=14160</ref> จากนั้นประมาณ พ.ศ. 2332 บุตรชายของท้าวเทพกษัตรี (ุคุณหญิงจัน) คือพระยาทุกขราษฎร์ (เทียน) ฟ้องร้อง<ref name=":0" /><ref>'''ระชุมประชุมพงศาวดารภาคที่ 2: พงศาวดารเมืองถลาง'''.</ref>พระยาถลางเจียดทองต่อทางกรุงเทพฯ ทำให้พระยาถลางเจียดทองถูกเรียกตัวไปสอบสวนและถึงแก่กรรมที่่กรุงเทพฯ พระยาทุกขราษฎร์ (เทียน) จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาถลางคนต่อมา
 
หลังจากสงครามเก้าทัพและสงครามตีเมืองทวาย สยามและพม่าอยู่ในสภาวะคุมเชิงกันอยู่<ref name=":1">[[กรมพระยาดำรงราชานุภาพ|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา]].. '''พระราชพงษาวดาร กรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๒'''. ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปีมโรงอัฐศก พ.ศ. ๒๔๕๙; พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย ณสพานยศเส</ref> ในพ.ศ. 2351 ฝ่ายพม่าพระเจ้าปดุงทรงส่งทูตมายังกรุงเทพฯ<ref>[[กรมพระยาดำรงราชานุภาพ|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา]]. '''พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ'''.</ref> พระเจ้าปดุงทรงตระหนักว่า[[กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท]]เสด็จสวรรคตไปในพ.ศ. 2346 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯทรงพระชนมายุมากแล้ว ฝ่ายไทยเห็นจะขาดแม่ทัพผู้มีความสามารถในการต้านทานการรุกรานของพม่า<ref name=":1" /> พระเจ้าปดุงจึงมีพระราชโองการให้"อะเติงหวุ่นเติงหวุ่น" (Atwinwun) เกณฑ์กำลังพลที่เมือง[[เมาะตะมะ]]เพื่อจัดทัพเข้ารุกรานสยาม แต่อะเติงหวุ่นทำงานไม่รัดกุมทำให้ไพร่พลที่เกณฑ์มาสามารถหลบหนีไปได้ทีละเล็กน้อยจำนวนมาก<ref name=":1" /> เมื่อไม่สามารถรวบรวมกำลังพลได้เพียงพอขุนนาง ตะแคงมองมู<ref name=":2">จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒: คำให้การอ้ายงะสาดนะอองพม่า เรื่องในเมืองพม่าและมาตีมลายู จ.ศ. ๑๑๗๒. กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๔๘๒.</ref>เจ้าเมืองเมาะตะมะจึงกราบทูลพระเจ้าปดุงว่าฝ่ายพม่าไม่พร้อมสำหรับการรุกรานสยามในครั้งนี้ อีกทั้งพม่าได้เจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงเทพฯแล้ว หากยกทัพไปตีไม่สำเร็จจะเสียพระเกียรติ พระเจ้าปดุงจึงมีพระราชโองการให้ยุติการรุกรานสยามในครั้งนี้ไป
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเสด็จสวรรคตในเดือนกันยายน พ.ศ. 2352<ref name=":1" /> สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อเป็น[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] ฝ่ายพม่าเมื่อทราบว่าสยามกำลังผลัดเปลี่ยนรัชกาล อะเติงหวุ่นยังต้องการที่จะยกทัพเข้ารุกรานสยาม จึงกราบทูลพระเจ้าปดุงว่า ขณะนั้นี้ได้จัดเตรียมทัพไว้แล้ว หากไม่ไปโจมตีกรุงเทพฯขอให้ไปโจมตีหัวเมืองชายทะเลภาคใต้ของไทย เพื่อไม่ให้การจัดเตรียมทัพในครั้งนี้สูญเปล่า<ref name=":1" /> และอะเติงหวุ่นยังกล่าวหาตะแคงมองมูเจ้าเมืองเมาะตะมะว่าขัดขวางการทำงานของตน<ref name=":2" /> พระเจ้าปดุงจึงมีพระราชโองการให้ปลดตะแคงมองมูจากตำแหน่ง และให้อะเติงหวุ่นยกทัพลงมาตั้งที่เมือง[[ทวาย]]ในเดือนกรกฎาคมพ.ศ. 2352 เพื่อเตรียมทัพเข้ารุกรานภาคใต้ของไทย เมื่ออยู่ที่เมืองทวายนั้นอะเติงหวุ่นประพฤติตนเป็นเจ้านาย<ref name=":2" />ให้ใช้ราชาศัพท์แก่ตนเอง อีกทั้งยังฉุดคร่าหญิงชาวทวายมาเป็นภรรยา และให้หญิงเหล่านั้นสวมใส่ผ้าริ้วทองขนานนามเป็นเจ้าหญิง เจ้าเมืองย่างกุ้งทราบเรื่องจึงนำความขึ้นทูลพระเจ้าปดุงว่าอะเติงหวุ่นเป็นกบฏ พระเจ้าปดุงจึงมีพระราชโองการให้จับภรรยาและครอบครัวของอะเติงหวุ่นไว้ อะเติงหวุ่นทูลแก้ว่ามิได้เป็นกบฏ พระเจ้าปดุงจึงมีพระราชโองการให้อะเติงหวุ่นยกทัพไปตีหัวเมืองชายทะเลภาคใต้ของไทยให้สำเร็จมิฉะนั้นจะลงพระราชอาญาประหารชีวิต
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเสด็จสวรรคตในเดือนกันยายน พ.ศ. 2352<ref name=":1" /> สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อเป็น[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]]
 
