ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระเมกุฏิสุทธิวงศ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 24:
 
=== เสวยราชย์ ===
ก่อนหน้านี้อาณาจักรล้านนามีความสัมพันธ์อันดีกับ[[อาณาจักรล้านช้าง]]และกลายเป็นรัฐเครือญาติกันผ่านการอภิเษกสมรสระหว่าง[[พระนางยอดคำทิพย์|นางยอดคำ]]พระราชธิดาใน[[พระเมืองเกษเกล้า]] กับ[[พระยาโพธิสาลราช]]พระเจ้าล้านช้าง มีพระราชโอรสด้วยกันพระองค์หนึ่งคือ[[สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช|เจ้าเชษฐวงษ์]] ซึ่งต่อมาได้เป็น''[[พระมหาอุปราช|พระอุปโยวราช]]''<ref>''พงศาวดารโยนก'', หน้า 377</ref> เมื่อพระเมืองเกษเกล้าเสด็จสวรรคต ล้านนาเกิดกลียุคมีสงครามยาวนาน [[พระนางจิรประภาเทวี]]จึงเสวยราชย์ ช่วงนั้นได้เกิดกบฏชาวไทใหญ่และการรุกรานของ[[อาณาจักรอยุธยา]] ทั้งขุนนางแห่งล้านนาเองก็มีอำนาจเหนือกษัตริย์เสียด้วย<ref name="ปวศ178"/> ล้านช้างที่ขณะนั้นกำลังเจริญรุ่งเรืองสูงสุดจึงเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือล้านนาจนฝ่ายอยุธยาพ่ายแพ้ไป พระยาโพธิสาลราชในฐานะผู้ปกป้องล้านนาจึงมีความชอบยิ่งนัก ได้นำพระราชโอรสคือเจ้าเชษฐวงษ์ผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของพญามังรายทางฝ่ายมารดาขึ้นครองล้านนา มหาเทวีจิรประภาจึงสละประภาสละราชสมบัติให้พระอุปโยวราชครองราชย์ในปี พ.ศ. 2089<ref name="ปวศ178"/> ทรงพระนาม ''พระเป็นเจ้าอุปปโยวราชะ''
 
ครั้นในปี พ.ศ. 2090 พระยาโพธิสาลราชสวรรคตกะทันหัน พระเป็นเจ้าอุปปโยวราชะจึงเสด็จกลับไปครองราชย์ล้านช้างในปีนั้น ทรงพระนามว่า''สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช'' และได้นำมหาเทวีจิรประภาและ[[พระแก้วมรกต]]ไปล้านช้างด้วย อาณาจักรล้านนาจึงว่างกษัตริย์และเกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างขุนนางกลุ่มต่าง ๆ ช่วงปี พ.ศ. 2091-2094 ล้านนาได้เข้าสู่กลียุคอีกครั้ง<ref name="ปวศ178"/> สุดท้ายขุนนางล้านนามีมติว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชคงไม่เสด็จกลับมาแล้ว จึงเห็นควรให้อัญเชิญพระเมกุฏิสุทธิวงศ์ เจ้านายเมืองนายผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์มังรายมาเสวยราชย์แทน<ref name="ปวศ178"/> ซึ่งจากจารึกวัดเชียงสา จะพบว่าเนื้อหาเขียนว่าพระองค์อ้างสิทธิ์เหนือดินแดนล้านช้างเสียด้วย<ref name="จารึก1"/>
 
หลังพระเมกุฏิสุทธิวงศ์เสวยราชย์ได้ไม่ช้านานนัก พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ขณะนั้นได้เสวยราชย์ครองล้านช้างแล้วไม่พอพระราชหฤทัย ที่ขุนนางล้านนาอัญเชิญพระเมกุฏิสุทธิวงศ์มาเสวยราชย์โดยที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมิทรงเห็นชอบ จึงนำไปสู่การยกทัพไปตี[[อำเภอเชียงแสน|เมืองเชียงแสน]]ในปี พ.ศ. 2098<ref name="ปวศ178"/>