== การจัดเตรียมทัพฝ่ายพม่า ==
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2352 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จผ่านพิภพได้ประมาณสองเดือน อะเติงหวุ่นแม่ทัพพม่าจัดตั้งทัพที่เมืองทวายจัดทัพเข้ารุกรานภาคใต้ของไทยจำนวนทั้งสิ้น 7,000 คน<ref name=":1" /> แบ่งกองทัพเข้าโจมตีภายใต้ของไทยดังนี้;<ref name=":12" />;
 
* งะอู (Nga U) เจ้าเมืองทวาย ยกทัพจำนวน 3,000 คน เป็นปีกขวา
* สิงคะดุเรียง เจ้าเมืองมะริด ยกทัพจำนวน 1,000 คน เป็นปีกซ้าย
 
* แยคอง นำทัพรวมทั้งสิ้นจำนวน 4,000 คน ยกทัพลงมาโจมตีเมือง[[อำเภอตะกั่วป่า|ตะกั่วป่า]] [[อำเภอตะกั่วทุ่ง|ตะกั่วทุ่ง]] และเมืองถลาง
* ดุเรียงสาระจอ นำทัพจำนวน 3,000 คน ยกเข้าโจมตีทางเมือง[[ระนอง]] เมือง[[อำเภอกระบุรี|กระบุรี]] และเข้าโจมตีเมือง[[ชุมพร]]
 
เส้น 42 ⟶ 47:
 
== การรบ ==
งะอูเจ้าเมืองทวายและสิงคะดุเรียงเจ้าเมืองมะริดยกทัพเข้าโจมตีเมืองตะกั่วป่า เจยะดุเรียงจอ (Zeya Suriya Kyaw)<ref name=":2" /> ยกทัพเข้าตีเมืองตะกั่วป่าและบ้านนาเตย (ตำบลนาเตย [[อำเภอท้ายเหมือง]]) ได้สำเร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2352 ชาวตะกั่วป่าไม่สู้รบ จากนั้นทัพพม่าจึงยกไปที่ปากพระ งะอูจึงมีคำสั่งให้แบ่งทัพออกเป็นสองสายเข้าโจมตีเมืองถลาง ให้สิงคะดุเรียงเจ้าเมืองมะริดยกทัพ 3,000 คน และเจยะดุเรียงจอยกทัพ 3,000 คน เข้าโจมตีเมืองถลาง
 
=== การรบที่ถลาง ===
แยคองแม่ทัพพม่ายกทัพจำนวน 4,000 คน จากเมืองทวายลงมาโจมตียึดเมืองตะกั่วทุ่งและตะกั่วป่าได้สำเร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2352 จากนั้นจึงยกทัพขึ้นเกาะภูเก็ตตั้งทัพอยู่ที่ปากพระ ในเวลานั้นบนเกาะภูเก็ตมีเมืองสองแห่งได้แก่ เมืองถลางตั้งอยู่ที่บ้านดอนในส่วนกลางของเกาะ (ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง) เรียกว่า "เมืองถลางบ้านดอน" และ"เมืองภูเก็ตบ้านท่าเรือ" (ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง) ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ พระยาถลาง (เทียน) เมื่อทัพพม่ายกมาจึงแจ้งรายงานมายังกรุงเทพฯ แล้วเกณฑ์กำลังคนป้องกันเมืองถลางบ้านดอน แยคองทัพพม่ายกจากปากพระเข้าโจมตีเมืองถลาง เจยะดุเรียงจอยกพลขึ้นบกที่บ้านสาคู พบกับกองกำลังฝ่ายถลางต่อสู้กันฝ่ายถลางถอย จากนั้นเจยะดุเรียงจอจึงยกไปตั้งที่บ้านตะเคียน ทั้งเจยะดุเรียงจอและสิงคะดุเรียงยกทัพเข้าล้อมเมืองถลางในเดือนพฤศจิกายน<ref name=":2" /> พ.ศ. 2352 นำไปสู่'''การล้อมเมืองถลาง''' ชาวเมืองถลางสามารถป้องกันเมืองไว้ได้ ฝ่ายพม่ายังไม่สามารถยึดล้อมเมืองถลางได้สามด้าน เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนเหลือเปิดทางทิศใต้ไว้ ในเดือนพฤศจิกายน แยคองแฝ่เจยะดุเรียงจอยกทัพพม่าใช้อุบาลแสร้งว่าถอยทัพกลับไป ฝ่ายชาวเข้าตีเมืองถลางเห็นว่าพม่าถอยกลับไปแล้วจึงลดการป้องกันเมืองพากันออกมาจากค่ายเมืองแต่ไม่สำเร็จ แยคองเมื่อเห็นว่าฝ่ายพม่าถูกปืนใหญ่เมืองถลางลดการป้องกันล้มตายมาก งะอูเจ้าเมืองลงแล้วทวายผู้เป็นแม่ทัพจึงยกทัพเข้ามาล้อมเมืองอีกครั้ง พระยาถลาง (เทียน) เรียกเกณฑ์คนเข้ามาในเมืองไม่ทันทำให้มีกำลังพลคำสั่งให้จับกุมตัวเจยะดุเรียงจอในข้อหากระทำการป้องกันเมืองน้อยลงกว่าเดิมล้มเหลว นอกจากนี้แยคองยังส่งทัพไปขึ้นที่ท่ายามูเข้าล้อมเจยะดุเรียงจอแก้ตัวว่าจะขอตีเมืองภูเก็ตทางตอนใต้ของเกาะภูเก็ตอีกด้วยถลางให้ได้
 
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2352 งะอูเจ้าเมืองทวายผู้เป็นแม่ทัพล้มป่วยเสียชีวิต<ref name=":2" /> เจยะดุเรียงจอและสิงคะดุเรียงเจ้าเมืองมะริดจึงถอยทัพออกจากเมืองถลางกลับไปอยู่ที่ปากจั่น ฝ่ายอะเติงหวุ่นที่เมืองทวายทราบข่าวความล้มเหลวของทัพพม่าจึงแต่งตั้งงะซ่าน (Nga Chan) มาเป็นแม่ทัพคนใหม่ รวมทั้งมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเจยะดุเรียงจอและสิงคะดุเรียงเจ้าเมืองมะริดเสีย เจยะดุเรียงจอขอไว้ชีวิตให้แก่ตนเองอาสามาตีเมืองถลางให้ได้ เจยะดุเรียงจอจึงได้รับการปรับโทษให้ยกทัพเข้าตีเมืองถลาง
 
ฝ่ายชาวเมืองถลางพระยาถลาง (เทียน) เห็นว่าพม่าถอยกลับไปเข้าใจว่าฝ่ายพม่าเลิกทัพแล้วจึงลดการป้องกันเมือง ชาวเมืองถลางพากันออกมาจากค่ายเมืองทำมาหากินปกติ งะซ่านแม่ทัพพม่าจึงยกทัพเข้าล้อมเมืองถลางอีกครั้ง พระยาถลาง (เทียน) เรียกเกณฑ์คนเข้ามาในเมืองไม่ทันทำให้มีกำลังพลในการป้องกันเมืองน้อยลงกว่าเดิม นอกจากนี้ฝ่ายพม่ายังยกทัพไปขึ้นที่ท่ายามูเข้าล้อมเมืองภูเก็ตอีกด้วย
 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯเมื่อทรบทราบข่าวพม่าโจมตีเมืองถลางแล้ว จึงมีพระราชโองการให้จัดทัพเพิ่มเติมดังนี้;
เส้น 52 ⟶ 62:
* [[เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์ ณ นคร)|เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)]] ยกทัพไปสมทบกับเจ้าพระยายมราชอีกทัพหนึ่ง
 
เจ้าพระยายมราช (น้อย) พระยาทศโยธา และพระยาราชประสิทธิ์ ยกทัพออกจากปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อวันแรม 11 ค่ำ เดือนสิบสอง (พฤศจิกายน พ.ศ. 2352) เจ้าพระยายมราชยกทัพเดินทางไปยังเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อเจ้าพระยายมราชพบกับเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว จึงยกทัพไปตั้งที่ตรัง สุลต่านตวนกูปะแงหรัน (Tunku Pengeran) แห่งไทรบุรีได้ส่งทัพเรือมลายูมาสมทบกับฝ่ายสยามที่เมืองตรัง<refนำโดย''ลักษมณา'' name=":1"(Laksamana) />มหารายาสุระ เจ้าพระยายมราชประสบปัญหาขาดแคลนเรือ(Maharaja Sura)<ref>Maziar name=":1"Mozaffari />ไม่สามารถหาเรือนำทัพยกข้ามไปช่วยเมืองถลางได้ต้องต่อเรือใหม่Falarti. เมื่อทัพเมืองไชยาของพระยาทศโยธาและพระยาราชประสิทธิ์ยกมาถึงกราภูงา'''Malay ([[อำเภอเมืองพังงา|อำเภอเมือง]]Kingship [[จังหวัดพังงา]])in ก็ไม่สามารถหาเรือข้ามไปเกาะภูเก็ตได้เช่นกันKedah: เจ้าพระยายมราชเกรงว่าจะช่วยเมืองถลางไม่ทันการณ์จึงให้หาเรือราษฎรจำนวนหนึ่งให้พระยาท้ายน้ำยกทัพบางส่วนไปช่วยเมืองถลางก่อนReligion, พระยาท้ายน้ำยกทัพเรือไปพบกับทัพพม่าที่แหลมยามูซึ่งล้อมเมืองภูเก็ตอยู่Trade, and นำไปสู่'''การรบที่แหลมยามูSociety'''. รบกันในทะเลRowman พระยาท้ายน้ำสามารถเอาชนะพม่า& Littlefield, 2013.</ref> มาสมทบกับฝ่ายสยามที่แหลมยามูขับออกไปจากเมืองภูเก็ตได้ แต่เกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟถูกถังดินประสิวระเบิดเรือแตกสลายทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งพระยาท้ายน้ำตรัง<ref name=":1" /> เมื่อพระยาท้ายน้ำเสียชีวิตแล้วหลวงสุนทรและหลวงกำแหงผู้รอดชีวิตจึงนำศพพระยาท้ายน้ำและนำทัพที่เหลือกลับขึ้นฝั่งที่คลองปากลาว (กระบี่)
 
เจ้าพระยายมราชประสบปัญหาขาดแคลนเรือ<ref name=":1" />ไม่สามารถหาเรือนำทัพยกข้ามไปช่วยเมืองถลางได้ต้องต่อเรือใหม่ เมื่อทัพเมืองไชยาของพระยาทศโยธาและพระยาราชประสิทธิ์ยกมาถึงกราภูงา ([[อำเภอเมืองพังงา|อำเภอเมือง]] [[จังหวัดพังงา]]) ก็ไม่สามารถหาเรือข้ามไปเกาะภูเก็ตได้เช่นกัน เจ้าพระยายมราชเกรงว่าจะช่วยเมืองถลางไม่ทันการณ์จึงให้หาเรือราษฎรจำนวนหนึ่งให้พระยาท้ายน้ำยกทัพบางส่วนไปช่วยเมืองถลางก่อน พระยาท้ายน้ำยกทัพเรือไปพบกับทัพพม่าที่แหลมยามูซึ่งล้อมเมืองภูเก็ตอยู่ นำไปสู่'''การรบที่แหลมยามู''' รบกันในทะเล พระยาท้ายน้ำสามารถเอาชนะพม่าที่แหลมยามูขับออกไปจากเมืองภูเก็ตได้ แต่เกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟถูกถังดินประสิวระเบิดเรือแตกสลายทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งพระยาท้ายน้ำ<ref name=":1" /> เมื่อพระยาท้ายน้ำเสียชีวิตแล้วหลวงสุนทรและหลวงกำแหงผู้รอดชีวิตจึงนำศพพระยาท้ายน้ำและนำทัพที่เหลือกลับขึ้นฝั่งที่คลองปากลาว (กระบี่)
ฝ่ายแยคองเมื่อทราบว่าฝ่ายไทยส่งทัพมาช่วยเหลือเมืองถลางจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถข้ามทะเลมาได้ จึงเร่งรัดให้โจมตีเข้ายึดเมืองถลางให้ได้ หลังจากที่ฝ่ายพม่าล้อมเมืองครั้งหลังเป็นเวลา 27 วัน แยคองฝ่ายพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ในที่สุดในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ (มกราคม พ.ศ. 2353) ทำลายเมืองถลางบ้านดอนลงอย่างสิ้นเชิง ชาวเมืองถลางจำนวนมากหลบหนีพม่าขึ้นมาที่ฝั่งกราภูงา ในเวลานั้นเองทางพระยาทศโยธาสามารถยกทัพเรือจากกราภูงามายังเมืองถลางได้ และทางฝ่ายเมืองตรังเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ส่งบุตรชายบุญธรรมของตนคือ[[เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร)|พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย)]] ยกทัพเรือจากตรังและทัพมลายูไทรบุรีข้ามมาเมืองถลาง ฝ่ายพม่าขณะกำลังกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเมืองถลาง ได้ยินเสียงคลื่นลมทะเล<ref name=":1" />เข้าใจว่าทัพฝ่ายไทยได้ยกมาถึงแล้ว แยคองจึงให้จึงรีบรุดจับตัวพระยาถลาง (เทียน) และกวาดต้อนผู้คนทรัพย์สินกลับไปยังพม่า ฝ่ายพระยาทศโยธาและพระบริรักษ์ภูเบศร์มาถึงเมืองถลางพบว่าทัพพม่าได้ถอยกลับไปแล้ว แต่ยังสามารถจับเชลยชาวพม่าบางส่วนที่กลับไม่ทัน และเมื่อเรือเสบียงพม่าซึ่งไม่ทราบว่าฝ่ายพม่าได้ถอยไปแล้วมาส่งเสบียงที่เมืองถลาง ฝ่ายไทยจึงจับเรือเสบียงนั้นไว้ได้
 
ฝ่ายงะซ่านแม่ทัพพม่าเมื่อทราบว่าฝ่ายไทยส่งทัพมาช่วยเหลือเมืองถลางจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถข้ามทะเลมาได้ จึงเร่งรัดให้โจมตีเข้ายึดเมืองถลางให้ได้ หลังจากที่ฝ่ายพม่าล้อมเมืองครั้งหลังเป็นเวลา 27 วัน แยคองฝ่ายพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ในที่สุดในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ (มกราคม พ.ศ. 2353) ทำลายเมืองถลางบ้านดอนลงอย่างสิ้นเชิง ชาวเมืองถลางจำนวนมากหลบหนีพม่าขึ้นมาที่ฝั่งกราภูงา ([[อำเภอเมืองพังงา|เมืองพังงา]]) ฝ่ายพม่าจับพระยาถลาง (เทียน) เจ้าเมืองถลางเป็นเชลยกลับไปพม่า อะเติงหวุ่นได้รับการปูนบำเหน็จขึ้นเป็น"มหาสีหสุระ" งะซ่านแม่ทัพพม่าให้ชาวเมืองมะริดชื่อว่างะพยู (Nga Pyu) ซึ่งเป็นพี่ของภรรยาของ''ลักษมณา''เมืองไทรบุรี<ref name=":2" /> ถือหนังสือไปยังสุลต่านตวนกูปะแงหรันเมืองไทรบุรีว่า ขณะนี้พม่ายึดเมืองถลางได้แล้ว ฝ่ายไทรบุรีสามารถเก็บส่วยรังนกได้ตามเดิมโดยมีข้อแม้ว่าไทรบุรีต้องแต่ง[[บุหงามาศ|''บุหงามาศ'']]ต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปถวายแด่พระเจ้าปดุง สุลต่านตวนกูปะแงหรันตอบว่าเนื่องจากฝ่ายสยามมีกองกำลังรักษาการณ์อยู่ที่ไทรบุรี จะแปรพักตร์ไปเข้ากับพม่าไม่สะดวก ขอให้พม่าจัดทัพมาตีเมืองไทรบุรีก่อน<ref name=":2" />
 
ฝ่ายแยคองเมื่อทราบว่าฝ่ายไทยส่งทัพมาช่วยเหลือเมืองถลางจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถข้ามทะเลมาได้ จึงเร่งรัดให้โจมตีเข้ายึดเมืองถลางให้ได้ หลังจากที่ฝ่ายพม่าล้อมเมืองครั้งหลังเป็นเวลา 27 วัน แยคองฝ่ายพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ในที่สุดในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ (มกราคม พ.ศ. 2353) ทำลายเมืองถลางบ้านดอนลงอย่างสิ้นเชิง ชาวเมืองถลางจำนวนมากหลบหนีพม่าขึ้นมาที่ฝั่งกราภูงา ในเวลานั้นเองทางพระยาทศโยธาสามารถยกทัพเรือจากกราภูงามายังเมืองถลางได้ และทางฝ่ายเมืองตรังเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ส่งบุตรชายบุญธรรมของตนคือ[[เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร)|พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย)]] ยกทัพเรือจากตรังและทัพมลายูไทรบุรีข้ามมาเมืองถลาง ฝ่ายพม่าขณะกำลังกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเมืองถลาง ได้ยินเสียงคลื่นลมทะเล<ref name=":1" />เข้าใจว่าทัพฝ่ายไทยได้ยกมาถึงแล้ว แยคองงะซ่านแม่ทัพพม่าจึงให้จึงรีบรุดจับตัวพระยาถลาง (เทียน) และรีบกวาดต้อนผู้คนทรัพย์สินกลับไปยังพม่า ฝ่ายพระยาทศโยธาและพระบริรักษ์ภูเบศร์มาถึงเมืองถลางพบว่าทัพพม่าได้ถอยกลับไปแล้ว แต่ยังสามารถจับเชลยชาวพม่าบางส่วนที่กลับไม่ทัน และเมื่อเรือเสบียงพม่าซึ่งไม่ทราบว่าฝ่ายพม่าได้ถอยไปแล้วมาส่งเสบียงที่เมืองถลาง ฝ่ายไทยจึงจับเรือเสบียงนั้นไว้ได้
 
เมื่อฝ่ายพม่าถอยไปจากเมืองถลางเป็นครั้งที่สองแล้ว อะเติงหวุ่นจึงมีคำสั่งให้ประหารชีวิตงะซ่านแม่ทัพพม่า ประหารเจยะดุเรียงจอ รวมถึงแม่ทัพนายกองจำนวนมาก ฝ่ายพระเจ้าปดุงทรงทราบว่าอะเติงหวุ่นมีคำสั่งให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองจำนวนมาก จึงมีพระราชโองการให้ตอยาโปขุนนางพม่าถือพระราชโองการลงมายังอะเติงหวุ่นที่เมืองทวาย ให้ไว้โทษปล่อยแม่ทัพนายกองทั้งหลายออกจากคุก<ref name=":2" /> เจยะดุเรียงจอจึงได้รับการเว้นโทษ
 
=== การรบที่ชุมพร ===
ดุเรียงสาระจอยกทัพจำนวน 3,000 คน ยกทัพเข้าโจมตีเมืองระนอง เมืองกระบุรี และเข้ายึดเมืองชุมพรได้สำเร็จ ฝ่ายกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ฯเสด็จยกทัพออกจากกรุงเทพฯในเดือนธันวาคมพ.ศ. 2352 ไปยังเมืองเพชรบุรี มีพระราชบัณฑูรให้พระยาจ่าแสนยากร (บัว) ยกทัพจากเพชรบุรีเข้าโจมตีทัพพม่าของดุเรียงสาระจอที่ชุมพร นำไปสู่'''การรบที่ชุมพร''' พระยาจ่าแสนยากร (บัว) สามารถเอาชนะทัพพม่าดุเรียงสาระจอที่ชุมพรแตกพ่ายไปได้ ทัพของพระยาจ่าแสนยากรยกติดตามพม่าดุเรียงสาระจอไปจนถึงเมืองตะกั่วป่า ได้ทราบว่าฝ่ายพม่าได้ยึดทำลายเมืองถลางและถอยกลับไปแล้ว ผู้คนชาวเมืองถลางหลบหนีมาอยู่ที่กราภูงาบนฝั่ง จึงมีพระราชบัณฑูรให้พระยาจ่าแสนยากรประจำอยู่ที่ชุมพร คอยรวบรวมราษฎร์ที่หลบหนีกระจัดกระจายมาตั้งเมืองถลางอยู่ชั่วคราวอยู่ที่กราภูงา เพื่อที่จะกลับไปฟื้นฟูเมืองถลางขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ฯจึงเสด็จกลับพระนครฯทางชลมารค
 
เมื่อพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายไทยแล้วดุเรียงสาระจอจึงยกทัพไปสมทบกับทัพของงะซ่านที่เมืองถลาง ต่อมาเมื่อฝ่ายไทยสามารถยึดเมืองถลางคืนได้ทัพพม่าถอยไป ดุเรียงสาระจอจึงถูกอะเติงหวุ่นลงโทษประหารชีวิต
 
== บทสรุป ==
ฝ่ายพม่าแม้ว่าสามารถยึดเมืองถลางได้ได้แต่สุดท้ายฝ่ายไทยสามารถยึดเมืองถลางคืนฝ่ายพม่าถอยไป เป็นเหตุให้อะเติงหวุ่นลงโทษประหารชีวิตแม่ทัพนายกองไปจำนวนมาก อะเติงหวุ่นอยู่เมืองทวายกดขี่ชาวเมืองได้รับความเดือนร้อนมาก จนมีชาวเมืองทวายพยายามลอบสังหารอะเติงหวุ่นแต่ไม่สำเร็จ<ref name=":2" />
 
เมื่อฝ่ายพม่าสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ เมืองถลางบ้านดอนถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง พระยาถลาง (เทียน) เจ้าเมืองถลางถูกจับตัวเป็นเชลยกลับไปยังพม่า ทำให้ตอนเหนือของเกาะภูเก็ตได้รับความเสียหายมากสูญเสียประชากรและทรัพย์สิน ชาวเมืองถลางจำนวนมากหลบหนีขึ้นฝั่งไปรวมกันที่กราภูงา เมืองถลางย้ายไปอยู่ที่กราภูงาชั่วคราวพระยาถลางคนต่อมาปกครองเมืองถลางที่กราภูงา นำไปสู่การจัดตั้งเมืองพังงาขึ้นในที่สุด เกาะภูเก็ตทั้งเมืองถลางเดิมและเมืองภูเก็ตถูกโอนไปอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เมืองถลางเดิมยังคงเป็นเมืองร้างไปเป็นระยะเวลาสิบห้าปี มีเพียงเมืองภูเก็ตทางตอนใต้ของเกาะที่ยังดำรงอยู่ จนกระทั่งในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] จึงมีการฟื้นฟูเมืองถลางขึ้นที่เกาะภูเก็ตอีกครั้งในพ.ศ. 2367<ref>http://student.cba.ac.th/2560/503/witsanee503/history.html</ref>